พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - บทที่ 1671 ออกล่า
โลหะที่หนาลึกแบบนั้นทำให้คนรู้สึกอึดอัดอย่างบอกไม่ถูก หมอกที่เย็นยะเยือกล่อลอยอยู่ระหว่างฟันสุนัขที่ไขว้สลับกัน รู้สึกได้อย่างชัดเจนว่ามีแรงดึงแปลกๆ กลุ่มหนึ่งอยู่ในท้องฟ้า ไม่ใช่แรงลม มองไปรอบๆ แล้วแต่ยังสัมผัสไม่ได้ว่าพลังกลุ่มนั้นมาจาไหน ราวกับเป็นพลังลี้ลับ
ตรงจุดที่ไม่ไกลมีแสงสีแดงเลื้อยขยุกขยิก เมื่อเบิกดวงตาอิทธิฤทธิ์มองในขณะที่อยู่บนฟ้า ก็เห็นหินหนืดกำลังถูกพ่นออกมาอย่างเบาบาง ถ้าจะพูดให้ถูกก็คือ นั่นไม่ใช่หินหนืดจริงๆ แต่เป็นเหล็กหลอมเหลว ขณะหินหนืดที่ถูกพ่นออกมายังไหลอยู่ ก็เหมือนจะถูกพลังประหลาดกลุ่มหนึ่งดึงไว้ หลังจากหินหนืดไหลนองเหมือนฝน ก็เติบโตสูงขึ้นราวกับเป็นหน่อไม้ ตามอุณหภูมิที่ลดต่ำลง ‘หน่อไม้’ สีแดงฉานก็ค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีดำมืด ทำแรงดังนั้นดึงอย่างไรก็ไม่ขยับแล้ว
ใต้หล้าเต็มไปด้วยสิ่งมหัศจรรย์ วันนี้เหมียวอี้นับว่าได้เปิดหูเปิดตาแล้ว ได้เห็นกับตาว่าหนามแหลมทั้งเล็กทั้งใหญ๋ที่มีอยู่ทั่วทุกที่นั้นเกิดขึ้นได้อย่างไร ที่แท้ก็เป็นเพราะพลังลึกลับกลุ่มนั้นที่ตัวเองสัมผัสได้ ที่แปลกก็คือ สามารถสัมผัสพลังนั้นได้ แต่กลับเหมือนไม่ส่งผลกระทบอะไรต่อคน
หลังจากพวกเขาเหยียบลงพื้น เหมียวอี้ก็ยื่นมือไปลูบหนามแหลมรูปหน่อไม้ต้นหนึ่งที่อยู่ข้างกาย “ได้ยินว่าสิ่งนี้ทนทานกว่าอาวุธผลึกแดง เป็นของที่ทนทานที่สุดในโลก และแหลมคมที่สุดในโลกด้วย”
เหลิ่งจัวฉุนที่อยู่ข้างกายเอ่ยตอบ “เป็นเช่นนี้จริงๆ ต่อให้เป็นเกราะรบผลึกแดงที่มีความบริสุทธิ์สูง แต่ยามเผชิญหน้ากับหนามแหลมนี้ ก็ต้านทานไม่ไหวแม้เพียงครั้งเดียว แต่ที่แปลกก็คือ ในโลหะนี้เหมือนจะแฝงพลังลึกลับทนทานไร้ที่เปรียบทั้งยังทำลายไม่พังเอาไว้ ทำให้คนได้แต่มอง ใฝ่ฝันได้แต่มิอาจไขว่คว้า ไม่มีใครเคยหักของสิ่งนี้ไปใช้งานได้เลย เคยมีคนเปลืองเวลาหลายหมื่นปีเพื่อค่อยๆ เลื่อยมันไปต้นหนึ่ง แต่พอนำออกจากน้ำพุวังเวงไปแล้ว ผลปรากฏว่ามันก็กลายเป็นไอสีดำแผ่ซ่านอย่างลึกลับทันที แล้วเหล็กทนทานก็กลายเป็นเหล็กธรรมดาเช่นกัน ใช้เวลาหลายหมื่นปีแต่กลายเป็นเหล็กไร้ประโยชน์ ได้ยินว่าคนคนนั้นอยากจะอาศัยสิ่งนี้ทำให้ตัวเองร่ำรวย แต่สุดท้ายก็โมโหจนกระอักเลือด”
“น่าเสียดายจัง” เหมียวอี้กล่าวด้วยความเสียดาย เขาเองก็เคยได้ยินเรื่องนี้มาเช่นกัน ได้แต่ลูบไล้มันอย่างโปรดปรานจนวางมือไม่ลง ของที่ทนทานแหลมคมขนาดนี้แต่กลับใช้ประโยชน์ไม่ได้ รู้สึกเสียดายจริงๆ
แต่ตอนนี้เขาไม่อาจเอาความรู้สึกนึกคิดมาจมกับด้านนี้ ดึงสติกลับมาอย่างรวดเร็ว แล้วถามเชียนหลัว “สถานที่ตั้งค่ายของตระกูลอิ๋งอยู่ตรงไหน?”
เชียนหลัวมองไปรอบๆ แล้วกล่าวอย่างลำบากใจ “สภาพทางภูมิศาตร์ของสถานที่อัปมงคลนี้ ไม่ว่าที่ไหนก็มีความต่างในความเหมือน ตอนนี้ข้ายังตัดสินตำแหน่งไม่ได้จริงๆ เกรงว่าต้องใช้เวลาอีกนิดหน่อย”
“ทำให้คนที่จับตาดูฝั่งนั้นทำเครื่องหมายให้แยกแยะง่ายๆ…” หลังจากเหมียวอี้กำชับแล้ว ก็เอียงหน้าบอกใบ้อีกหกคนให้ระวังภัย
ทั้งหกคนถลันตัวไปอยู่ตรงหกทิศทางทันที ป้องกันไม่ให้มีคนเข้าใกล้ตรงนี้
เชียนหลัวไม่เข้าใจว่าเหมียวอี้กำลังจะทำอะไร แต่กลับอดตกตะลึงไม่ได้ ตอนนี้จ้องมองตรงหว่างคิ้วเหมียวอี้ไม่ละสายตาแล้ว
รอยนูนสีแดงตรงหว่างคิ้วเหมียวอี้แยกออก เผยดวงตางามคล้ายกระจกหลิวหลีสีทอง เสาแสงแวววาวสายหนึ่งพลันยิงออกมา ตาทิพย์เริ่มกวาดสายตากลับไปกลับมารอบด้าน
ตาทิพย์ที่ก่อนหน้านี้ค่อนข้างเป็นความลับสำหรับเขา ไม่น่าเชื่อว่าตอนนี้จะแสดงต่อหน้าเชียนหลัวอย่างไม่หวาดกลัวเลยสักนิด
หลังจากผ่านไปหนึ่งชั่วยาม เสาแสงแวววับของตาทิพย์ก็หยุดนิ่งอยู่ตรงจุดจุดหนึ่ง ท่ามกลางสายตาทิพย์ของเหมียวอี้ บนยอดเขาที่สูงสุดของบริเวณแห่งหนึ่ง มีคนคลุมผ้าขาวยืนอยู่บนยอดเขา เป็นคนของปราสาทดำเนินนภา อีกฝ่ายหายอดเขาสูงสุดแถวนี้ตามที่นัดกันไว้ ที่คลุมผ้าขาวก็เพื่อให้สะดุดตา ตาทิพย์ของเหมียวอี้จะได้จับจ้องเขาได้สะดวก และเขาก็ทำตามวิธีที่นัดกันไว้ในระฆังดาราเช่นกัน หันหน้าเข้าหาตำแหน่งเป้าหมาย
เหมียวอี้ตาทิพย์กลอกลูกตา มองสำรวจไปทางที่คนคนนั้นหันหน้าเข้าหา ทำให้พบค่ายที่สร้างขึ้นชั่วคราวตรงระหว่างหุบเขาตามที่เชียนหลัวบอก สายตาสำรวจลึกเข้าไป ค้นหาภายในค่าย ควานหาตามกลุ่มคน ทำให้พบอิ๋งหยางในค่ายหลัก ไม่รู้ว่าตอนนี้กำลังคุยอะไรกับคนอีกสองคน
เพื่อป้องกันความผิดพลาด ตาทิพย์จงใจสำรวจดูอิ๋งหยางอีกสักหน่อย หลังจากแน่ใจแล้วว่าปลอมแปลงตัวตนกันไม่ได้ง่ายๆ เขาก็สำรวจเจออีกว่าอีกสองคนกำลังปลอมตัว ตาทิพย์สามารถมองทะลุหน้ากากได้อย่างง่ายดาย มองเห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของผู้ที่อยู่ข้างหลังหน้ากากแล้ว นึกไม่ถึงว่าจะเป็นชายชราสองคนที่หน้าตาเหมือนกันทุกอย่าง เหมือนเป็นฝาแฝดกัน
เสาแสงที่ใสเหมือนกระจกเก็บกลับมา ตาทิพย์ตรงหว่างคิ้วปิดลงอย่างช้าๆ เหมียวอี้หรี่ตาครุ่นคิดอะไรบางอย่าง
เชียนหลัวจ้องเขาอย่างตะลึงงันครู่หนึ่ง อดไม่ได้ที่จะถามว่า “ดวงตาที่สามตรงหว่างคิ้วท่านคือ?”
“เป็นตาทิพย์ที่ข้าหลอมสร้างขึ้นมา” เหมียวอี้ยิ้มเรียบๆ
“…” เชียนหลัวอ้าปากค้าง ของสิ่งนี้หลอมสร้างได้ด้วยเหรอ?
หกขุนพลใหญ่เห็นเขาเก็บตาทิพย์อยู่ไกลๆ ก็ทยอยกันหันตัวกลับมา
พอพวกเขามารวมตัวกัน เหมียวอี้ก็ถามว่า “ข้าเห็นชายชราสองคนที่หน้าตาเหมือนกันทุกอย่าง เป็นคนของตระกูลอิ๋งเหรอ?”
หกขุนพลใหญ่สบตากัน แล้วพยักหน้าให้กันขณะครุ่นคิด เหมือนนึกอะไรบางอย่างได้
ยังเป็นเชียนหลัวที่กล่าวอย่างลังเลว่า “อิ๋งจิ่วกวงมีลูกน้องคู่หนึ่งที่เป็นฝาแฝดกัน ชื่อเยี่ยนสุยกับเยี่ยนฉง ติดตามอิ๋งจิ่วกวงออกรบไปทั่วทุกหนแห่งมานานมากแล้ว วรยุทธ์ถึงระดับสำแดงฤทธิ์แล้ว ถ้าเดาไม่ผิด น่าจะเป็นสองคนนี้”
เหมียวอี้ดูปฏิกิริยาของหกขุนพลใหญ่ ไม่ได้พูดอะไรก็แสดงว่าเห็นด้วยกับคำพูดเชียนหลัว ในใจรู้สึกตกใจอยู่บ้าง โชคดีที่ตาทิพย์ของตัวเองมองทะลุได้ ไม่อย่างนั้นก็คงยังไม่รู้ความจริง หากเดินผิดทางขึ้นมา เกรงว่าจะตายอย่างไรก็ยังไม่รู้เลย เขาพบว่าตระกูลอิ๋งยอมลงทุนมากเพื่อสู้กับเขา ครั้งก่อนมีนักพรตบงกชรุ้งไม่กี่คน แต่ครั้งนี้ไม่น่าเชื่อว่าจะใช้นักพรตสำแดงฤทธิ์สองคนเลย ถ้าทำให้เหมียวอี้ตายไม่ได้ก็จะไม่หยุดสินะ!
วางประเด็นนี้ไว้ก่อน เหมียวอี้แจกจ่ายกำไลเก็บสมบัติหกวงให้ทั้งหกคน แล้วเริ่มถ่ายทอดเสียงวางแผน
หลังจากวางแผนเสร็จแล้ว ก็โบกมือชี้ไปตรงตำแหน่งตั้งค่ายของตระกูลอิ๋ง หกขุนพลใหญ่สบตากันแล้วพยักหน้า จากนั้นก็ถลันตัวออกไปพร้อมกัน
เหมียวอี้หันกลับไปมองเชียนหลัวอีกครั้ง แล้วกล่าวพร้อมรอยยิ้ม “รบกวนปราสาทดำเนินนภาแล้ว เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดปัญหากับปราสาทดำเนินนภาในภายหลัง พวกท่านถอนกำลังไปก่อนได้”
“เท่านี้ก็เสร็จแล้วเหรอ? ท่านต้องการจะทำอะไรกันแน่? อยากจะลงมือกับคนของตระกูลอิ๋งเหรอ? ทางนั้นถึงขั้นให้สองพี่น้องแซ่เยี่ยนออกโรงแล้ว จะให้ทางพวกเราช่วยเหลือหรือเปล่า?” เชียนหลัวลังเล
เหมียวอี้ตอบพร้อมยิ้มเรียบๆ “ท่านวางใจเถอะ ข้าย่อมมีความมั่นใจ ไม่เป็นอะไรหรอก พวกท่านถอนกำลังกลับไปก่อนเถอะ ปราสาทดำเนินนภาจะได้ไม่ถูกเปิดโปง แบบนั้นกลับจะเสียแผนด้วยซ้ำ”
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้…” เชียนหลัวถอนหายใจ พยักหน้าแล้วหยิบระฆังดาราออกมาติดต่อคนร่วมสำนักให้ถอนกำลัง สุดท้ายก็กุมหมัดคารวะบอกลา
“ออกไปด้วยกัน” เหมียวอี้กล่าว
“เอ…” เชียนหลัวงุนงงไปชั่วขณะ มองไปรอบๆ ก่อนจะถามอย่างฉงนใจ “ไม่ใช่ว่าท่านจะอยู่ที่นี่…” ขณะที่พูดไปรอบๆ จะสื่อว่า เจ้าจะก่อเรื่องที่นี่ไม่ใช่เหรอ?
“ไม่รีบ คาดว่าคงมีสหายเก่ามาเยี่ยมข้า คงจะใกล้มาถึงแล้ว ข้าจะออกไปต้อนรับสักหน่อย” เหมียวอี้ตอบกลั้วหัวเราะ
ในเมื่อเขาบอกอย่างนี้ เชียนหลัวจะพูดอะไรได้อีก ทำได้เพียงพุ่งขึ้นฟ้าไปพร้อมกับเขา ทะลวงเข้าไปในตาน้ำพุที่หมุนทวนเข็มนาฬิกา
ชั่วพริบตาเดียวก็เข้ามาในแดนน้ำพุเหลืองที่อยู่ชั้นสี่ของน้ำพุวังเวง จากนั้นไปยังตาน้ำพุที่หมุนทวนเข็มนาฬิกาต่อโดยไม่หยุดพัก เข้ามาในดินแดนหนาวมืดครึ้มชั้นที่สาม แล้วบุกเข้าในตาน้ำพุทวนเข็มนาฬิกาอีก จนเข้าไปถึงแดนปรภพชั้นหนึ่งของน้ำพุวังเวง
หลังจากมาถึงที่นี่ เหมียวอี้กับเชียนหลัวก็แยกกันไปคนละทาง เชียนหลัวต้องรอคนร่วมสำนักที่นี่
ส่วนเหมียวอี้เข้าไปในตาน้ำพุที่หมุนทวนเข็มนาฬิกาต่อ ออกจากน้ำพุวังเวงไป เจอกับทะเลดาวอันกว้างใหญ่ไพศาลอีกครั้ง แล้วรีบเหาะไปตรงจุดที่นัดเจอกับหกขุนพลใหญ่ก่อนหน้านี้
ดินแดนอันเงียบสงัดดุร้าย ชั้นห้าของน้ำพุวังเวง บริเวณรอบค่ายตระกูลอิ๋งถูกกำลังพลของตระกูลอิ๋งกวาดล้างสร้างอาณาเขตปลอดภัยเป็นวงกว้างแล้ว ไม่ให้ผู้ไม่เกี่ยวข้องเข้าใกล้
ในค่ายหลัก อิ๋งหยางกำลังปรึกษากับสองพี่น้องแซ่เยี่ยน
หลังจากได้ฟังสถานการณ์ที่กำลังพลเตรียมไว้ อิ๋งหยางก็ถามอย่างไม่ค่อยแน่ใจ “ไม่รู้ว่าหนิวโหย่วเต๋อจะมารึเปล่า ถ้าตระกูลโค่วไม่สอดมือเข้ามายุ่ง เขาจะหาพวกเราเจอเหรอ?”
“จะมาหรือไม่นั้นไม่รู้ แต่ก่อนหน้านี้สายลับที่อยู่รอบๆ สังเกตเห็นว่ามีคนมาทำลับๆ ล่อๆ” เยี่ยนสุยตอบ
“ยืนยันได้มั้ยว่าเป็นคนของหนิวโหย่วเต๋อ?” อิ๋งหยางถาม
“ยืนยันไม่ได้ขอรับ เพิ่งได้ข่าวมา คนที่ทำตัวลับๆ ล่อๆ พวกนั้นหายไปแล้ว” เยี่ยนสุยตอบ
“ยืนยันไม่ได้เหรอ?” อิ๋งหยางถูไม้ถูกมือ “พวกเราต้องสร้างความเคลื่อนไหวอะไรสักหน่อยหรือเปล่า จะได้ทำให้หนิวโหย่วเต๋อรู้ว่าข้าอยู่ตรงนี้?”
เยี่ยนฉงโบกมือ “พวกเรามาอย่างสง่าผ่าเผย หากหนิวโหย่วเต๋อตั้งใจจะลงมือกับนายน้อยจริงๆ ก็จะต้องรู้ว่าพวกเรามาแล้วแน่นอน นายน้อยเองก็อย่าประเมินหนิวโหย่วเต๋อต่ำเกินไป เขาอยู่ที่ตลาดสวรรค์มาหลายปี ครองตำแหน่งที่ทรัพยกรอุดมสมบูรณ์ ไม่ถึงขั้นหาคนทำงานให้ไม่ได้เลย หากจะจับตาดูพวกเราก็คงจับตาดูไปแล้ว หากนายน้อยจงใจสร้างความเคลื่อนไหวอีก ก็อาจจะทำให้อีกฝ่ายสงสัยได้ เขากลับจะเคลือบแคลงด้วยซ้ำว่าพวกเราวางกับดัก แต่พวกลูกน้องสามารถแยกย้ายกันไปออกล่าได้แล้ว ตรงนี้เหลือคนไว้น้อยๆ ทำให้อีกฝ่ายรู้สึกว่ามีโอกาสดี ถึงจะล่องูออกจากถ้ำได้ เพราะว่านี่คือการออกล่า ต้องทำตัวให้เหมือนออกล่า หากกำลังพลชักช้าอยู่ที่นี่จะน่าสงสัยขอรับ”
“เหลือไว้แค่ไม่กี่คนเหรอ?” อิ๋งหยางหัวใจกระตุกวูบทันที “ถ้าหนิวโหย่วเต๋อมีพวกเยอะกว่าล่ะ จะไม่ค่อยเหมาะสมหรือเปล่า?”
สองพี่น้องแซ่เยี่ยนสบตากันแวบหนึ่งแล้วแอบทอดถอนใจ ถึงแม้จะเป็นบุคคลที่มีฝีมือของตระกูลอิ๋ง แต่เมื่อเทียบลูกหลานพวกนี้กับคนที่เดินออกมาจาลมคาวฝนเลือดแล้ว ก็นับว่าแตกต่างกันไม่ใช่น้อยๆ ถ้าให้สู้กันจริงๆ ก็ไม่สามารถเทียบกันได้เลย ขี้ขลาดตาขาวอย่างนี้น่ะเหรอ?
“นายน้อยวางใจได้ ถ้าเกิดเรื่องขึ้น พวกเราสองพี่น้องจะปกป้องอยู่ข้างกายนายน้อยทันที” เยี่ยนฉงปลอบใจ
ถึงแม้อิ๋งหยางจะมีฐานะสูงส่ง แต่กับเรื่องบางเรื่องเขาก็ยังไม่มีอำนาจตัดสินใจ ทำได้เพียงปฏบัติตามแผน เชื่อฟังตามที่พวกเขาเตรียมการไว้
กำลังพลในค่ายได้รับคำสั่งแล้ว จึงรีบแยกย้ายกันไปออกล่า เป็นการออกล่าอย่างแท้จริง ไม่รู้เหมือนกันว่าอยากจะล่าอะไร…
ตอนเหมียวอี้มาถึงจุดนัดพบหกขุนพลใหญ่นอกน้ำพุวังเวงก่อนหน้านี้ ไป๋เฟิ่งหวงที่แต่งตัวเป็นเหยียนซิวก็มาถึงล่วงหน้าแล้ว บนใบหน้าสวมใสหนังปลอม
เมื่อเห็นเหมียวอี้ ไป๋เฟิ่งหวงก็ดึงหนังปลอมบนใบหน้าออก แล้วถามอย่างสงสัย “หนิวโหย่วเต๋อ เจ้าตอบข้ามาอย่างซื่อสัตย์นะ เจ้าคิดจะทำอะไรกันแน่? เจ้าคงไม่คิดจะลงมือกับตระกูลอิ๋งหรอกใช่มั้ย? ข้าจะบอกเจ้าให้นะ เจ้าไม่มีเรื่องกับตระกูลอิ๋งไม่ไหวหรอก ข้าก็ไม่ไหวเหมือนกัน ถ้าเจ้าอยากเล่นก็ไปเล่นเองเถอะ ข้าไม่อยากเอาชีวิตเข้าไปเสี่ยง” นางเอามือกอดอกแล้วหันหลังให้ ทำเสียงฮึดฮัดก้าวร้าวมาก
“เจ้าไม่ต้องห่วง ข้าไม่ให้เจ้าไปรบราฆ่าฟันกับตระกูลอิ๋งหรอก แค่จะให้เจ้าช่วยนิดหน่อยเอง” เหมียวอี้บอกนาง
ราวกับจับจุดอ่อนที่ใหญ่มากได้แล้ว ไป๋เฟิ่งหวงหันตัวมาทันที แล้วชี้หน้าเขาพร้อมบอกว่า “นี่ เจ้าพูดเองนะ ข้าเกลียดคนที่กลับคำพูดที่สุด ลูกผู้ชายพูดแล้วห้ามคืนคำ เจ้าบอกเองนะว่าข้าไม่ต้องไปรบราฆ่าฟันกับตระกูลอิ๋ง เดี๋ยวต่อไปถ้าเจ้ากลับคำ ก็อย่ามาโทษว่าหูข้าไม่ดีไม่ได้ยินคำสั่งเจ้าก็แล้วกัน”
…………………………