พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - บทที่ 1669 ค้างคาวกลืนวิญญาณ
“อย่าบอกนะว่าเม่ยจียืนยันเรื่องทางฝั่งหนิวโหย่วเต๋อได้แล้ว?” เสวี่ยอวี้รีบถาม
เม่ยจีก็คือศิษย์ของนาง และนางกับอวี้หลัวช่าเดิมทีก็มีความสัมพันธ์นายบ่าว ตอนหลังเพิ่มสัมพันธ์ศิษย์อาจารย์อีก
“ก็ใช่ว่าจะยืนยันไม่ได้ แต่หลังจากเม่ยจีสืบได้ว่าหนิวโหย่วเต๋อวางแผนลับกับคนอื่นแล้วเอ่ยถึงสำนักหนานอู๋ ก็จะไปตามหาของบางอย่างที่น้ำพุวังเวงอีก” อวี้หลัวช่ากล่าวอย่างลังเล
“หรือว่าของของสำนักหนานอู๋ซ่อนอยู่ที่น้ำพุวังเวง? เรื่องนี้เป็นไปได้เหรอ?” เสวี่ยอวี้ประหลาดใจ
“ไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้ น้ำพุวังเวงอันตรายมาก เหมาะจะซ่อนของเอาไว้พอดี และเป็นไปได้สูงว่าหนิวโหย่วเต๋อจะพบเบาะแสบางอย่างจากซากสำนักหนานอู๋ ตามที่เม่ยจีบอก นางกลัวว่าหนิวโหย่วเต๋อจะไม่ยอมเคลื่อนไหว ก็เลยพูดเรื่อง ‘สำนักหนานอู๋’ มาหยั่งเชิงกระตุ้น หนิวโหย่วเต๋อถึงได้เคลื่อนไหว ดังนั้นไม่ว่าจะยังไง ก็ต้องหาทางค้นหาหลักฐานดูสักหน่อย ข้าไม่สะดวกจะออกจากที่นี่นางเกินไป เรื่องนี้เจ้าต้องไปด้วยตัวเองสักรอบ” อวี้หลัวช่ากล่าว
“ศิษย์เข้าใจแล้ว จะออกเดินทางเดี๋ยวนี้” เสวี่ยอวี้พยักหน้า
อวี้หลัวช่าบอกอีกว่า “ยังมีอีก เม่ยจีสืบได้ว่าหนิวโหย่วเต๋อต้องการหากำลังคน บอกว่าค่อนข้างอันราย เจ้าอย่าได้ประมาท พาคนไปเยอะๆ หน่อย พยายามอย่าให้ฝ่ายเราเผยพิรุธอะไร คนที่พาไปด้วยต้องเชื่อถือได้ ห้ามมีข่าวหลุด แล้วพยายามปิดบังตัวตนของพวกเราด้วย เรื่องนี้เจ้าน่าจะเข้าใจ”
ตอนที่เสวี่ยอวี้พยักหน้า ก็ถามอีกว่า “ถ้าหนิวโหย่วเต๋อหาที่นั่นเจอแล้วจริงๆ พวกเราจะจัดการตัวเองยังไงคะ? ด้วยภูมิหลังของเขา…”
“มีโค่วหลิงซวีหนุนหลังแล้วยังไงล่ะ?” อวี้หลัวช่ากล่าวอย่างไม่ลังเลเลยสักนิด “ถ้าหาพบแล้ว ตอนที่ข่าวยังไม่หลุดไป ก็กำจัดเขาซะ!”
เมื่อได้ยินแบบนี้ เสวี่ยอวี้ก็มีความมั่นใจแล้ว รู้แล้วว่าควรทำอย่างไร
วัดพระกษิติครรภ์ เม่ยจีได้รับข่าวจากฝั่งแดนสุขาวดีอย่างรวดเร็ว หลังจากเรียกรวมลูกศิษย์ให้รีบปลอมตัวแล้ว ก็ออกจากวัดพระกษิติครรภ์ไปอย่างเงียบๆ ออกจากตลาดผีไปแล้ว รีบมุ่งหน้าสู่น้ำพุวังเวง ได้รับคำสั่งให้สำรวจเส้นทางล่วงหน้า…
แดนรัตติกาล อยู่ในขอบเขตแดนปรภพ เขาภูตพเนจรก็อยู่ที่แดนรัตติกาลเช่นกัน แต่กลับไม่ได้อยู่ในรัศมีใจกลาง บริเวณใจกลางที่แท้จริงจะอยู่กลางดาราจักรที่ราวกับมีเมฆหมอกหมุนวนหลายกลุ่ม ทั้งแปลกประหลาดล้ำลึกทั้งเงียบสงบ ในระหว่างเมฆหมอกทุกกลุ่มล้วนมีรูปทรงกรวยอันหนึ่ง รูรูปทรงกรวยเหมือนกับตาน้ำพุ ที่นี่จึงถูกเรียกว่าน้ำพุวังเวง
ตาน้ำพุทั้งเล็กทั้งใหญ่กลางดาราจักรอันกว้างใหญ่ราวกับเป็นดวงตาผีหลายดวง ตอนที่ยังอยู่ไกลๆ จากจุดนี้จะรู้สึกเหมือนถูกดวงตาที่ล้ำลึกน่าสะพรึงจับจ้อง ถึงแม้ตาน้ำพุจำนวนนับไม่ถ้วนจะมีทั้งเล็กทั้งใหญ่ แต่ตาน้ำพุทั้งหมดล้วนมีทางผ่านไปยังสถานที่แห่งเดียว น้ำพุวังเวง!
ที่จริงตาน้ำพุนี้ก็คล้ายกับประตูดวงดาว พอคนเข้าใกล้ก็จะถูกแรงดึงดูดมหาศาลดูดเข้าไป แต่ก็ไม่เหมือนประตูดวงดาวอยู่ดี ก็อย่างที่บอก ว่าตาน้ำพุทั้งหมดล้วนเป็นทางผ่านไปยังสถานที่แห่งเดียว นั่นก็คือน้ำพุวังเวง!
กำลังพลหลายหมื่นในดาราจักรเหาะมาถึงอย่างรวดเร็ว พวกเขามาหยุดอยู่ตรงจุดที่ไม่ไกลจากเมฆหมอกหมุนวน สามารถหลบแรงดึงดูดของตาน้ำพุได้พอดี
ผู้นำที่อยู่แถวหน้ากำลังพลก็ไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นลูกหลานของตระกูลเซี่ยโห้ว อิ๋ง ฮ่าว ก่วง โค่วนั่นเอง คนของตระกูลเซี่ยโห้วก็คือเซี่ยโห้วเจิ้งยาง คนของตระกูลอิ๋งก็คืออิ๋งหยาง คนของตระกูลฮ่าวชื่อฮ่าวอวิ๋นเทียน คนของตระกูลก่วงชื่อว่าก่วงเซิ่ง คนของตระกูลโค่วก็คือโค่วเหวินไป๋
คนของสี่อ๋องสวรรค์ล้วนเป็นลูกคนโตของลูกชายคนโต มีเพียงตระกูลเซี่ยโห้วที่ส่งลูกชายคนโตของเซี่ยโห้วลิ่งซึ่งเป็นลูกชายคนรองมา แต่ตระกูลเซี่ยโห้วก็แตกต่างจากตระกูลอื่น ไม่มีใครรู้ชัดว่าเซี่ยโห้วท่ามีลูกหลานกี่คนกันแน่ คาดว่าลูกหลานส่วนใหญ่คงหลบอยู่ในที่ลับกันหมด ในจุดนี้มีคนไม่น้อยที่รู้อยู่แก่ใจ
นอกจากคนของห้าตระกูลนี้ ยังมีลูกหลานของพวกจอมพลและเทพประจำดาวมาเข้าร่วมด้วย
“การออกล่าครั้งนี้จะเดิมพันอะไร?” อิ๋งหยางมองซ้ายมองขวา แล้วถามถึงการเดิมพันก่อน
“กติกาเดิมแล้วกัน เดิมพันว่าใครจะกลับไปมือเปล่า” เซี่ยโห้วเจิ้งยางตอบเสียงเรียบ
“ดี!” คนอื่นๆ ตอบรับ
ที่เรียกว่ากติกาเดิมก็คือดูว่าใครล่าได้เยอะที่สุด แล้วคนอื่นๆ ก็ต้องมอบของทุกอย่างที่ล่าได้ให้คนนั้น แล้วกลับบ้านมือเปล่า คนที่อยู่ในระดับอย่างพวกเขา จะบอกว่าทรัพยากรฝึกตนไม่สำคัญก็ไม่ได้ เพื่อที่จะกดดันพวกเขา ตระกูลไม่อาจให้ทุกอย่างแก่พวกเขาตามอำเภอใจได้ แต่ในโอกาสและสถานที่แบบนี้ สิ่งที่สำคัญกว่านั้นก็คือหน้าตาศักดิ์ศรี ถ้าสามารถทำให้คนอื่นกลับบ้านมือเปล่าได้ ก็เท่ากับเป็นชัยชนะสูงสุดของการออกล่าครั้งนี้
หลังจากกำหนดกติกาแล้ว ทุกคนก็ยังไม่รีบบุกเข้าไป ถ้าคนทั่วไปมาที่นี่ก็ถือว่าอันตราย แต่พวกเขามีฐานะไม่ธรรมดา ย่อมไม่เกิดความเสี่ยงได้ง่ายๆ เพราะส่งคนมาสำรวจเส้นทางล่วงหน้าแล้ว
ผ่านไปไม่นาน ก็มีคนทยอยโผล่ออกมากลางอากาศ สายลับของตระกูลเซี่ยโห้วมารายงานก่อน บอกว่าทุกอย่างปกติดี
“ไป!” เซี่ยโห้วเจิ้งยางโบกมือ นำกำลังคนในเครือข่ายของตระกูลเซี่ยโห้วออกเดินทางก่อน บุกเข้าไปที่ตาน้ำพุแห่งหนึ่ง ชั่วพริบตาเดียวก็หายเข้าไปในนั้น
ที่จริงคนของตระกูลเซี่ยโห้วมาน้อยที่สุด ก็ช่วยไม่ได้ ภายนอกตระกูลเซี่ยโห้วไม่สามารถใช้คนมาช่วยเพิ่มบารมีของตัวเองเยอะเกินไป
สายลับของตระกูลอื่นๆ ทยอยกลับมารายงาน และบุกเข้าน้ำพุวังเวงเช่นกัน
ไม่รู้เหมือนกันว่าจงใจหรือเปล่า สายลับของตระกูลอิ๋งปรากฏตัวเป็นคนสุดท้าย หลังจากรายงานว่าทุกอย่างปกติแล้ว อิ๋งหยางก็ยังถามอย่างละเอียดอีก “ในน้ำพุวังเวงไม่มีคนอื่นแล้วเหรอ?”
สายลับตอบว่า “คนกลุ่มหนึ่งกำลังออกล่า น่าจะเป็นพวกนักพรตอิสระกับคนจากบางสำนัก พวกเขาเข้าไปถึงชั้นห้าของน้ำพุวังเวงแล้วก็หยุดตามปกติ มีคนส่วนน้อยที่จะกล้าเข้าไปลึกกว่านี้”
อิ๋งหยางพยักหน้าเบาๆ นี่ก็เป็นเรื่องปกติ นักพรตอิสระบางส่วนและคนจากบางสำนักมักจะมาเสี่ยงอันตรายที่นี่เพื่อหารายได้เพิ่มเติม มีจุดระสงค์เพื่อเก็บรวบรวมพวกสมุนไพรศักดิ์สิทธิ์ สมุนไพรเซียนที่หายาก บางคนก็ต้องการล่าพวกสัตว์เทพ สัตว์ปีศาจเพื่อไปแลกเป็นทรัพยากรฝึกตน น้ำพุวังเวงมีสิบแปดชั้น คนพวกนี้ไม่กล้าเข้าไปลึกเกินไป สัตว์ปีศาจที่ประสบอันตรายจะสูญเสียการควบคุม ยิ่งเข้าไปลึก สัตว์ปีศาจที่เจอก็จะยิ่งน่ากลัว โดยเฉพาะตัวที่อยู่ลึกในน้ำพุวังเวงที่ถูกขนานนามไว้อย่างน่ากลัวว่า ‘เทพมรณะ’
พอนึกถึงสัตว์ปีศาจน่ากลัวที่ชื่อ ‘เทพมรณะ’ อิ๋งหยางก็เสียวสันหลังวาบ ถามว่า “สัตว์ประหลาดในส่วนลึกของน้ำพุวังเวงคงไม่อาละวาดวิ่งออกมาซี้วั้วหรอกใช่มั้ย?”
“ตอนนี้ยังไม่มีความเคลื่อนไหวอะไรขอรับ” สายลับตอบ
อิ๋งหยางเอียงหน้าไปด้านหลัง ถ่ายทอดเสียงบอกหนึ่งในสองนักพรตที่ตามติดอยู่ข้างหลังตน “ตั้งค่ายอยู่ที่ชั้นห้าของน้ำพุวังเวงก็แล้วกัน ถ้าเข้าไปลึกเกินไป ด้วยความสามารถของเป้าหมายอาจจะไม่กล้าเข้าไป”
หลังจากเงียบไปสักพัก อิ๋งหยางก็โบกมือ “ออกเดินทาง!”
สองคนข้างหลังถลันตัวไปเบิกทางข้างหน้าทันที คนกลุ่มนี้พุ่งเข้ามาจนถึงตาน้ำพุ
บนดาวเคราะห์ดวงหนึ่งที่อยู่ไกลๆ เหมียวอี้ทีอยู่บนยอดเขาใช้ตาทิพย์ตรงหว่างคิ้ว เสาแสงสีรุ้งสายหนึ่งที่ปรับสั้นบ้างยาวบ้างกำลังจ้องไปที่กลุ่มของอิ๋งหยาง มองเห็นทุกอย่างชัดเจนแจ่มแจ้ง
เดิมทีตลาดผีก็อยู่ที่แดนรัตติกาลอยู่แล้ว มาที่นี่ย่อมไม่สะดวก เรียกได้ว่าต้องมารอล่วงหน้า
รอจนกระทั่งพวกอิ๋งหยางเข้าไปในตาน้ำพุแล้ว ลำแสงของตาทิพย์ถึงได้ถูกเก็บกลับมา รอยแยกตรงหว่างคิ้วปิดสนิทกลายเป็นรอยนูนสีแดง
ก็ช่วยไม่ได้ ถึงแม้ตาทิพย์จะอัศจรรย์แค่ไหน แต่ก็ยังมีข้อจำกัด ไม่สามารถมองทะลุพวกประตูดวงดาวได้
ทว่าเหมียวอี้ก็เริ่มขมวดคิ้วแล้วเช่นกัน เขามองเห็นสถานการณ์ข้างกายอิ๋งหยางอย่างชัดเจน มีแค่หนึ่งพันคนเท่านั้น ส่วนใหญ่เป็นนักพรตบงกชรุ้งด้วย มีเพียงนักพรตบงกชกลายไม่กี่คน ถ้าเทียบกระบวนทัพนี้กับตอนที่ลงมือกับเขาที่แดนสุขาวดี ก็เรียกได้ว่าต่างกันไม่ใช่น้อย แต่สำหรับเขาแล้ว อีกฝ่ายก็ไม่แกร่งพอให้ชายตามองเลย ทำให้เขาอยากจะเรียกคนไม่กี่คนข้างหลังให้ลงมือเสียเลย
แต่คิดไปคิดมาก็รู้สึกว่าไม่ชอบมาพากล สิ่งที่เห็นชัดเจนแบบนี้จะเรียกว่ากับดักได้หรือเปล่า? เขาถึงได้อดทนไว้
ข้างหลังเขามีคนยืนอยู่หกคน ขุนพลใหญ่ลัทธิผีเหลิ่งจัวฉุน ขุนพลใหญ่ลัทธิพุทธกุยอู๋ ขุนพลใหญ่ลัทธิมารตานฉิง ขุนพลใหญ่ลัทธิปีศาจจ่างหง ขุนพลใหญ่ลัทธิเซียนเมิ่งหรู ขุนพลใหญ่ลัทธิอู๋เลี่ยงอ๋าวเถี่ย หลังจากทั้งหกได้รับแจ้ง ก็รีบมาเจอกับเหมียวอี้ทางนี้ทันที ในตอนนี้ปลอมตัวปกปิดใบหน้า
หลังจากมองเหมียวอี้เก็บตาทิพย์อย่างช้าๆ ทั้งหกก็มองหน้ากันเลิกลั่ก แววตานั้นบอกไม่ถูกว่ารู้สึกอย่างไร
ขุนพลใหญ่ลัทธิปีศาจจ่างหงแอบถ่ายทอดเสียงพึมพำกับคนที่เหลือ “ทำไมมันคล้ายกลับตาทิพย์เสิ้นหมี ขุนพลใหญ่ของประมุขปีศาจล่ะ?”
“ค่อนข้างคล้าย…” บางคนก็พึมพำอย่างนี้ น้ำเสียงฟังดูประหลาดใจสงสัย
เหมียวอี้ที่สัมผัสได้ถึงคลื่นพลังอิทธิฤทธิ์หันกลับมามองแวบหนึ่ง พวกเขาที่กำลังแอบคุยกันจึงหยุดทันที ส่วนเหมียวอี้ก็เขย่าระฆังดาราในมือไม่หยุด
หลังจากรอได้พักใหญ่ รอจนกระทั่งระฆังดาราฝั่งนั้นตอบกลับมาแล้ว เหมียวอี้ก็เก็บระฆังดารา แล้วพูดทิ้งท้ายว่า “เป้าหมายมาถึงแล้ว ไปกันเถอะ”
เขานำเหาะขึ้นฟ้าไปก่อน แล้วอีกหกคนก็ตามหลังไปทันที
คนกลุ่มนี้ไม่ได้เข้าไปในตาน้ำพุเดียวกับพวกอิ๋งหยาง แต่ไปเข้าตาน้ำพุอีกแห่งหนึ่ง
พอทะลุผ่านตาน้ำพุมาแล้ว ชั่วพริบตาเดียวก็ล่วงล้ำมาอยู่ในโลกที่มีแสงสลัว เป็นโลกที่มีฟ้าสลัวราวกับตอนเช้ามืด ตามองด้วยตาเปล่าก็มองไม่เห็นจุดสิ้นสุด ภาพที่ตาเห็นเหมือนเข้าไปอยู่ในแดนมรณะดึกดำบรรพ์
เมื่อพวกเขาเหยียบลงพื้นแล้ว ก็รีบหันมองไปรอบๆ สุดท้ายก็มองไปบนท้องฟ้า บนท้องฟ้าที่มีแสงสลัวมีตาน้ำพุกำลังหมุนวนนับไม่ถ้วน บ้างก็หมุนตามเข็มนาฬิกา บ้างก็หมุนทวนเข็มนาฬิกา ราวกับมีดอกไม้นับไม่ถ้วนกำลังเบ่งบานอยู่บนฟ้าไม่หยุดนิ่ง เป็นภาพที่แปลกพิลึก
ถึงแม้เหมียวอี้จะมาเป็นครั้งแรก แต่ก็รู้เช่นกัน ว่าตาน้ำพุที่หมุนตามเข็มนาฬิกาก็คือทางเข้าน้ำพุวังเวงชั้นที่หนึ่ง ส่วนตาน้ำพุที่หมุนทวนเข็มนาฬิกาก็คือทางออก
“จี๊ดๆ…” จู่ๆ ก็มีเสียงประหลาดดังมาจากด้านข้างที่อยู่ไม่ไกล
พวกเขาหันกลับไปมอง เห็นเพียงหมอกสีเขียวสายหนึ่งเจาะออกมากลางอากาศ ทะลวงออกมาไม่หยุด แล้วสุดท้ายก็ออกมาจนหมด กลายเป็นมังกรยาวตัวหนึ่ง บินคดเคี้ยวยาวเหยียดอยู่กลางท้องฟ้า เปลี่ยนแปลงเป็นภาพต่างๆ
พอใช้ดวงตาอิทธิฤทธิ์มอง ถึงได้พบว่าไอหมอกสีเขียวนั่นเกิดจากการรวมตัวของค้างคาวสีเขียว แต่ละตัวมีหมอกสีเทาวนเวียนรอบกายจางๆ
ค้างคาวสีเขียวกลุ่มนั้นเหมือนจะสังเกตเห็นพวกเขาแล้ว พวกมันกำลังรีบบินมาทางนี้
ไม่มีใครหวาดกลัว ถึงขั้นไม่มีปฏิกิริยาอะไรเลยด้วยซ้ำ อาศัยพลังของพวกเขา ถ้าแม้แต่สัตว์ประหลาดต่ำต้อยพวกนี้ยังรับมือไม่ไหว เช่นนั้นก็น่าหัวเราะเยาะเกินไปแล้ว
แต่เหมียวอี้ก็ยังถามว่า “นี่มันตัวอะไร?”
ขุนพลใหญ่ลัทธิผีเหลิ่งจัวฉุนตอบว่า “ค้างคาวกลืนวิญญาณ พวกมันดูดกินจิตวิญญาณสิ่งมีชีวิตเพื่อให้ตัวเองมีชีวิตอยู่ ถึงแม้พลังโจมตีจะไม่รุนแรงมาก แต่ก็อย่าดูถูกเชียว ถ้าถูกมันกัดขึ้นมา จิตวิญญาณก็จะได้รับความเสียหาย แถมพวกมันยังฆ่าไม่ตายด้วย ชอบรวมกลุ่มรุกโจมตี บินเร็วสุดๆ นักพรตที่ระดับต่ำกว่าบงกชรุ้งยากจะต้านทานยามพวกมันโจมตีต่อเนื่องไม่หยุด ถ้าถูกมันพัวพันแล้วสลัดไม่พ้นก็จะยุ่งยากมาก พวกมันน่าจะออกมาจากน้ำพุวังเวงชั้นที่สอง”
“ยังมีสิ่งที่ฆ่าไม่ตายด้วยเหรอ?” เหมียวอี้แปลกใจ
“มีเพียงไฟหยางเท่านั้นที่ฆ่าพวกมันได้ ไม่อย่างนั้นถ้าอยู่ที่น้ำพุวังเวงก็ไม่มีทางฆ่าพวกมันได้เลย” เหลิ่งจัวฉุนตอบ
เหมียวอี้ตาลุกวาวทันที “ถ้าเป็นแบบนี้ จับกลับไปใช้ประโยชน์สักหน่อยไม่ได้เหรอ”
เหลิ่งจัวฉุนส่ายหน้า “จับออกไปก็ไม่มีประโยชน์ พวกมันมีชีวิตอยู่ได้แค่ในนี้ จุดที่มีพลังหยางรุนแรงพวกมันอาศัยอยู่ไม่ได้เลย แถมพอเจอแสงอาทิตย์ก็จะสลายกลายเป็นเถ้าถ่านทันที แล้วก็ไม่มีวิธีควบคุมได้ด้วย”
ในขณะที่พูด ค้างคาวสีเขียวกลุ่มนี้ก็โผบินเข้ามาด้วยความเร็วแล้ว เกราะลมบนตัวพวกเขาพรั่งพรูออกมา ตุ้บๆๆๆ…รู้สึกได้ว่ามีการชนปะทะอันถี่กระชั้นไม่ขาดสาย
ไม่เขาไม่แยแสค้างคาวพวกนี้ ตานฉิงหันกลับมาถามว่า “ราชาปราชญ์ ต่อไปจะทำยังไงขอรับ?”
ใครจะคิดว่าเหมียวอี้จะหยิบกระจกโบราณบานหนึ่งออกมา ร่ายอิทธิฤทธิ์ขยายบานกระจกให้ใหญ่ขึ้น แล้วยกมันขึ้นมาแล้ว
…………………………