พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - บทที่ 1664 ร้ายกาจเกินไปแล้ว
“ฝึกฌานเสพสังวาส…” สวีถังหรานอึ้งนิดหน่อย แล้วจู่ๆ ก็ถามอย่างตกใจ “อย่าบอกนะว่านางคือคนของสำนักหลัวช่าแดนพุทธ?”
เหมียวอี้หันตัวมา มองเขาศีรษะจดเท้า พบว่าเจ้าหมอนี่…อย่าไปมองแค่ว่าการปฏิบัติตัวแย่ เพราะมีเรื่องที่รู้เยอะมาก คุยเรื่องฟ้าก็รู้ คุยเรื่องดินก็รู้ ไม่ว่าจะคุยเรื่องในด้านไหนก็ตามเจ้าทันทุกเรื่อง
สวีถังหรานถามเสริมอย่างกระจ่างอีกว่า “อย่าบอกนะว่าระบำนั้นคือระบำมารสวรรค์?”
เหมียวอี้หัวเราะแห้งๆ ทำท่าเหมือนกำลังบอกว่า ‘เจ้าคิดว่าอย่างไรล่ะ’
สวีถังหรานเข้าใจแล้ว กล่าวอย่างหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก “เอ่อ…สำนักหลัวช่านี่ช่างเป็นของแปลกของแดนพุทธจริงๆ”
“กลุ่มคนที่บอกว่ารูปคือความว่างเปล่า ความว่างเปล่าก็คือรูป ตายแล้วก็ยังบอกว่าเป็นได้ เป็นอยู่ก็บอกว่าตายได้ สรุปก็คือไม่ว่าจะพูดอะไรก็กลายเป็นว่าพวกเขามีเหตุผลเสมอ แดนพุทธมีของแปลกอะไรอย่างนั้นที่ไหนกัน ก็แค่ฝนตกขี้หมูไหล คนจัญไรมาพบกันไม่ใช่เหรอ?” เหมียวอี้แสยะยิ้มเหยียดหยาม
สำหรับในจุดนี้เขาเข้าใจอย่างลึกซึ้ง สาเหตุก็ไม่ใช่เพราะอะไร เป็นเพราะในบ้านเขาก็มีเจ้าศีลแปดอยู่คนหนึ่งเหมือนกัน เจ้ารองอาศัยว่าตัวเองเป็นคนออกบวช ไม่ว่าตัวเองทำอะไรก็จะอ้างเหตุผลได้เสมอ เมื่อไม่มีเหตุผลให้อ้างแล้วจริงๆ เมื่อพิสูจน์ได้แล้วว่าเรื่องบางเรื่องคนออกบวชไม่สมควรทำ ยกตัวอย่างเช่นเรื่องกามารมณ์ ศีลแปดก็จะบอกว่า ‘สรรพสิ่งล้วนเท่าเทียม’ บอกให้เจ้าไม่ต้องมองเขาเป็นนักบวชก็สิ้นเรื่องแล้ว การเป็นศิษย์สำนักพุทธนี่ช่างน่าอิจฉาจริงๆ
เมื่อสวีถังหรานได้ยินแบบนี้ ก็ทำท่าตกตะลึงพรึงเพริด แล้วประจบสอพลอว่า “นายท่านมีความคิดอ่านสูงส่ง พูดประโยคเดียวตรงจุด เป็นข้าน้อยเองที่หลงผิดคิดเป็นจริงเป็นจัง”
หยางเจาชิงเอียงหน้ามองด้านข้างอย่างพูดไม่ออก
เหมียวอี้คุ้นชินกับการประจบสอพลอของเจ้าเวรนี่แล้ว
“นายท่าน ขั้นต่อไปควรจะทำยังไง?” สวีถังหรานถามอีก
เหมียวอี้โบกมือ บอกใบ้ให้เขาออกไปก่อน “ข้าค่อยคิดอีกที”
รอจนกระทั่งสวีถังหรานถอยออกไปอย่างมีมารยาท เหมียวอี้ก็เอียงหน้ามองหยางเจาชิง “บอกผลลัพธ์ให้หยางชิ่งรู้เถอะ ดูว่าเขาจะพูดยังไง”
“ขอรับ!” หยางเจาชิงเอ่ยรับคำสั่ง แล้วหยิบระฆังดาราออกมาติดต่อหยางชิ่ง รายงานผลลัพธ์ให้รู้ และคิดจะถามเขาว่าแผนขั้นต่อไปคืออะไร
แต่ใครจะคิดว่าหยางชิ่งกลับไม่พูดอะไรมากอีก หยุดติดต่อกับหยางเจาชิง แล้วติดต่อหาเหมียวอี้โดยตรง เป็นฝ่ายบอกเรื่องให้ครั้งนี้เอง
บางทีอาจจะเป็นเพราะทั้งสองฝ่ายรู้แล้วว่าต่างฝ่ายต่างรู้ สาเหตุที่ก่อนหน้านี้เหมียวอี้อดใจไม่ถาม เพราะนอกจากจะไม่อยากทำให้หยางเจาชิงอึดอัด อีกสาเหตุก็เพราะตอนนี้มอบอำนาจให้หยางชิ่งเยอะมาก เขาต้องการแสดงให้หยางชิ่งเห็นว่าเชื่อใจ
ส่วนหยางชิ่งก็เข้าใจบทบาทของหยางเจาชิงยามอยู่ข้างกายเหมียวอี้ดีมาก รู้ว่าเป็นไปไม่ได้ที่หยางเจาชิงจะทำเรื่องนี้ลับหลังเหมียวอี้ จะต้องบอกเหมียวอี้แน่นอน สาเหตุที่เขาทำมากพิธีรีตองขนาดนี้ ก็เป็นเพราะอยากจะแสดงท่าทีให้ชัดเจน ว่าไม่สนับสนุนให้ทำอย่างนี้
ผลก็คือหยางชิ่งรู้สึกผิดคาดนิดหน่อย ไม่น่าเชื่อว่าเหมียวอี้จะอดใจไม่ถามเขาได้ ยังให้หยางเจาชิงปฏิบัติตามเดิม ทำให้หยางชิ่งต้องแอบสะท้อนใจ แม้เหมียวอี้จะมีจุดบกพร่องมากมาย แต่สุดท้ายก็ยังก้าวหน้าอย่างช้าๆ เรื่องบางเรื่องยิ่งนับวันก็ยิ่งข่มอารมณ์เก่ง เริ่มมีลักษณะของแม่ทัพใหญ่ ไม่รู้ว่าจะมีวันที่ใจกว้างดุจจักรวาลหรือเปล่า!
ในเมื่อพูดถึงเรื่องนี้แล้ว เหมียวอี้ก็ย่อมถามถึงสิ่งที่ตัวเองสงสัย : เจ้ารู้ได้ยังไงว่าให้สวีถังหรานไปหอนางโลมแล้วจะตกคนของสำนักหลัวช่าได้? แค่เพราะเจ้าได้ยินจากปากจินม่านว่าข้าเคยถามเรื่องระบำมารสวรรค์น่ะเหรอ?
หยางชิ่ง : ข้าน้อยรู้มาจากหยางเจาชิงว่าคนของสำนักหลัวช่ากำลังแอบจับตาดูนายท่าน
เหมียวอี้ : แค่สองอย่างนี้ เจ้าก็เดาออกแล้วเหรอว่าสวีถังหรานสามารถตกคนของสำนักหลัวช่าได้?
หยางชิ่ง : จะเรียกอย่างนั้นก็ไม่ได้ ตอนแรกข้าน้อยก็แค่สงสัยนิดหน่อย ไม่อาจยืนยัน ถึงต้องทดสอบก่อน เป็นฝ่ายเตรียมปัจจัยที่เกี่ยวข้องไว้ให้เรียบร้อย ช่วยสร้างโอกาสให้สำนักหลัวช่าวางกับดัก ทำให้สำนักหลัวช่าคิดว่าฝ่ายพวกเขากำลังวางกับดัก ไม่ใช่ฝ่ายพวกเรากำลังวางกับดัก เพียงทำให้พวกเขาคิดไปเองว่าฝ่ายพวกเราติดกับดักแล้ว แบบนี้ถึงจะไม่ทำให้อีกฝ่ายสงสัยง่ายๆ ไม่อย่างนั้นทำแบบนี้ไปก็ไม่มีความหมายอะไร
เหมียวอี้ : เจ้ายังไม่ได้บอกข้าเลย ทำไมเจ้ารู้ว่าให้สวีถังหรานไปหอนางโลมแล้วจะสร้างกับดักนี้สำเร็จ?
หยางชิ่ง : ข้าน้อยก็แค่ไม่เข้าใจว่าทำไมสำนักหลัวช่าต้องแอบจับตาดูนายท่าน ไม่ว่าจะมีเจตนาร้ายต่อนายท่าน หรือว่าอยากจะปกป้องนายท่าน แต่ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะทำอย่างนี้ แดนพุทธไม่มีทางเข้ามายุ่งเรื่องตำหนักสวรรค์ง่ายๆ มิหนำซ้ำอำนาจที่หนุนหลังนายท่านก็เห็นๆ กันอยู่ ทำอย่างนี้ไม่ฉลาดเลย และเมื่อนายท่านรู้ว่าถูกสำนักหลัวช่าจับตาดู ก็สั่งให้หยางเจาชิงเสริมการป้องกันที่จวนแม่ทัพภาคทันที คาดว่าสำนักหลัวช่าทำอย่างนี้คงไม่ได้มีเจตนาดีต่อนายท่าน ไม่ว่าอีกฝ่ายจะจับตาดูนายท่านเพราะอะไร แต่ก็คงไม่ถึงขั้นลงมือกับนายท่านที่ตลาดผี เพราะที่นี่มีคนเยอะเกินไป ทั้งยังเป็นถิ่นของตึกศาลาสัตยพรต ถ้าก่อเรื่องขึ้นที่นี่ สำนักหลัวช่ารับผิดชอบไม่ไหวแน่ สำนักหลัวช่าเองก็คงไม่อยากให้จุดอ่อนใหญ่ตกอยู่ในมือตึกศาลาสัตยพรตเช่นกัน หรือพูดได้อีกอย่างก็คือ ตอนนี้สำนักหลัวช่าก็แค่อยากจับตาดูนายท่าน ในเมื่ออยากจับตาดู การที่พวกเขาอยากรู้ความเคลื่อนไหวของนายท่านก็เป็นเรื่องที่สมเหตุสมผล ถ้าไม่ใช่เพราะมีความคิดนี้ ก็คงจะไม่ทำอย่างนี้ ไม่ว่าจะพูดยังไงก็นับว่าแดนพุทธยื่นมือเข้ามาสอดเรื่องฝั่งตำหนักสวรรค์ ถือว่าผิดข้อห้าม
เหมียวอี้ : เจ้าหมายความว่า จากสิ่งนี้สามารถตัดสินได้ว่า พวกเขาอยากจะเข้าใกล้คนที่อยู่ข้างกายข้า อยากจะรูความเคลื่อนไหวของข้าผ่านคนข้างกายข้าเหรอ?
หยางชิ่ง : ไม่ว่าพวกเขาจะมีความคิดนี้หรือไม่ แต่เมื่อสร้างปัจจัยทางด้านนี้ให้พวกเขาแล้ว หากพวกเขามีความคิดนี้ ก็อาจจะกลายเป็นสาเหตุที่พวกเขาทำอย่างนี้ก็ได้ ข้าน้อยไม่ทราบว่าทำไมสำนักหลัวช่าจึงต้องการจับตาดูนายท่าน ไม่สามารถคาดการณ์คำตอบที่แม่นยำได้ ทำได้เพียงทดสอบดู คนในจวนแม่ทัพภาคส่วนใหญ่ล้วนเป็นคนที่อ๋องสวรรค์โค่วส่งมา รวมตัวกันแน่นหนาเหมือนแผ่นกระดานเหล็ก ในช่วงแรกสำนักหลัวช่าเข้ามาหาข้อมูลข้างกายนายท่านลำบาก พวกเขาจับตาดูนายท่านอยู่ข้างนอก หาช่องทางเข้าใกล้ไม่ได้ แต่พวกเขาจะต้องสังเกตเห็นเรื่องที่สวีถังหรานไปหอนางโลมทุกสามวันแน่นอน บังเอิญว่าในมือพวกเขามีระบำมารสวรรค์ที่ใช้ยั่วยวนใจคน นี่คือแรงจูงใจใหญ่ที่สุดที่ทำให้พวกเขาวางกับดัก
เหมียวอี้ : เจ้ารับประกันได้เหรอว่าจะไม่ถูกพวกเขาจับได้?
หยางชิ่ง : สวีถังหรานชื่อเสียงไม่ดี ไปหอนางโลมก็เป็นเรื่องปกติมาก ขนาดฮูหยินของตัวเองยังออกมาจากหอนางโลมเลย การที่เขามีรสนิยมแบบนี้เป็นสิ่งที่ฟังขึ้น ที่สำคัญที่สุดก็คือพวกเขาไม่มีเหตุผลให้สงสัย สวีถังหรานแสร้งถูกพวกเขาควบคุมแล้วมีความหมายกับพวกเราเหรอ? ในสายตาพวกเขา พวกเราไม่จำเป็นต้องทำอย่างนี้เลย ต่อให้สวีถังหรานปล่อยข่าวปลอมเกี่ยวกับนายท่านให้พวกเขารู้ แล้วจะทำอะไรพวกเขาได้ล่ะ?
เหมียวอี้ : นี่ก็คือสิ่งที่ข้าสงสัยเหมือนกัน ให้สวีถังหรานทำอย่างนี้มีความหมายเหรอ?
หยางชิ่ง : ถ้ายืนอยู่ในมุมพวกเขานั้นไม่มีความหมาย แต่ถ้ายืนอยู่ในมุมพวกเราก็ไม่ใช่อย่างนั้น ถ้านายท่านดึงดันจะลงมือกับอิ๋งหยางตอนออกล่าที่น้ำพุวังเวงให้ได้ นั่นก็จะมีความหมายแล้ว
เหมียวอี้แปลกใจ : ไหนลองอธิบายให้ละเอียด!
หยางชิ่ง : ถ้านายท่านให้สวีถังหรานโยนเหยื่อล่อที่สามารถทำให้สำนักหลัวช่าสนใจได้ ล่อสำนักหลัวช่าไปที่น้ำพุวังเวง บังเอิญไปเจอกับดักของตระกูลอิ๋งที่น้ำพุวังเวงพอดี ผลก็คือถ้าสำนักหลัวช่าไม่ทันระวังตัวติดกับดักตระกูลอิ๋งแล้ว สำนักหลัวช่าจะต้องต่อต้านสุดชีวิตแน่นอน คงจะลดแรงกดดันให้นายท่านไม่ใช่น้อยๆ!
เมื่อได้ฟังเขาพูดแบบนี้ เหมียวอี้ก็หนังตากระตุกทันที เรียกได้ว่าหนาวสันหลังวาบๆ รู้สึกหนาวจนขนลุก ร้ายกาจ! ร้ายกาจมากจริงๆ! เขาพบว่าหยางชิ่งร้ายกาจเกินไปแล้ว สงสัยที่อ้อมค้อมอยู่นานก็เพื่อจะบอกท่าไม้ตายนี้ เท่ากับวางกับดักตายให้สำนักหลัวช่าชัดๆ ทั้งยังวางกับดักตายให้ตระกูลอิ๋งด้วยเหรอ?
หยางชิ่งอธิบายต่อว่า : สถานการณ์ในตอนนี้ไม่เป็นผลดีต่อนายท่าน กำลังที่มีอยู่ในมือนายท่านไม่อาจนำมาใช้อย่างเปิดเผยได้เลย ถ้าจะให้สู้กับพวกพี่ใหญ่ของตำหนักสวรรค์ก็เสียเปรียบเกินไป! ก็เป็นอย่างที่หยางชิ่งบอกไว้ตอนแรก ตอนนี้ฝ่ายที่จะให้นายท่านอาศัยแรงได้ก็มีแต่แดนสุขาวดีเท่านั้นที่เหมาะสมที่สุด ไม่ว่าจะเป็นกำลังหรือฐานะก็เป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด ครั้งนี้ก็เช่นเดียวกัน ถึงแม้กำลังของสำนักหลัวช่าจะสู้กำลังทัพตะวันออกของตระกูลอิ๋งไม่ได้ แต่ศักยภาพและฐานะก็มีคุณสมบัติที่จะท้าทายตระกูลอิ๋งได้เลย ตระกูลอิ๋งวางกับดักที่น้ำพุวังเวง สำนักหลัวช่าโหม่งหัวเข้าไปติดกับดักเอง ถึงตอนนั้นใครจะตายด้วยน้ำมือใครก็ยังไม่แน่ พวกเขาต่างหากคือคู่ต่อสู้ที่สูสี ไม่ใช่นายท่านแน่นอน ด้วยศักยภาพของสำนักหลัวช่า สามารถเปิดโปงกับดักสำรองทั้งหมดของตระกูลอิ๋งออกมาได้อยู่แล้ว และนายท่านก็แค่เฝ้ามองสองฝ่ายสู้กันก็พอ รอให้มีความมั่นใจแล้วค่อยลงมือก็ยังไม่สาย แต่ถ้าไม่มีความมั่นใจในความสำเร็จเลยสักนิด นายท่านก็ควรต้องถอย รอโอกาสเหมาะอีกครั้งก็ยังสาย!
เหมียวอี้ค่อนข้างพูดไม่ออก ถามอย่างไม่ค่อยมั่นใจว่า : ทำแบบนี้จะเหมาะสมเหรอ? ถ้าคนของพุทธะหน้าหยกกับคนของอ๋องสวรรค์อิ๋งสู้กันขึ้นมา ถ้าคนระดับอ๋องสวรรค์ของแดนสุขาวดีกับตำหนักสวรรค์สู้กันขึ้นมา เหตุการณ์จะไม่ใหญ่ไปหน่อยเหรอ? ต่อไปถ้าสำนักหลัวช่าบอกว่าข้าเป็นคนวางกับดัก ข้าจะไม่ต้องรับผิดชอบถึงผลที่ตามมาหรอกเหรอ?
หยางชิ่ง : นายท่านไม่ได้สั่งให้พวกเขาไปเสียหน่อย อาศัยแค่ข้อแก้ตัวนี้ก็เพียงพอแล้ว! ยิ่งไปกว่านั้น สำนักหลัวช่าจะพูดได้เหรอว่าติดกับดักนายท่าน? พวกเขาเสียหน้าแบบนั้นไม่ไหวหรอก ประการต่อมา สำนักหลัวช่าก็ไม่มีทางบอกเช่นกันว่าตัวเองแอบเข้ามาแทรกแซงฝั่งตำหนักสวรรค์จนติดกับดักนายท่าน ถ้าข้าน้อยเดาไม่ผิด เมื่อถึงตอนนั้น สำนักหลัวช่าจะต้องบอกว่าถูกจู่โจมตอนที่ผ่านทางมา ไม่สาวมาถึงตัวนายท่านแน่
เหมียวอี้ : แบบนั้นข้าจะไม่ล่วงเกินสำนักหลัวช่าแย่เหรอ?
หยางชิ่ง : ไม่น่าเชื่อว่านายท่านจะกลัวการล่วงเกินคนอื่น ข้าน้อยรู้สึกผิดคาดจริงๆ ขอยกคำพูดนายท่านมากล่าวก็แล้วกัน ต่อให้นายท่านไม่ไปหาเรื่องอีกฝ่าย อีกฝ่ายก็ไม่ปล่อยนายท่านไปอยู่ดี ความจริงก็แสดงให้เห็นตรงหน้าแล้ว ต่อให้นายท่านไม่ล่วงเกินพวกเขา แต่พวกเขาก็จับตาดูนายท่านเหมือนเดิม ถึงแม้ข้าน้อยจะไม่ทราบว่าพวกเขาจับตาดูนายท่านทำไม แต่คาดว่าคงไม่ได้มีเจตนาดีอะไรแน่นอน เมื่ออยู่ฝั่งตำหนักสวรรค์ ต่อให้สำนักหลัวช่าจะไม่พอใจนายท่าน แต่ก็ไม่กล้าทำซี้ซั้วโจ่งแจ้ง ปลอดภัยกว่าเผชิญหน้ากับพวกลูกพี่ใหญ่ของตำหนักสวรรค์ตั้งเยอะ ถ้านายท่านกังวลด้านนี้จริงๆ ข้าน้อยก็ขอร้องอย่างจริงใจ ว่านายท่านอย่าเหยียบเข้าไปในกับดักน้ำพุวังเวงเลย!
มีประโยชน์เหรอ? ถ้าโน้มน้าวให้เหมียวอี้หยุดได้ ก็คงไม่ต้องวางแผนนี้หรอก
เหมียวอี้มอบหมายเรื่องวางแผนรับมือสำนักหลัวช่าให้หยางชิ่งอย่างใจกว้างมาก โดยให้หยางเจาชิงติดต่อบงการสวีถังหรานว่าต้องทำอย่างไร สิ่งนี้พิสูจน์ได้แล้วว่าต้องดำเนินการตามเรื่องน้ำพุวังเวงแน่นอน
หยางชิ่งที่ตัวอยู่ในแดนอเวจีรู้สึกจนปัญญามาก กำระฆังดาราไว้ในมือพลางเงยหน้ามองฟ้าถอนหายใจ
ทว่ายังไม่จบเท่านี้ เหมียวอี้วางงานอีกอย่างให้เขาด้วย : ข้าจะแจ้งให้หกลัทธิรู้ทันที เลือกทัพใหญ่ที่แข็งแกร่งหนึ่งล้านเอาไว้รอฟังคำสั่ง ข้าจะไปรับมาจากแดนอเวจีให้เร็วที่สุด
มารับเหรอ? หยางชิ่งตกใจทันที : นายท่าน! อย่าบอกนะว่าท่านมั่นใจเรื่องออกล่าที่น้ำพุวังเวงก็เพราะทัพใหญ่หนึ่งล้านจากแดนอเวจี?
เหมียวอี้ : ถ้าใช่แล้วจะทำไม? ถ้าไม่ใช่เพื่อรอดูว่าเจ้าวางแผนอะไรอยู่ฝั่งนี้ ข้าคงอยู่ระหว่างทางไปแดนอเวจีแล้ว
หยางชิ่งร้อนใจแล้ว : ไม่ได้เด็ดขาด มีคนมากมายขนาดนี้ออกจากแดนอเวจี เกรงว่าจะทำให้หกลัทธิเกิดความคิดอย่างอื่นได้ อีกทั้งออกไปแล้วก็ยังควบคุมลำบากด้วย
นายท่านโปรดอย่าใจร้อน เรื่องทางสำนักหลัวช่าข้าน้อยจะไตร่ตรองหาวิธีการอีกครั้ง…
เหมียวอี้ตัดบทเสียเลยว่า : เรื่องทางสำนักหลัวช่า เจ้าควรจะทำยังไงก็ทำต่อไป ส่วนกำลังพลของแดนอเวจี ข้าก็จะเอาออกมาเหมือนกัน!
หยางชิ่ง : นายท่าน…
เหมียวอี้พูดตัดบทอีกครั้ง : หยางชิ่ง ข้าจะบอกเจ้าเอาไว้ให้ชัดเจนเลยนะ ธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์แปดล้านคันที่ได้จากทะเลดาวสับสนอยู่ในมือข้าหมดแล้ว! เรื่องควบคุมคนที่ออกมาน่ะ เจ้าไม่ต้องกังวลหรอก ให้หกลัทธิไปกังวลเอาเอง ข้าให้สัญญาพวกเขาได้ ว่าหลงัจากจบเรื่องแล้ว จะแบ่งธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ให้พวกเขาฝ่ายละห้าแสนคัน จะคุ้มหรือไม่คุ้มก็ให้พวกเขาไปคำนวณเอาเอง ข้าไม่สนว่าเขาออกล่าที่น้ำพุวังเวงจะมีกับดักอะไรหรือเปล่า ข้าไม่สนว่าเขาจะมีคนมากเท่าไร ไม่สนด้วยว่าจะมียอดฝีมือกี่คน สรุปคือเลิกฝันซะว่าจะมีคนรอดกลับไปได้แม้แต่คนเดียว!
…………………………