พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - บทที่ 1672 แปลงกายเป็นข้า
“พูดมากอะไรขนาดนั้น มีใครเขาปฏิบัติต่อเจ้านายแบบที่เจ้าทำบ้าง?” เหมียวอี้
“เชอะ!” ไป๋เฟิ่งหวงยิ้มเย้ย แล้วพูดเหน็บแนม “ไม่หัดประเมินตัวเองเสียบ้าง แค่ให้ท้ายเจ้านิดหน่อย เจ้าก็อวดดีซะแล้ว จะอวดดีให้ใครดูกัน? ถ้าเจ้าเก่งนักก็ประกาศบอกทั้งใต้หล้าเลยสิ บอกว่าข้าไป๋เฟิ่งหวงเป็นทาสเจ้า ขอเพียงเจ้ากล้าบอก ข้าก็จะยอมแพ้เหมือนกัน…มัวแต่แอบลักลอบไม่กล้าบอกใคร แล้วจะมาแสร้งทำตัวเป็นนายท่านอะไรกัน!” แววตานางเหยียดหยามไร้ที่เปรียบจริงๆ บวกกับสีหน้าท่าทางหยิ่งยโสของนาง เสียบขนนกไปก้านเดียวก็แต่งตัวเป็นหงส์ได้แล้ว
เหมียวอี้เริ่มจะชินกับลักษณะของนางแล้ว ปีศาจตนนี้เป็นประเภทใช้ไม้อ่อนไม่ได้ผล เขาขี้คร้านจะเถียงกันต่อไป จึงคุยธุระหลักเสียเลย “มองเห็นคนชัดเจนแล้วหรือยัง? เรื่องเล็กแค่นี้เจ้าคงไม่ถึงขั้นจัดการไม่ได้หรอกมั้ง?”
“เชอะ!” ทำเสียงเหยียดหยามอีกแล้ว ร่างของไป๋เฟิ่งหวงขยุกขยิก เกิดความเปลี่ยนแปลงทั้งร่างกาย รูปร่างใหญ่โตขึ้นนิดหน่อย หลังจากใบหน้าและร่างกายเปลี่ยนแปลงคงที่แล้ว ก็กลายเป็นอิ๋งหยาง นางกอดอกอีกครั้งด้วยวิธีการของชายชาตรี แล้วเชิดจมูกขึ้นฟ้า “เป็นยังไงบ้าง?”
เหมียวอี้เดินอ้อมนางรอบหนึ่ง แล้วมองประเมินศีรษะจดเท้า พบว่าแปลงกายได้เหมือนมากจริงๆ คาดว่าคนที่ไม่คุ้นเคยกับอิ๋งหยางคงมองไม่ออก
ไม่ได้วิจารณ์ว่าดีหรือแย่ เหมียวอี้โบกมืออีกครั้ง โยนสตรีที่งามหยดย้อยออกมาอีกคน ไม่ใช่ใครที่ไหน นางคือเฝิ่นเอ๋อร์ จิ้งจอกพันหน้านั่นเอง
“…” ไป๋เฟิ่งหวงมองต่ำด้วยสายตาหยิ่งยโส นางจ้องประเมินเฝิ่นเอ๋อร์ แล้วก็ชำเลืองเหมียวอี้อีก ไม่รู้ว่าเหมียวอี้กำลังเล่นลูกไม้อะไร
“เจ้าคิดจะทำอะไร?” จิ้งจอกพันหน้าที่ได้เห็นแสงตะวันอีกครั้ง พอเจอเหมียวอี้ก็เรียกได้ว่าระทมทุกข์ กระทืบเท้าอย่างกระฟัดกระเฟียด
ตอนนี้นางนับว่าเข้าใจแล้ว พอหลุดจากปี้เยว่ฮูหยินมาได้ ก็ไม่ได้ใช้ชีวิตสุขสบายอยู่ดี ตกอยู่ในมือเหมียวอี้ก็ซวยเหมือนเดิม นอกจากจะเสี่ยงอันตรายแล้ว ยังต้องมาเกลือกกลั้วกับพวกโจรกบฏอีก โถ่สวรรค์ ถ้าถูกตำหนักสวรรค์จับได้ขึ้นมา จะไม่ตายอนาถหรอกหรือ
แล้วที่นี่ที่ไหนอีก! นางกวาดมองไปทั่วทุกที่ นี่จะให้ข้าทำอะไรอีก? ‘เหยียนซิว’ ที่อยู่ข้างๆ กันนางรู้จัก แน่นอนว่านางรู้จักเหยียนซิวตัวจริง
นางมั่นใจว่าการที่เหมียวอี้พานางออกจากแดนอเวจีไม่ใช่เรื่องดีอะไรแน่นอน เรื่องดีๆ ไม่มาถึงนางหรอก คาดว่าถ้าไม่มีเรื่องอะไร อีกฝ่ายก็คงไม่คิดถึงนางเลย
เหมียวอี้หรี่ตามองนาง “มีเรื่องจะใช้งานเจ้านิดหน่อย หวังว่าเจ้าจะตั้งใจทำให้ดี ถ้าทำดีข้าไม่ปฏิบัติต่อเจ้าอย่างไร้ความยุติธรรมแน่”
จิ้งจอกพันหน้าถูกการกระทำของเขาเล่นงานจนกลัวแล้ว นางส่ายหน้าซ้ำๆ “ไม่ทำ ความสามารถข้ามีจำกัด เจ้าไปหาคนอื่นเถอะ”
เหมียวอี้เก็บรอยยิ้มทันที “จะไม่ทำจริงเหรอ?”
“…” เมื่อเห็นปฏิกิริยาของเขา จิ้งจอกพันหน้าก็รู้สึกถึงความไม่ชอบมาพากล แต่ก็ยังออกแรงส่ายหน้า
ชวิ้ง! เหมียวอี้โบกกระบี่วิเศษมาไว้ในมือ ลงมือรวดเร็วปานสายฟ้าแลบ
ตอนนี้วรยุทธ์ของเขาเหนือกว่าจิ้งจอกพันหน้าแล้ว บวกกับลงมือฉับไว ทำให้จิ้งจอกพันหน้าหลบไม่ทัน
คมกระบี่เพิ่งจะจ่อคอจิ้งจอกพันหน้า ก็ได้ยินเสียงจิ้งจอกพันหน้ากล่าวอย่างตกใจแล้วว่า “ทำ!”
คมกระบี่ที่คมจนสะท้อนแสงหยุดชะงักบนคอขาวเนียนของนาง ไม่ได้แทงต่อไปอีก แต่กลับทำให้นางตกใจจนเข่าอ่อน แล้วถามเสริมอย่างตะกุกตะกักอีกว่า “ข้าทำ…เจ้าจะให้ข้าทำอะไร?”
ไป๋เฟิ่งหวงที่อยู่ข้างทำสีหน้าเหยียดหยาม “รู้จักแต่รังแกคนที่อ่อนแอกว่า”
เสียงผู้หญิงเหรอ? จิ้งจอกพันหน้ามองนางอย่างประหลาดใจสงสัย
เหมียวอี้ปักกระบี่ลงพื้น แล้วเหล่ตามองไป๋เฟิ่งหวง “ถ้าเจ้ากล้าทำให้เรื่องในครั้งนี้พัง ข้าก็จะฆ่าเจ้าไปพร้อมกันเลย!”
“โถ่!” ไป๋เฟิ่งหวงมองเหยียดพร้อมถามหยอก “น้ำหน้าอย่างเจ้าน่ะเหรอ? เจ้าไหวรึเปล่าเถอะ?”
“เจ้าก็ลองดูได้เลย ดูว่าเจ้าจะรอดชีวิตออกไปจากที่นี่ได้หรือเปล่า!” เหมียวอี้กล่าวเสียงเย็น
ไป๋เฟิ่งหวงอ้าปากหวังจะพูดถากถาง ทว่าสัมผัสได้ถึงสายตาเย็นชาของอีกฝ่าย จึงขาดความมั่นใจไปบ้าง นางไม่ได้กลัวเหมียวอี้ แต่กลัวอำนาจที่อยู่เบื้องหลังเหมียวอี้ พอนึกถึงเหตุการณ์ที่ไม่ว่านางจะหนีไปที่ไหนอีกฝ่ายก็หานางพบ นางก็รู้สึกเสียวสันหลังวาบแล้ว นางชำเลืองมองกระเป๋าสัตว์ตรงเอวเหมียวอี้เงียบๆ เห็นเขาพูดอย่างมั่นใจขนาดนี้ ก็ไม่รู้ว่าพกที่พึ่งอะไรติดตัวมาด้วย นางกลืนคำพูดตัวเองทันที ได้แต่สบถว่า “เชอะ!” แล้วหันมองไปรอบๆ ทำเหมือนไม่มีอะไรเกินขึ้น
สาเหตุที่เหมียวอี้ใช้วิธีแข็งกร้าวขนาดนี้ ก็เพราะไม่มีเวลามาเถียงด้วยแล้ว จะต้องบีบบังคับให้เรื่องราวดำเนินไปตามแผนการของตัวเอง เขามองจิ้งจอกพันหน้าอีกครั้ง แล้วกล่าวเสียงต่ำ “ข้า! แปลงกายเป็นข้า คงไม่ยากสำหรับเจ้าหรอก!”
“…” ไป๋เฟิ่งหวงตกใจ ทว่าเรื่อจริงก็แสดงให้เห็นตรงหน้าแล้ว เห็นเพียงจิ้งจอกพันหน้าพยักหน้า หลังจากร่างกายเลื้อยขยุกขยิกจนคงที่ นางก็กลายเป็น ‘หนิวโหย่วเต๋อ’ คนที่สองยืนเผชิญหน้ากับหนิวโหย่วเต๋อตัวจริง เขาอดไม่ได้ที่จะอุทานแล้วมองประเมินจิ้งจอกพันหน้าอย่างประหลาดใจ…
แดนอเวจี ดาวอู๋เลี่ยง บนตึกศาลาด้านหลังตำหนักหลัก จินม่านกับหยางชิ่งนั่งอยู่ตรงข้ามกัน
หลังจากใช้ระฆังดาราติดต่อเสร็จแล้ว หยางชิ่งก็กุมระฆังดาราไว้เงียบๆ ตรงหว่างคิ้วเผยอารมณ์กังวล
ทางจวนแม่ทัพภาคตลาดผีส่งคนไปจับตาดูที่วัดพระกษิติครรภ์แล้วเช่นกัน และเพื่อปฏิบัติการที่น้ำพุวังเวง ถึงขั้นวางกำลังคนไว้ตามจุดสำคัญตามทางไปน้ำพุวังเวงด้วย ทำให้พบแล้วว่ามีคนออกจากวัดพระกษิติครรภ์ไปทางน้ำพุวังเวง
ถึงแม้จะมีคนออกไปแค่คนเดียว แต่ก็ไม่สามารถรับประกันได้ว่าบนตัวจะไม่พกใครไปด้วย ถึงแม้ผู้ที่ออกไปจะปลอมตัวแล้ว แต่ความต่างระหว่างคนศีรษะล้านกับคนมีผมก็ยังทำให้แยกแยะได้ชัดเจน ร่างกายเจ้าตัวอยู่ในชุดคลุมมีหมวก ครอบศีรษะเอาไว้แล้ว
บางทีกำลังคนที่วางไว้อาจจะไม่เข้าใจว่าหมายความว่าอะไร แต่หลังจากข่าวถูกส่งมาที่นี่ผ่านหยางเจาชิงแล้ว หยางชิ่งก็ตัดสินใจได้ทันที ว่าคนของสำนักหลัวช่าออกเดินทางแล้ว
สถานการณ์ดำเนินไปตามแผนที่วางไว้คร่าวๆ หมายความว่าศึกใหญ่กำลังจะเปิดฉากที่น้ำพุวังเวงแล้ว ที่สำคัญก็คือคู่ต่อสู้ไม่ใช่คนธรรมดา!
พอนึกถึงตรงนี้ หยางชิ่งก็รู้สึกไม่สงบใจเป็นอย่างมาก เขาไม่ได้โน้มน้าวเหมียวอี้เพียงครั้งเดียว แต่ไม่มีประโยชน์ เพราะเหมียวอี้ดึงดันจะทำอย่างนี้ให้ได้
ในเมื่อวางแผนไว้เรียบร้อยแล้ว เหตุใดยังต้องกังวลอีกล่ะ? เป็นเพราะหยางชิ่งทำนายอนาคตไม่ได้จริงๆ ไม่ว่าจะตัดสินเรื่องอะไรก็ล้วนอาศัยเบาะแส ไม่ได้นั่งเทียนหาบทสรุปเอาเอง ต่อให้เขาจะฉลาดแค่ไหน แต่ก็คาดการณ์ไม่ได้ว่าตรงน้ำพุวังเวงจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ มิหนำซ้ำเขายังไม่เคยไปน้ำพุวังเวงด้วย มีเรื่องราวมากมายที่ตัดสินไม่ได้ง่ายๆ เลย
เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว เขาเองก็ทำได้เพียงฝากความหวังไว้กับทักษะแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าของเหมียวอี้ แผนการคร่าวๆ ก็ร่างไว้แล้ว แค่ต้องดูว่าเหมียวอี้จะร้องเพลงอย่างไรหลังจากขึ้นเวที ความกังวลอื่นใดล้วนไม่มีประโยชน์ สถานการณ์ในที่เกิดเหตุมีโอกาสเปลี่ยนแปลงไปร้อยแปดพันเก้า หวังเพียงเหมียวอี้จะควบคุมได้ ให้สมกับชื่อเสียงบารมีที่นำกองทัพครึ่งธงพยัคฆ์ไปตีทัพใหญ่หนึ่งล้าน!
จินม่านที่นั่งตรงข้ามเห็นเขามีท่าทางกลัดกลุ้มใจ จึงจ้องเขาเงียบๆ ครู่หนึ่ง แล้วรินน้ำชายื่นให้เขา พร้อมเอ่ยถามเสียงเบา “ผู้ช่วยใหญ่กำลังกังวลเรื่องราชาปราชญ์เหรอ?”
“เอ่อ!” หยางชิ่งยื่นมือไปรับน้ำชาอย่างใจลอย
จินม่านมองปฏิกิริยาเขา แล้วเหล่ตามองมือของเขาที่ยื่นเข้ามา ดวงตางามพลันวูบไหว มือที่ยื่นถ้วยน้ำชาเบี่ยงตำแหน่งเล็กน้อย
ดังนั้นวินาทีถัดมา มือของหยางชิ่งจึงจับผิดตำแหน่งพอดี จับมือนางไว้แล้ว
จินม่านไม่สะทกสะท้าน ไม่หดมือกลับและไม่หลบเลี่ยง กำลังมองปฏิกิริยาของหยางชิ่งด้วยแววตาเรียบเฉย
“…” หยางชิ่งที่ได้สติกลับมารีบหดมือกลับ แล้วกล่าวขออภัย “ล่วงเกินแล้ว หยางชิ่งเหม่อลอย หวังว่าประมุขปราชญ์จะไม่ถือสา”
เมื่อเห็นเขาไม่มีปฏิกิริยาผิดปกติทางด้านนั้น มุมปากของจินม่านก็แข็งทื่ออย่างมีความหมายล้ำลึก จากนั้นก็ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น กล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งว่า “การกระทำที่ไม่ตั้งใจ ไม่จำเป็นต้องโทษตัวเอง” จากนั้นก็เปลี่ยนประเด็นสนทนา “ทางราชาปราชญ์น่ะ ผู้ช่วยใหญ่อาจจะคิดมากไปแล้ว นำกำลังคนออกไปด้วยเยอะขนาดนั้น ทั้งยังมีธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ ถ้ายังรับมือสถานการณ์ฉุกเฉินไม่ได้อีก เช่นนั้นหกลัทธิก็แย่เกินไปแล้ว”
หยางชิ่งพยักหน้าเบาๆ แต่สีหน้ากังวลนั้นยากจะหายไป ต่อให้ผ่านด่านน้ำพุวังเวงได้ แต่ก่อเรื่องใหญ่ขนาดนั้น ในภายหลังจะทำอย่างไรต่อล่ะ?
สายลมเย็นสบายโชยเข้ามา ชำระล้างอากาศในห้อง
ด้านนอกหน้าต่าง ทะเลและท้องฟ้ากว้างใหญ่ไพศาล คลื่นน้ำสีเขียวมรกตไร้ขอบเขต…
ดาวหยกงาม จวนอ๋องสวรรค์ โค่วหลิงซวีนำลูกน้องเหาะมาเหยียบลานบ้านด้านหลัง เขาเพิ่งจะกลับมาจากวังสวรรค์
ลูกน้องที่คอยคุ้มกันแยกย้ายกันไป โค่วหลิงซวีเดินก้าวยาว ถังเฮ่อเหนียนและโค่วเจิงที่อยู่ข้างในรีบเดินออกมารับ ขณะที่เดินไปข้างหน้าด้วยกัน โค่วเจิงก็รายงานสถานการณ์ทางด้านตลาดผี
หลังจากได้ฟังรายงาน โค่วหลิงซวีที่กำลังเดินก็ขมวดคิ้วถาม “คนที่จับตาดูวัดพระกษิติครรภ์พบว่าคนของวัดพระกษิติครรภ์ออกไปทางน้ำพุวังเวงเหรอ?”
คนของจวนแม่ทัพภาคตลาดผีล้วนเป็นคนของตระกูลโค่ว ฝั่งนี้ย่อมรู้เรื่องที่จับตาดูวัดพระกษิติครรภ์
“ขอรับ” โค่วเจิงพยักหน้า “หากยืนยันแล้ว จะรายงานกลับมาทันที”
“หรือว่าคนของวัดพระกษิติครรภ์ก็เข้าร่วมเรื่องนี้ด้วยเหมือนกัน?” โค่วหลิงซวีหยุดฝีเท้า บนใบหน้าฉายแววครุ่นคิดสงสัย “จับตาดูวัดพระกษิติครรภ์มานานขนาดนี้แล้ว หนิวโหย่วเต๋อคนนี้คิดจะทำอะไรกันแน่?”
“ท่านพ่อ หรือว่าจะถามหนิวโหย่วเต๋อไปตรงๆ เลยดีมั้ย?” โค่วเจิงถาม
โค่วหลิงซวียกมือห้าม แล้วหันกลับมาถามกลับ “มาถึงขั้นนี้แล้ว เจ้าคิดว่าถ้าถามอีกจะเหมาะสมเหรอ? บอกเหวินไป๋ ว่าให้พยายามเลี่ยงตระกูลอิ๋ง พวกเราทำเหมือนไม่รู้เรื่องอะไรต่อไปแล้วกัน หากหนิวโหย่วเต๋อพ้นเคราะห์ครั้งนี้ไปได้ พวกเราก็อธิบายว่าไม่รู้เรื่อง ก็เขาบอกว่าอยากตัดสินใจเองไม่ใช่เหรอ?” พูดจบก็ถอนหายใจเบาๆ การทิ้งหนิวโหย่วเต๋อ เขาเองก็จนปัญญาแล้วเช่นกัน เขาส่ายหน้าบอกว่า “น่าเสียดายแล้ง! ให้เมียเจ้าไปเยี่ยมเจ้าเจ็ดบ่อยๆ ก็แล้วกัน!”
“ขอรับ!” โค่วเจิงเอ่ยรับ
แทบจะเป็นในเวลาเดียวกัน เหมียวอี้ที่อยู่นอกน้ำพุวังเวงกำลังกุมระฆังดารา แล้วหันตัวมองไปยังตลาดผีที่อยู่ไกลๆ
เขาได้ข่าวจากหยางเจาชิงก่อนหยางชิ่งก้าวหนึ่ง รู้ว่าทางวัดพระกษิติครรภ์มีการเคลื่อนไหวแล้ว ที่จริงเขาก็รอความเคลื่อนไหวของฝั่งนั้นมาตลอด
ทุกครั้งที่สวีถังหรานปล่อยข่าวให้รั่วเสวี่ยรู้ ล้วนเป็นการทำตามขั้นตอนของแผนที่ฝั่งนี้วางไว้ เรียกได้ว่าให้ความร่วมมือกับฝั่งนี้ รอจนฝั่งวัดพระกษิติครรภ์มีปฏิกิริยา ทางนี้ก็เตรียมตัวเรียบร้อยแล้ว
พอเก็บระฆังดาราในมือ เหมียวอี้ก็หรี่ตาเล็กน้อย รอยนูนตรงหว่างคิ้วพลันเปิดออก ดวงตาที่งามเหมือนกระจกหลิวหลีพลันยิงเสาออกมา ตาทิพย์เปิดใช้งานแล้ว
พอจิ้งจอกพันหน้าเห็นสถานการณ์เป็นแบบนี้ ก็ตกใจจนตาค้างพูดไม่ออก สงสัยนิดหน่อยว่าเหมียวอี้เป็นคนหรือปีศาจกันแน่
ไป๋เฟิ่งหวงเพียงกอดอกจ้องมอง ไม่ได้แสดงอาการตกใจอะไร นางไม่ได้เห็นเป็นครั้งแรก ตอนอยู่ที่ทะเลดาวสับสนก็รู้แล้วว่าเหมียวอี้มีตาทิพย์
ตาทิพย์มองไปยังจุดไกลๆ มองสำรวจไปยังเส้นทางที่มาจากตลาดผี แยกแยะคนมาตลอดทาง แล้วสุดท้ายก็จับจ้องผู้ที่ปลอมใบหน้าแล้วสวมชุดคลุมมีหมวกตามที่ได้รับข่าวมา
…………………………