พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - บทที่ 1662 นายกับบ่าวเช่นนี้
เหมือนคำพูดนี้จะแทงใจดำ ‘เหยียนซิว’ แล้ว ชั่วพริบตาเดียวก็ทำให้ใบหน้าแสยะยิ้มของ ‘เหยียนซิว’ แข็งค้างเหมือนหิน มองเหมียวอี้อย่างพูดไม่ออก สีหน้าค่อยๆ เปลี่ยนเป็นหวาดระแวง สุดท้ายก็พยายามฝืนทำใจเย็น “เจ้านายเหรอ? พูดโอ้อวดไร้ยางอาย!”
‘เหยียนซิว’ คนนี้ย่อมไม่ใช่ใครอื่น เป็นคนที่ซ่อนธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์หลายล้านคันและเครื่องแบบตำหนักสวรรค์เอาไว้จำนวนมาก นอกจากไป๋เฟิ่งหวงก็ไม่มีใครแล้ว การตัดสินของหยางเจาชิงย่อมไม่ผิดพลาด ไป๋เฟิ่งหวงสามารถรแปลงกายได้หลากหลาย สาเหตุที่แปลงร่างเป็นเหยียนซิวเข้ามาในตลาดผีจวนแม่ทัพภาค ก็เพราะไม่อยากให้คนสงสัย ถึงอย่างไรในจวนแม่ทัพภาคก็มีหูมีตาของตระกูลโค่วอยู่เต็มไปหมด ที่เปลี่ยนเป็นเหยียนซิวก็เพื่อให้เหมียวอี้กับไป๋เฟิ่งหวงได้ติดต่อกันเป็นการส่วนตัว
เหมียวอี้กล่าวอย่างใจเย็น “เรื่องยอมรับเป็นเจ้านายนั้นเป็นเรื่องใหญ่ คาดว่าความจำของเจ้าคงไม่แย่ถึงขนาดนั้นหรอกมั้ง ข้าไม่ได้บังคับนะ เจ้าเองที่เป็นฝ่ายยอมรับข้าเป็นเจ้านาย?”
ทั้งร่างของไป๋เฟิ่งหวงเปลี่ยนไป ชั่วพริบตาเดียวก็เผยโฉมหน้าเดิมแล้ว กระโปรงสีขาวบริสุทธิ์ยาวลากพื้น ผมสีขาวเงิน คิ้วโก่งสีขาว ผิวขาวบริสุทธิ์ ราวกับทั้งตัวถูกสลักด้วยหยก งดงามปานเทพธิดาแต่กลับเย่อหยิ่งเหมือนไก่ตัวผู้
“ยอมรับเป็นเจ้านายเหรอ?” นางไม่ปฏิเสธเรื่องที่ตัวเองยอมรับเขาเป็นเจ้านาย แต่กลับพูดเหยียดว่า “เจ้าคิดว่าเจ้าคู่ควรเหรอ?”
นางผลักคำถามกลับไปให้เหมียวอี้ ยังคงหวังว่าเหมียวอี้จะไม่รู้เรื่องราวเบื้องลึก จะได้ช่วงชิงอำนาจในการเป็นอิสระให้ตัวเองต่อไป
ทว่าในครั้งนี้เหมือนเหมียวอี้จะเตรียมตัวมาแล้ว บอกตรงๆเลยว่า “คู่ควรหรือไม่คู่ควรก็ต้องถามตัวเจ้าเอง คนที่สามารถอาศัยตาทิพย์เข้าไปในทะเลดาวสับสน ทั้งยังช่วยคลายผนึกที่หัวใจให้เจ้าได้ เจ้าว่าข้ามีคุณสมบัติเพียงพอพี่จะเป็นเจ้านายของเจ้าหรือเปล่าล่ะ?”
ไป๋เฟิ่งหวงราวกับถูกมีดแทงในหัวใจ มุมปากกระตุกเล็กน้อย แล้วยิ้มทื่อๆ ในขณะที่แกล้งโง่ “ข้าไม่เข้าใจว่าเจ้ากำลังพูดอะไร คลายผนึกหัวใจของข้า นั่นคือสิ่งที่เจ้ากับข้าทำเงื่อนไขแลกเปลี่ยนกัน ไม่ใช่ข้า…”
นางยังคิดจะช่วงชิงอิสระที่เกิดขึ้นอย่างยากลำบาก ทว่าเหมียวอี้พูดตัดบทอย่างแข็งกร้าวมาก “เจ้าแน่ใจเหรอว่าอยากจะต่อต้านประมุขไป๋?”
ยิ้มไม่ออกแล้ว ไป๋เฟิ่งหวงเบิกตากว้าง จ้องเหมียวอี้ไม่รับสายตา “ปั้ง” จู่ๆ นางก็ตบโต๊ะ แล้วคำรามเหมือนใกล้จะเป็นบ้า “เจ้าปั่นหัวข้าเล่นใช่ไหม? ในเมื่อรู้แล้ว ยังจะถามทำบ้าอะไรอีก! ยอมรับเป็นเจ้านายแล้วยังไงล่ะ? เจ้าเศษสวะนั่นตายไปหลายปีแล้ว ต่อให้ข้ายอมรับเจ้าเป็นเจ้านาย แล้วเจ้าจะทำยังไงกับข้าอีก?”
แค่ปฏิกิริยานี้ก็เพียงพอแล้ว เหมียวอี้แอบโล่งอก สงสัยจะเดาไม่ผิด ในที่สุดก็คลายปริศนาได้แล้วว่าทำไมตอนแรกปีศาจสาวตนนี้ถึงเป็นฝ่ายมาหาเขาและยอมรับเขาเป็นเจ้านายก่อน
ถ้าไม่ใช่เพราะเดินทางไปที่ซากสำนักหนานอู๋ แล้วอวิ๋นจือชิวเทียบแผนที่ที่ได้มาจากจุดซ่อนสมบัติจนระบุสถานที่ผนึกพระปีศาจหนานโปในขั้นต้นได้ ทำให้เขาแน่ใจว่าคนซ่อนสมบัติคือประมุขไป๋ และอิงจากสิ่งนี้เป็นพื้นฐานเพื่อเชื่อมโยงไปถึงตาทิพย์รวมทั้งภาพเหตุการณ์ตอนบังเอิญเจอปีศาจสาวในทะเลดาวสับสน พอนำมาประกอบกับเรื่องที่ปีศาจสาวยอมรับเขาเป็นเจ้านาย จะไม่ให้สงสัยประมุขไป๋ก็คงยาก เขาถึงได้ทดสอบแบบนี้ เดาไม่ผิดจริงๆ ด้วย!
เมื่อมีความมั่นใจนี้แล้ว เหมียวอี้ก็ยื่นมือไปทางประตูใหญ่ “ถ้าเจ้าอยากกลืนคำพูดตัวเอง ข้าก็ไม่ฝืนใจ เชิญตามสะดวก เพียงแต่ว่า…เจ้าต้องรับผลที่ตามมาเองนะ!”
“ฮึ!” ไป๋เฟิ่งหวงทำเสียงฮึดฮัดอย่างเหยียดหยามเป็นพิเศษ แล้วหันตัวเดินออกไป ไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อยจริงๆ
เหมียวอี้วางสองมือบนโต๊ะ สีหน้าท่าทางไม่สะทกสะท้าน ไม่ยื้อนางด้วยเช่นกัน
ไป๋เฟิ่งหวงเดินยืดอกเชิดหน้าด้วยความเด็ดเดี่ยวมาจนถึงประตู นางวางสองมือบนประตู ขณะกำลังจะผลักออกไป ร่างกายก็หยุดชะงัก นางหันกลับมามองเหมียวอี้แวบหนึ่ง ผลก็คือพบว่าเหมียวอี้หลับตาแล้ว ไม่มีท่าทีว่าจะรั้งนางไว้สักนิดเลยจริงๆ
ใครจะคิดว่านางที่เมื่อครู่นี้ยังเด็ดเดี่ยวกล้าหาญมาก ตอนนี้จะหันตัวกลับมาอีกแล้ว เกิดดเสียงดังปั้ง นางตบฝ่ามือลงบนโต๊ะอีกครั้ง ทำให้ของที่อยู่บนโต๊ะกระเด็นไปทั่ว แล้วถลึงตาจ้องเหมียวอี้เงียบๆ อย่างดุร้าย
เหมียวอี้ลืมตาช้าๆ แล้วมองนาง ในใจรู้สึกขำ ที่เขากล้าปล่อยนางไปย่อมมีเหตุผลอยู่แล้ว เขาจำได้ว่าตอนที่ยังอยู่ธงพยัคฆ์ดำ ครั้งแรกที่ปีศาจสาวมาค่ายของธงพยัคฆ์ดำ นางเอาเยี่ยนเป่ยหงมาบีบให้เขาคลายผนึกตรงหัวใจให้ จากนั้นนางก็ไปทันที แต่เรื่องแปลกที่เกิดขึ้นในตอนหลังก็คือ จู่ๆ ปีศาจสาวตนนี้ก็กลับมาอีก พอเห็นเขาแล้วก็คุกเข่าคารวะ แล้วบอกว่ายอมรับเขาเป็นเจ้านายเลย ทำให้เขาประหลาดใจไม่รู้ว่าเพราะอะไรกันแน่ ตอนนั้นยังไม่ค่อยกล้ายอมรับด้วย
ตอนนี้พอรู้แล้วว่าเป็นเพราะประมุขไป๋ ก็เดาสาเหตุของเรื่องประหลาดในตอนนั้นได้ไม่ยากแล้ว ผู้หญิงคนนี้เย่อหยิ่งเหมือนไก่ตัวผู้ จะเต็มใจคุกเข่ายอมรับเขาเป็นเจ้านายได้อย่างไร จะต้องถูกแรงกดดันบางอย่างที่ไม่อาจต้านทานบีบบังคับแน่นอน
ไม่มีความมั่นใจนี้แล้ว เหมียวอี้เพียงแต่กลัวนางหนีอีกหรือ? เจ้าดูสิ ปีศาจสาวที่เด็ดเดี่ยวกล้าหาญหายไปในชั่วพริบตาเดียว กลับมาอย่างว่านอนสอนง่ายแล้วไม่ใช่เหรอ?
“ไม่ไปแล้วเหรอ?” เหมียวอี้ถามเสียงเรียบ
ไป๋เฟิ่งหวงแอบกัดฟันกรอด โบกมือโยนกำไลเก็บสมบัติวงหนึ่งมาตรงหน้าเหมียวอี้ แล้วหันตัวไปนั่งไขว่ห้างที่เก้าอี้ข้างๆ แล้วกล่าวอย่างหงุดหงิดไม่ยอมแพ้ “ถึงยังไงเจ้าก็เคยคลายผนึกหัวใจให้ข้า ข้าไม่ใช่คนหลงลืมบุญคุณ ของที่เจ้าต้องการอยู่ในนี้หมดแล้ว นับดูเอาเอง”
เหตุผลนี้ช่างทำให้คนพูดไม่ออกจริงๆ! เหมียวอี้ไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี นับว่าเข้าใจถึงคำกล่าวที่ว่า ‘ต่อให้เป็นเป็ดตายก็ยังปากแข็ง’ แล้ว เขานำของที่อยู่ข้างในกำไลเก็บสมบัติมาตรวจนับ
ผ่านไปได้สักพัก นับจำนวนแล้วว่าไม่ผิดพลาด เหมียวอี้ก็เก็บกำไลเก็บสมบัติ เอนหลังพิงเก้าอี้ แล้ววกกลับมาประเด็นหลัก “ไป๋เฟิ่งหวง ข้าเป็นนาย เจ้าเป็นบ่าว เจ้าไม่ปฏิเสธใช่ไหม?”
“ข้ายังไม่เคยเห็นใครหน้าด้านหน้าทนอย่างเจ้ามาก่อนเลย ไม่น่าเชื่อว่าจะเอาความซาบซึ้งใจชั่วครู่ในปีนั้นมาบีบข้าไม่ปล่อย เรายังเป็นผู้ชายอยู่หรือเปล่า?” ไป๋เฟิ่งหวงกล่าว
“อย่าเปลืองคำพูดมาก เขาแค่ถามว่าเจ้าจะยอมรับหรือไม่ยอมรับ?” เหมียวอี้
“เชอะ!” ไป๋เฟิ่งหวงแสยะยิ้ม “เจ้าก็แค่ได้มาเจอคนที่พูดแล้วไม่คืนคำอย่างข้าเฉยๆ หรอก ข้าทำเรื่องประเภทกลืนคำพูดตัวเองไม่ลง ถ้าเปลี่ยนเป็นคนอื่นคงตบเจ้าตายด้วยฝ่ามือเดียวไปแล้ว เจ้าค่อยๆ ภาคภูมิใจไปเถอะ”
ยังปากแข็งอีกเหรอ? เหมียวอี้รู้สึกขำ แต่ก็ช่างเถอะ ปากแข็งก็ส่วนปากแข็ง เพราะความจริงนางยอมแพ้แล้ว ไม่ว่าปากกับใจจะตรงกันหรือไม่ ขอเพียงยอมรับก็พอแล้ว แม้จะโดนบังคับจนหมดหนทางก็ตาม แต่ก็ยังมีปริศนาอีกอย่างที่เขาอยากจะทำความเข้าใจ “ตอนแรกที่เจ้าเข้ามาในค่ายของกองทัพข้า ข้าคลายผนึกหัวใจให้เจ้าแล้ว เจ้าออกไปได้แล้วแท้ๆ ตอนหลังจะกลับมายอมรับข้าเป็นเจ้านายอีกทำไม? ในนั้นจะต้องมีเหตุผลอะไรแน่นอน ใครบังคับให้เจ้ากลับมา?”
“อย่ามาแกล้งโง่หน่อยเลย ถ้าไม่ใช่เพราะ…” ไป๋เฟิ่งหวงที่กำลังแสยะยิ้มหยุดชะงัก แล้วค่อยๆ หรี่ตาจ้องเหมียวอี้ แววตาเหมือนกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง นางเข้าใจแล้ว ว่ายังมีบางเรื่องที่เจ้าหมอนี่ยังไม่รู้! เมื่อมีความคิดแบบนี้ นางจะยังตอบอย่างซื่อสัตย์ได้อย่างไร ความคิดที่จะรักษาอิสระเอาไว้จะหายไปง่ายๆ ไม่ได้ นางจึงเปลี่ยนประเด็นสนทนา “ก็บอกเอาไว้ชัดเจนแล้วไม่ใช่เหรอ ที่ยอมรับเจ้าเป็นเจ้านายก็เพราะในปีนั้นข้าซาบซึ้งใจ!”
ตอนนี้นางสบายใจแล้ว ยอมรับไปเสียเลยว่าตัวเองรับเขาเป็นเจ้านาย อย่างไรเสียก็หลบไม่พ้น เพราะนางรู้ถึงความร้ายกาจของท่านนั้น คนระดับนั้นถึงแม้จะตายแล้วแต่ก็ยังไม่หมดฤทธิ์ ต่อให้เป็นอานุภาพที่หลงเหลืออยู่ ก็ไม่ใช่สิ่งที่นางจะต้านทานไหวอยู่ดี นางเคยได้รับบทเรียนมาแล้ว ในเมื่อหลบหนีมูลเหตุไม่พ้น เช่นนั้นก็พยายามหลบเลี่ยงการถูกจูงจมูกเดิน
มารดาเจ้าเถอะ! เหมียวอี้หมั่นไส้จนคันฟัน ต่อให้เป็นคนโง่ก็ฟังออกว่าไป๋เฟิ่งหวงกำลัง ‘เบี่ยงประเด็น’
เขาข่มความโกรธเอาไว้ แล้วเปลี่ยนประเด็นถาม “ในเมื่อปีนั้นประมุขไป๋ตั้งใจเลือกเจ้ามาแล้ว ก็คงไม่ได้วางแผนให้เจ้ามารินน้ำชาให้ข้าอย่างเดียวหรอกมั้ง? คาดว่าคงจะสั่งอะไรอย่างอื่นมาอีก บอกมาเถอะ เขายังสั่งเจ้าให้ทำอะไรอีก?”
“ไม่มีละมั้ง?” จู่ๆ ไป๋เฟิ่งหวงก็ทำท่าทางเหมือนไร้เดียงสามาก ดวงตางามกระพริบปริบๆ “ข้าก็จำไม่ค่อยได้แล้วว่าเขาเตรียมอะไรเอาไว้ เจ้าเตือนข้าสักหน่อยได้มั้ยล่ะ?”
มารดาเจ้าเถอะ! ถ้าพ่อรู้แล้วจะยังถามเจ้าอีกเหรอ? เหมียวอี้ถามเสียงต่ำว่า “หรือว่าเจ้าอยากจะเป็นสาวใช้ของข้าจริงๆ ต้องคอยรินน้ำชาให้ข้าไปตลอดชีวิตเหรอ?”
ไป๋เฟิ่งหวงทรงตัวไม่อยู่ทันที ใช้ท้องแขนยันไว้บนที่วางมือ ใช้มืออีกข้างเท้าคาง แล้วหรี่ตายิ้ม “ในเมื่อยอมรับเป็นเจ้านายแล้ว งานจิปาถะข้าก็ยอมรับเช่นกัน ถ้าเจ้ายินดีให้ข้ารินน้ำชาอยู่ข้างกายเจ้าตลอดไป ไม่กลัวคนอื่นเห็น ข้าก็ไม่ว่าอะไร แต่เจ้าต้องรู้เอาไว้นะ ว่าถ้าประมุขชิงรู้ว่าเจ้ากับข้าสมคบคิดกัน จะไม่ให้เขาคิดมากก็คงยาก เจ้าต้องไตร่ตรองดูให้ดีนะ ข้าไม่ได้คัดค้านอะไร”
เหมียวอี้ทำสีหน้าเหมือนโดนตะคริวกิน จ้องนางอย่างเย็นเยียบ ในใจด่าแม่แล้ว ก็เหมือนที่นางเพิ่งบอกเมื่อครู่นี้ เขาแน่ใจว่าประมุขไป๋ต้องสั่งอะไรปีศาจสาวตนนี้ไว้แน่นอน ดูจากเรื่องซ่อนสมบัติก็รู้แล้วว่าประมุขไป๋เป็นคนละเอียดรอบคอบ วางหมากไว้ต่อเนื่องเป็นทอดๆ ไม่มีทางที่จะเกิดช่องโหว่ใหญ่ขนาดนั้นได้ การจับคนที่มีฐานะอ่อนไหวทั้งยังเชื่อถือไม่ได้มาไว้ในแผนการเพื่อสร้างความยุ่งยากให้ผู้หาสมบัติแบบนี้ แสดงว่าต้องมีจุดประสงค์อื่นแน่นอน!
ทว่าด้วยนิสัยจอมแก่นของปีศาจสาวตนนี้ เขาก็นับว่าดูออกแล้วว่าทำเรื่องนี้ให้เป็นจริงไม่ได้ ภายใต้สถานการณ์ที่เจ้าไม่มีความมั่นใจอะไร ก็อย่าหวังเลยว่าเจ้าจะถามอะไรจากนางได้! ที่สำคัญก็คือ วรยุทธ์ของปีศาจสาวตนนี้ก็ไม่ใช่ต่ำๆ เจ้ายังไม่เหมาะจะใช้วิธีการแข็งกร้าวกับนาง
เมื่อเห็นเขายอมแพ้ ไป๋เฟิ่งหวงก็รู้สึกเบิกบานใจ กล่าวด้วยน้ำเสียงออดอ้อนว่า “นายท่าน ต่อไปท่านจะจัดให้ข้าไปอยู่ตรงไหนดีคะ?”
“รินน้ำชา!” เหมียวอี้ชี้ไปที่ถ้วยน้ำชา คิดว่าพ่อไม่กล้าจิกหัวใช้เจ้าเหมือนสาวใช้รึไง…
หอสามจันทรา!
สวีถังหรานที่ปลอมตัวแล้วเงยหน้ามองป้ายหอนางโลมตรงหน้าอีกครั้ง ตามที่หยางเจาชิงสั่งมา ให้ทิ้งกฎเกณฑ์ไว้สักหน่อย ให้มาทุกๆ สามวัน นี่ก็เป็นครั้งที่สี่แล้ว แต่ก็ไม่พบความผิดปกติอย่างที่หยางเจาชิงบอก
“นายท่าน มาแล้วเหรอคะ”
กลิ่นเครื่องประทินโฉมโชยใส่หน้า ผู้หญิงหลายคนที่แต่งตัวสวยกรูกันเข้ามาดึงตัว
สวีถังหรานก็ไม่เกรงใจเช่นกัน ในเมื่อได้รับคำสั่งให้มาหาความสำราญ ก็ย่อมไม่ทำให้ตัวเองเสียเปรียบ ใช้มือซ้ายมือขวาบีบก้นพวกนาง เดินกอดพวกนางเข้าไปข้างใน
เมื่อเห็นว่าเป็นแขกประจำ แม่เล้าวัยกลางคนที่แต่งหน้าจัดจ้านก็รีบเดินเข้ามาพูดคุยหยอกล้อสวีถังหราน “ในหอมีสาวสวยมาใหม่หลายคน อยากจะเปลี่ยนรสชาติดูมั้ยคะ?”
“ไม่ต้องแล้ว เอาเจียวอวี้แล้วกัน” สวีถังหรานโบกมือ แล้วเดินตรงขึ้นไปชั้นบน เหมือนรีบร้อนนิดหน่อย
นี่ไม่ใช่การเสแสร้ง เขาใจร้อนจริงๆ ผู้หญิงที่ชื่อเจียวอวี้นั่นมีรสชาติที่ต่างออกไป เขายังเล่นไม่เบื่อ และอีกฝ่ายก็มีวิธีการยั่วยวนแขกให้กระเหี้ยนกระหือรือ นางสัญญากับสวีถังหรานไว้แล้ว ว่าถ้าครั้งหน้าสวีถังหรานมาอุดหนุนนางอีก นางก็จะให้สวีถังหรานได้เห็นอะไรแปลกใหม่ สวีถังหรานจดจำเอาไว้ตลอด ตอนนี้ย่อมยังไม่อยากเปลี่ยนคน
แม่เล้ารีบตามไปด้านหลัง แล้วกล่าวขออภัยซ้ำๆ “นายท่าน ขออภัยจริงๆ ค่ะ มาผิดจังหวะแล้ว มันนี้เจียวอวี้ออกไปแสดงข้างนอก แต่สาวสาวหลายคนที่มาใหม่ก็ไม่ได้ด้อยกว่าเจียวอวี้เลยนะคะ รับรองว่านายท่านพอใจแน่”
มารดาเจ้าเถอะ ขนาดข้าจ่ายเงินแล้ว เจ้ายังกล้าผิดสัญญาอีก เชื่อมั้ยว่าข้าสั่งปิดหอสามจันทราได้? สวีถังหรานเดือดดาลในใจ หยุดเดินแล้วจ้องแม่เล้าด้วยสายตาเย็นเยียบ
แม่เล้าทำสีหน้าราวกับโดนตะคริวกิน จากนั้นก็รีบกล่าวขออภัยซ้ำๆ พูดแต่สิ่งดีๆ ออกมาเป็นชุด
“ฮึ! ถ้าไม่มีเจียวอวี้มาปรนนิบัติ เจ้าก็ตัดสินใจเอาเองแล้วกัน!” สวีถังหรานทำเสียงฮึดฮัดไม่พอใจ แล้วหันหน้าเดินขึ้นตึกต่อไป
ถ้าไม่ใช่เพราะมาพร้อมภารกิจ วันนี้เขาคงไม่ได้คุยง่ายแบบนี้แน่นอน อย่าไปมองว่าตอนอยู่ต่อหน้าเหมียวอี้เขาเคารพนอบน้อมว่านอนสอนง่าย เพราะที่จริงแล้วตอนอยู่ข้างนอกเขาโหดเหี้ยมเลวทรามมาก เขาทำเรื่องดำมืดทุกอย่างมาหมดแล้ว ไม่ใช่คนถือศีลกินเจเลย ถึงแม้จะอยู่ที่ตลาดผี แต่ถ้าเขาอยากจะทำลายหอสามจันทรานี่จริงๆ ก็มีวิธีการอยู่แล้ว!
…………………………