พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - บทที่ 1659 การปกครองก็เหมือนการทอดปลา
“เอ่อ…” เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ทำท่าเหมือนค่อนข้างลำบากใจ นางกำลังสังเกตสีหน้าของประมุขชิง
“เอาล่ะ เอาตามนี้แล้วกัน” ประมุขชิงยืนยัน
“หม่อมฉันน้อมรับคำสั่ง!” เซี่ยโห้วเฉิงอวี่เอ่ยรับอย่าง ‘ฝืนใจ’ แต่ที่จริงในใจปลาบปลื้มแทบแย่ ในที่สุดก็ไล่นางตัวดีนั่นออกจากวังได้แล้ว ตั้งแต่ในท้องนางมีมนุษย์ตัวน้อย ทั้งวังสวรรค์ก็เรียกได้ว่าไม่มีใครกล้ามาลูบคมดาบนางเลย แม้แต่ฝ่าบาทก็ยังยอมถอยให้นางสามส่วน นี่ต่างหากความรู้สึกของการเป็นมารดาแห่งใต้หล้าอย่างแท้จริง
ภายนอกดูไม่ออกว่าในใจประมุขชิงมีความคิดเป็นอย่างไร แต่ครั้งนี้อยู่ที่ตำหนักนารีสวรรค์ได้ไม่นาน มาพักอยู่ที่นี่ประเดี๋ยวเดียวก็บอกว่ามีธุระออกไปแล้ว
หลังจากน้อมส่งประมุขชิงออกไป เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ก็คาดเดาได้ว่าการที่นางทำอย่างนี้ทำให้ประมุขชิงไม่ค่อยพอใจ แต่นางไม่กลัวประมุขชิงจะมาคิดบัญชีย้อนหลังเลยจริงๆ หลังจากเด็กน้อยออกมาจากท้องแล้ว นางก็ยังกำจัดเสนียดจัญไรได้เหมือนเดิม!
“ได้ยินคำพูดของฝ่าบาทแล้วใช่มั้ย?” เซี่ยโห้วเฉิงอวี่เก็บสายตากลับมาจากข้างนอก แล้วเอียงหน้ามองเอ๋อเหมยที่อยู่ข้างกาย “เจ้าไปถ่ายทอดคำสั่งที่ตำหนักบูรพาด้วยตัวเอง เดี๋ยวนี้!”
“แล้วควรจะบอกจุดประสงค์ว่าอย่างไรเพคะ?” เอ๋อเหมยลังเลนิดหน่อย
เซี่ยโห้วเฉิงอวี่แสยะยิ้ม “เจ้าก็บอกนางตัวดีนั่นไปตรงๆ เลย ว่าฝ่าบาทต้องการให้ข้าตั้งครรภ์อย่างสงบสุข ให้นางกลับไปรออยู่ที่บ้านเดิมของตัวเอง ไสหัวไปเดี๋ยวนี้ ถ้าไม่มีคำสั่งก็ห้ามกลับมาที่วังสวรรค์!”
“เพคะ!” เอ๋อเหมยเอ่ยรับคำสั่ง จากนั้นก็เรียกนางในสองคนให้ออกไปด้วยกัน
หลังจากมาถึงตำหนักบูรพา เอ๋อเหมยก็ย่อมไม่ถ่ายทอดคำสั่งต่ออย่างหยาบคายขนาดนั้น แต่ก็ไม่ต่างจากความหมายและคำพูดเดิมสักเท่าไร เพื่อให้ราชินีสวรรค์ตั่งครรภ์อย่างสงบสุข สั่งให้สนมสวรรค์จ้านหรูอี้กลับไปเยี่ยมญาติที่บ้านตัวเองเดี๋ยวนี้ ถ้าไม่มีคำสั่งก็ห้ามกลับมาที่วังสวรรค์
“หม่อมฉันน้อมรับคำสั่ง” จ้านหรูอี้ไม่มีปฏิกิริยาใดๆ คำนับอย่างเนิบนาบ เอ่ยรับอย่างใจเย็น
แต่สำหรับคนของตำหนักบูรพา สิ่งนี้กลับสะเทือนใจเป็นอย่างมาก!
โดยเฉพาะหยินซวงกับไป๋เสวี่ยที่เป็นสาวใช้ประจำตัว สิ่งนี้ทำให้พวกนางเดือดดาลมากจริงๆ มีสิทธิ์อะไรมาสั่งให้กลับบ้านเดิมตัวเองเพื่อให้ราชินีสวรรค์ตั้งครรภ์อย่างสงบสุข นี่ไม่ใช่การสร้างความอัปยศหรอกหรือ? มิหนำซ้ำ ทั้งสองก็ไม่เชื่อเลยว่าราชันสวรรค์จะออกคำสั่งนี้กับสนมสวรรค์ได้!
“เหนียงเหนียง บ่าวไม่เชื่อว่าฝ่าบาทจะออกคำสั่งอย่างนี้ บ่าวจะไปขอหลักฐานจากฝ่าบาท!” หยินซวงยืนตัวตรงแล้วกล่าวด้วยสีหน้าคับแค้น
แต่ใครจะคิดว่าพอเอ๋อเหมยเอียงหน้ามองมา ก็มีนางในสองคนมาขวางทางหยินซวงทันที ขวางไม่ให้นางไป
“ข้าต้องไปพบฝ่าบาท พวกเจ้าจะขวางข้าทำไม? หรือว่าไม่บริสุทธิ์ใจ?” หยินซวงถามอย่างโมโห
ทว่าเพิ่งจะพูดจบ ก็มีเงาฝ่ามือตบเข้ามาอย่างแรง เสียงดังเพี้ยะ ตบเข้าที่ใบหน้าของหยินซวงอย่างแรง หยินซวงล้มลงพื้น ตรงมุมปากมีเลือดไหล
คนลงมือคือเอ๋อเหมย แต่เห็นเอ๋อเหมยจ้องต่ำลงมองหยินซวงที่เอามือปิดหน้าอยู่บนพื้น พลางกล่าวเสียงเย็น “นางบ่าวชั้นต่ำไร้ธรรมเนียม เจ้ามีสิทธิ์อะไรไปเข้าเฝ้าฝ่าบาท? เจ้าคิดจะฝ่าฝืนคำสั่ง หรือกำลังสงสัยว่าราชินีสวรรค์กำลังปลอมแปลงคำสั่งต่อหน้าธารกำนัล?” พูดจบก็หันกลับมาตะคอกสั่ง “นางบ่าวชั้นต่ำนี่ฝ่าฝืนคำสั่ง ทหารลากออกไปลงโทษข้อหาฝ่าฝืนคำสั่ง!”
ด้านนอกมีทหารสวรรค์กลุ่มหนึ่งวิ่งเข้ามาตามคำสั่งทันที
จ้านหรูอี้ถลันตัวมาขวางตรงหน้าหยินซวง บังทหารสวรรค์กลุ่มนั้นไว้
กลุ่มทหารสวรรค์มองหน้ากันเลิกลั่ก พวกเขาค่อนข้างกำลากลำบากใจ คำสั่งนี้ไม่อาจฝ่าฝืนได้ แต่คนที่เป็นสมาชิกกองทัพองครักษ์ในวัง มีใครไม่รู้บ้างว่าสนมสวรรค์คือสนมโปรดของราชันสวรรค์ หากหยาบคายกับสนมสวรรค์แล้ว ตอนหลังถ้าฝ่าบาทโมโหขึ้นมา เกรงว่าพวกเขาคงจะรักษาศีรษะตัวเองเอาไว้ลำบาก
“หรือสนมสวรรค์ก็คิดจะฝ่าฝืนคำสั่งเหมือนกัน?” เอ๋อเหมยทำสีหน้าเหมือนจะยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้ม
“เจ้าคิดมากไปแล้ว” จ้านหรูอี้กล่าวด้วยสีหน้าเยือกเย็น แล้วหันมาสั่งว่า “ดำเนินการตามคำสั่ง เก็บของเดี๋ยวนี้…ไปกันเถอะ!”
ทุกคนของตำหนักบูรพาโมโหมาก แต่ก็ไม่กล้าพูดอะไร ได้แต่ปฏิบัติตามคำสั่ง พวกไป๋เสวี่ยที่อยู่ข้างหลังรีบเข้ามาประคองหยินซวง
“นางบ่าวชั้นต่ำฝ่าฝืนคำสั่ง ยังคิดจะหนีอีกเหรอ?” เอ๋อเหมยกลับไม่ยอมปล่อยไป
จ้านหรูอี้ที่กำลังจะหันตัวไปหันขวับกลับมา แล้วกล่าวด้วยสายตาเย็นเยียบ “เอ๋อเหมย ข้าทำตามคำสั่งแล้ว ข้าแนะนำว่าเจ้าก็อย่ารังแกกันเกินไปนัก!”
“คำพูดนี้ของสนมสวรรค์ บ่าวฟังไม่เข้าใจเพคะ การที่บ่าวรักษาคำสั่งสวรรค์ก็มีความผิดด้วยหรือเพคะ?” เอ๋อเหมยตอบกลับพร้อมรอยยิ้ม
“เจ้าอยากให้ข้าลากเจ้าไปเข้าเฝ้าราชันสวรรค์จริงเหรอ อยากจะลองใช่มั้ยว่าข้าจะทำให้หัวเจ้าหลุดจากบ่าได้หรือเปล่า” สายตาของจ้านหรูอี้พลันเปลี่ยนเป็นมีพลังอำนาจแล้วจ้องตรงไปที่เอ๋อเหมย จากนั้นก็กวาดมองทหารสวรรค์ทุกคนอีก พร้อมตวาดเสียงดังว่า “ข้าก็อยากเห็นว่าใครจะกล้ากำเริบเสิบสานที่ตำหนักบูรพา ไสหัวออกไปให้หมด!”
“…” เอ๋อเหมยเผยสีหน้าเดือดดาล แต่สุดท้ายก็ยังกัดริมฝีปากเอาไว้ อยู่ที่วังสวรรค์มานานขนาดนี้ นี่เป็นครั้งแรกที่เห็นจ้านหรูอี้ระบายความโกรธ ทำให้นางรู้สึกหวาดกลัวอยู่บ้าง นางรู้เช่นกันว่าถ้าเรื่องนี้วุ่นวายไปถึงราชันสวรรค์จริงๆ นางก็ประจบขอความเมตตาต่อหน้าจ้านหรูอี้ไม่ได้ ทำได้เพียงย่อตัวคำนับเล็กน้อยแล้วถอยออกไป
พวกทหารมองหน้ากันเลิกลั่ก จากนั้นก็กุมหมัดคารวะจ้านหรูอี้พร้อมกัน แล้วก็รีบถอยออกไป อยู่ดีๆ ใครจะกล้าแย่งคนจากมือสนมสวรรค์ที่ตำหนักบูรพาล่ะ
เรื่องเก็บข้าวของนั้นง่ายมาก ใช่เวลาไม่นาน นางในกลุ่มหนึ่งก็ตามหลังจ้านหรูอี้ออกจากประตูใหญ่ของตำหนักบูรพาไป
ระหว่างทางที่ออกจากวัง ก็บังเอิญเจอเซี่ยโห้วเฉิงอวี่ที่มาส่งเดินทางด้วยตัวเอง ปากก็บอกว่ามาส่ง แต่ดูจากการกระทำแล้ว บอกว่าออกมาหยามศักดิ์ศรีกันน่าจะเหมาะกว่า
จ้านหรูอี้นำกลุ่มนางในมาย่อเข่าทำความเคารพ เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ที่ท้องยื่นชำเลืองมองต่ำอย่างเหยียดหยาม พร้อมขานรับเสียงเรียบ “อืม” ราวกับแม่ทัพที่รบชนะเผชิญหน้ากับแม่ทัพที่รบแพ้บนสนามรบ กล่าวอย่างเย็นชาว่า “สนมสวรรค์รออยู่ที่บ้านเดิมให้สบายก็แล้วกัน ไปเถอะ!” แต่ความหมายที่แฝงอยู่ในคำพูดนั้น ราวกับกำลังเหน็บแนมจ้านหรูอี้ว่า วังสวรรค์ไม่ใช่ที่อยู่ของเจ้า ไสหัวไปซะ!
บนตำหนักหลังหนึ่งที่อยู่ไกลๆ ประมุขชิงเอามือไขว้หลังยืนอยู่ริมหน้าต่างที่สลักลายดอกไม้ มองภาพเหตุการณ์ยามสนมกับราชินีเผชิญหน้ากันผ่านลายฉลุดอกไม้
ซ่างกวนชิงยืนมองอยู่ข้างกาย มองภาพเหตุการณ์ภายนอก แล้วก็มองดูปฏิกิริยาของประมุขชิงอีก
มองส่งขบวนของจ้านหรูอี้ออกจากวังอย่างเงียบๆ ตลอดทางมีสนมจำนวนไม่น้อยกำลังหดศีรษะหลบพลางชี้ไม้ชี้มืออยู่สองข้างทาง ประมุขชิงหลับตาลงช้าๆ แล้วกล่าวว่า “ข้าติดค้างนางแล้ว!”
“เฮ้อ!” ซ่างกวนชิงถอนหายใจเบาๆ ย่อมรู้ว่าประมุขชิงหมายถึงใคร “ฝ่าบาทชั่งน้ำหนักเรื่องนี้ได้อย่างเฉียบแหลม ด้วยสถานการณ์ตอนนี้ พักอยู่ที่พระตำหนักอุทยานก็อาจจะไม่ใช่เรื่องแย่ ไม่อย่างนั้นฝั่งราชินีสวรรค์ก็จะมาหาเรื่องนางบ่อยๆ ข้าน้อยแจ้งทางฝั่งกองทัพองครักษ์แล้วว่าให้คุ้มกันส่งอย่างเข้มงวดตลอดทาง ไม่เกิดปัญหาแน่ขอรับ ค่าใช้จ่ายต่างๆ ทางบ้านของสนมสวรรค์ก็เพิ่มให้อีกหนึ่งเท่า มีแต่จะสะดวกสะบายความอยู่ที่นี่ ไม่ด้อยไปกว่าตอนอยู่ที่นี่ขอรับ”
จวนท่านปู่สวรรค์ สวนต้องห้าม
ต้นไม้ใหญ่ที่พุ่มสูงระฟ้าราวกับฉัตรหลวง ใต้ต้นไม้มีโต๊ะตัวเล็กที่ประณีตงดงาม สุราอาหารจัดวางอยู่บนโต๊ะ เซี่ยโห้วท่ากำลังถือตะเกียบรับประทานอย่างออกรสออกชาติ
เว่ยซูเข้ามาข้างใน พอเห็นชายหนุ่มรูปร่างกำยำคนหนึ่งผูกผ้ากันเปื้อนยกถาดอาหารร้อนระอุเดินมาจากอีกด้าน เขาก็อึ้งไปชั่วขณะ จากนั้นก็รีบเดินเข้าไปต้อนรับ ตะโกนทักทายว่า “คุณชายรองมาแล้ว”
คนคนนี้ไม่ใช่ใครที่ไหน เขาคือเซี่ยโห้วหลิง ลูกชายคนรองของเซี่ยโห้วท่า ถ้าตัดเว่ยซูออก เขาก็เป็นลูกหลานคนเดียวของทั้งตระกูลเซี่ยโห้วที่สามารถเข้ามาในสวนต้องห้ามได้โดยตรง ทั้งยังเป็นคนตระกูลเซี่ยโห้วที่มียศขุนนางในตำหนักสวรรค์สูงสุด ถึงแม้จะได้นั่งตำแหน่งแต่ในนามเหมือนเซี่ยโห้วท่า แต่ก็อยู่ในระดับอจมพลแล้ว เพียงแต่ไม่มีกำลังทหารก็เท่านั้นเอง
เมื่อเห็นเว่ยซู เซี่ยโห้วหลิงก็ยิ้มอย่างเบิกบานใจ “เว่ยซูมาแล้วเหรอ เร็วเข้า มากินด้วยกัน”
“คุณชายรองเข้าครัวด้วยตัวเองอีกแล้ว!” เว่ยซูกล่าวอย่างร่าเริง แล้วรีบยื่นมือไปช่วยเขาถืออาหาร
เซี่ยโห้วหลิงยกมือห้าม บอกใบ้ว่าไม่ต้องช่วย แล้วยกอาหารไปวางตรงหน้าเซี่ยโห้วท่าใต้ต้นไม้ใหญ่ด้วยตัวเอง จากนั้นถอดผ้ากันเปื้อนยื่นให้เว่ยซู ขณะที่นั่งลงก็ยื่นมือบอกใบ้ “เว่ยซู นั่งลงสิ มากินด้วยกัน ข้าเพิ่งตกปลาได้จากข้างนอก เอามานึ่งกับสุราแล้วอร่อยสุดๆ”
เว่ยซูเก็บผ้ากันเปื้อนแล้ว พอเห็นอาหารบนโต๊ะก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มโดยไม่พูดอะไร เป็นพวกกุ้งหอยปูปลาธรรมดาๆ ตามแม่น้ำลำคลองในโลกมนุษย์เท่านั้นเอง
เมื่ออีกฝ่ายเอ่ยเชิญแล้ว เว่ยซูก็ไม่อิดออดเช่นกัน นั่งลงอีกด้านหนึ่งแล้วรินสุราให้สองพ่อลูก
เซี่ยโห้วท่ายื่นตะเกียบคีบเนื้อปลาสีขาวละเอียดอ่อนเข้าปาก แล้วเคี้ยวลิ้มรสชาติอย่างช้าๆ
เซี่ยโห้วหลิงที่ดื่มสุราล้างปากไปอึกหนึ่งมองดูปฏิริยาของอีกฝ่ายที่กำลังชิมอาหาร แล้วยกตะเกียบถามด้วยรอยยิ้ม “ท่านพ่อ รสชาติเป็นยังไงบ้าง?”
เขามีสีหน้าอ่อนโยนร่าเริง หน้าตาก็ไม่ได้ดีเท่าไร แต่ในแววตาที่เป็นประกายกลับเผยให้เห็นความล้ำลึกที่ซ่อนอยู่ข้างใน ประกอบกับมีร่างกายกำยำล่ำสัน ทำให้เขามีลักษณะน่ากลัวเหมือนจะกินคนได้ เพียงแต่ส่วนใหญ่ถูกลักษณะภายนอกที่อ่อนโยนร่าเริงของเขากลบบังเอาไว้เท่านั้นอง
เซี่ยโห้วท่าหลับตาเคี้ยวครู่หนึ่ง แล้วพยักหน้าขบคิดถึงรสชาติ “ใช้ได้ สดอร่อย เจ้ารอง ฝีมือเจ้าดีขึ้นแล้วนะ!”
“ฮ่าๆๆ!” เซี่ยโห้วหลิงหัวเราะเสียงดังอย่างร่าเริง เมื่ออยู่ต่อหน้าบิดา เขาแสดงให้เห็นว่าสามารถทำเรื่องยากให้กลายเป็นเรื่องง่ายได้ ไม่ควบคุมตัวเองมากเกินไป ใช้ตะเกียบชี้แนะนำว่า “ขนาดท่านพ่อยังชมแล้ว เว่ยซู พลาดไม่ได้นะ”
เว่ยซูส่ายหน้ายิ้ม แล้วยื่นตะเกียบไปคีบกินเช่นกัน
เซี่ยโห้วท่าชำเลืองมองลูกชายที่อยู่ตรงหน้าแวบหนึ่ง “หลักการเล็กๆ ธรรมดาสามัญในครอบครัวแบบนี้ เจ้าก็ยังอุตส่าห์ไปทำอย่างไม่เสียดายกำลังวังชา”
เซี่ยโห้วหลิงไม่ถือสาความหมายตำหนิที่ซ่อนอยู่ในคำพูดนี้ ยิ้มตอบอย่างเป็นธรรมชาติ “จะหลักการเล็กหรือหลักการใหญ่ก็เป็นหลักการเหมือนกัน ไม่มีแบ่งแยกเรื่องใหญ่เรื่องเล็ก การปกครองดินแดนใหญ่ก็เหมือนการทอดปลาตัวน้อยๆ[1]!”
เซี่ยโห้วท่าทำสายตาคาดเดา จากนั้นก็ยิ้มเบาๆ แล้วไม่พูดอะไรอีก
หลังจากเซี่ยโห้วหลิงสังเกตปฏิกิริยาของเว่ยซูแล้ว ก็ถามเหมือนไม่ได้ตั้งใจ “เว่ยซู มีเรื่องอะไรเหรอ?”
“ราชินีสวรรค์ก่อเรื่องในวังนิดหน่อย ไล่สนมสวรรค์ออกจากวังสวรรค์ไปแล้ว…” เว่ยซูวางตะเกียบ แล้วเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในวังสวรรค์ให้ทั้งสองฟัง
หลังจากฟังจบ เซี่ยโห้วท่าก็ไม่ได้มีปฏิกิริยาอะไร คีบเนื้อปลาเข้าปากอย่างช้าๆ หรี่ตาขบคิดถึงรสชาติ กินอย่างเอร็ดอร่อย
“มีเรื่องนี้ด้วยเหรอ?” เซี่ยโห้วหลิงก็ทำเหมือนไม่สนใจเช่นกัน หลังจากถามแล้วก็กินอาหารของตัวเองต่อไป
เมื่อเห็นปฏิกิริยาของสองพ่อลูก เว่ยซูก็งงทันที แล้วถามอย่างหยั่งเชิงว่า “ครั้งนี้ราชินีสวรรค์ทำเกินไปหน่อยหรือเปล่า เกรงว่าจะทำให้ประมุขชิงไม่พอใจ”
“เจ้ายังจะหวังให้เขาพอใจอยู่อีกเหรอ? อำนาจบารมีของราชินีสวรรค์คือสิ่งที่ต้องมี นายหญิงของวังหลังไงล่ะ ไม่ต้องห่วง ฟ้าไม่ถล่มหรอก ตราบใดที่ตระกูลเซี่ยโห้วยังไม่ล้ม ราชินีสวรรค์ก็ไม่มีทางเป็นอะไร” เซี่ยโห้วหลิงพูดไปเรื่อยเปื่อย ยกตะเกียบชี้เขา “รสชาติปลาแม่น้ำของข้าเป็นยังไงบ้าง?”
“ดีมากขอรับ อร่อยมาก” เว่ยซูพยักหน้าซ้ำๆ
เซี่ยโห้วหลิงรู้สึกบันเทิงแล้ว “หึ! ข้าว่านะเว่ยซู ทำไมข้ารู้สึกว่าเจ้ากำลังตอบข้าแบบขอไปทีล่ะ? เป็นอะไรไป? มีเรื่องอะไรในใจ? บอกให้ข้าฟังได้นะ”
เว่ยซูลังเลนิดหน่อย แต่สุดท้ายก็ขมวดคิ้วบอกว่า “ที่จริงก็มีเรื่องที่บ่าวคิดไม่ตกจริงๆ ราชินีสวรรค์อาจจะไม่ใช่คนที่เหมาะสมจะเข้าวังมากที่สุด ตระกูลเซี่ยโห้วก็ใช่ว่าจะไม่มีลูกสาวที่ฉลาดปราดเปรียว ตอนแรกทำไมถึงเลือกให้ราชินีสวรรค์เข้าล่ะขอรับ?” เขาจะสื่อว่า เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ก็ไม่ใช่คนฉลาดอะไร ทำเรื่องโง่เง่าตั้งมากมายตอนอยู่ในวัง อาจจะไม่สอดคล้องกับผลประโยชน์ของตระกูลเซี่ยโห้ว
เซี่ยโห้วท่ากินอาหารต่อไป หลังจากลูกชายคนนี้มาถึง เขาก็แทบจะไม่ได้พูดอะไรเท่าไรเลย
เซี่ยโห้วหลิงเหล่ตามองเว่ยซูแวบหนึ่ง ตอนที่ยกจอกสุราจ่อปาก ก็กล่าวอย่างไม่ตรงประเด็นหลักว่า “ลูกสาวที่แต่งงานออกไปแล้วก็เหมือนน้ำที่สาดออก หลักการนี้มีมาแต่โบราณ! คนฉลาดที่มีฐานะตำแหน่งสูงส่ง เวลาจะควบคุมขึ้นมาก็ไม่ใช่ง่ายๆ สาเหตุที่ตระกูลเซี่ยโห้วส่งนางเข้าวังไปเป็นราชินี ช่วยคิดหาหนทางให้นางมีทายาท ก็ไม่ใช่ว่าให้โอกาสนางได้พึ่งพาตัวเองหรอกนะ! แต่เลือกคนซื่อบื้อหน่อยประมุขชิงจะได้วางใจไง จะได้ยอมรับง่ายขึ้นด้วย เรื่องนี้ยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว มีอะไรไม่ดีตรงไหนล่ะ?”
…………………………
[1] การปกครองดินแดนใหญ่ก็เหมือนการทอดปลาตัวน้อยๆ 若烹小鲜 หมายความว่าการปกครองดินแดนใหญ่ต้องระมัดระวัง รอบคอบเเละอดทน เหมือนกับการทอดปลาที่ต้องคอยปรับไฟอยู่ตลอดเวลา