พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - บทที่ 1676 อย่าให้เหลือรอด
เรื่องราวเกิดขึ้นกะทันหัน ปฏิกิริยาแรกของเยี่ยนสุยก็คือกป้องอยู่ข้างกายอิ๋งหยาง และไม่ได้ผลักร่ายอิทธิฤทธิ์ออกไปเช่นกัน เพื่อป้องกันเผื่อผู้ลอบโจมตีมีแผนสำรอง การคุ้มกันอยู่ข้างกายอิ๋งหยางถึงจะปลอดภัยที่สุด สามารถรับมือได้ทุกเมื่อ
ไม่ใช่ว่าอิ๋งหยางหน้าใหญ่อะไรนักหรอก ไม่สนด้วยว่าจะจะดูถูกอิ๋งหยางหรือไม่ ในเมื่อทางจวนท่านอ๋องให้ตนมาคุ้มครองอิ๋งหยางแล้ว ก็จะยอมให้มีความผิดพลาดไม่ได้ ไม่อย่างนั้นก็จะไม่มีหนทางแก้ตัว
กระโจมค่ายจะทนรับอานุภาพการโจมตีแบบนี้ได้อย่างไร ถูกทำพังทันที
เงาแสงสามสายที่ทำลายกระโจมค่ายแฉลบผ่านไปแล้ว หนึ่งในนั้นแทบจะกวาดผ่านตำแหน่งที่อิ๋งหยางยืน ถ้าไม่ใช่เพราะเยี่ยนสุยไหวตัวเร็ว อิ๋งหยางคงได้บันเทิงแน่
“เป็นธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์!” อิ๋งหยางที่ถูกกดจนล้มลงพื้นอุทานตกใจ
ยังต้องให้เจ้าบอกอีกเหรอ ข้าย่อมรู้ว่าเป็นธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์! เยี่ยนสุยที่กำลังปกป้องเขาตำหนิในใจ ไม่รู้ว่าคนประสาทที่ไหนใช้ธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ยิงมาที่ค่าย หรือคิดอยากจะเสี่ยงดวงยิงคนตาย? หรือว่ารวยจนใช้ของสิ้นเปลือง!
เพียงแต่ชั่วพริบตาเดียวก็มีความคิดบางอย่างผุดเข้ามาในหัว ไม่มีใครกินอิ่มแล้วว่างงานจนมาลงมือกับคนของตระกูลอิ๋งหรอก ในที่สุดหนิวโหย่วเต๋อนั่นก็อดทนไม่ไหวจนต้องลงมือแล้ว ทำแบบนี้เท่ากับอยากกดดันให้คนในกระโจมค่ายออกมา!
คนที่ข้ารอก็คือเจ้า!
หลังจากแน่ใจแล้วว่าอิ๋งหยางไม่เป็นอะไร เขาก็ดึงอิ๋งหยางขึ้นมา แล้วโบกแขนเสื้อปัดกวาดฝุ่นควัน
“ท่านบุรุษ มีธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ลอบโจมตี ข้าเข้าไปอยู่ในกระเป๋าสัตว์ของท่านก่อนดีมั้ย” อิ๋งหยางกล่าวอย่างหวาดระแวงนิดหน่อย
“ถ้าท่านมัวหลบ ไม่ให้โอกาสอีกฝ่าย แล้วจะล่อเหยื่อให้ติดเบ็ดได้ยังไง?” เยี่ยนสุยต่ำหนิ ขณะเดียวกันก็กวาดสายตาเย็นเยียบมองไปรอบๆ
คนเพียงสิบคนที่เหลืออยู่ในค่ายรีบเข้ามา ล้อมพิทักษ์อิ๋งหยางเอาไว้ตรงกลาง
อีกด้านหนึ่ง เสวี่ยอวี้กับเม่ยจีถูกลอบจู่โจมจนตกใจกระโดดออกมา เม่ยจีและบรรดาศิษย์เห็นอาจารย์ถูกจู่โจม มีหรือที่จะนิ่งดูดาย ทยอยกันกระโดดออกมาจากทั่วทุกทิศ
พวกเยี่ยนสุยกวาดสายตามองไปรอบๆ พบว่ามีเรื่องน่าสนใจนิดหน่อย รอบข้างมีคนชุดดำไม่เผยหน้าหลายสิบคนกำลังล้อมเข้ามาทางนี้
แต่ก็ไม่เห็นว่าหนิวโหย่วเต๋ออยู่ตรงไหน และแยกไม่ออกด้วยว่าในจำนวนคนชุดดำพวกนี้มีหนิวโหย่วเต๋อหรือไม่ ยิ่งไม่รู้ว่าอยู่หรือไม่อยู่ แต่ดูจากท่าทีที่ล้อมเข้ามาทางนี้ ก็มองออกได้ว่าเป็นพวกเดียวกันแน่นอน กล้าลงมือกับตระกูลอิ๋งอย่างเปิดเผย ใจกล้าไม่เบา!
ไม่ว่าหนิวโหย่วเต๋อจะอยู่หรือไม่ แต่ฝั่งนี้ก็มิอาจไม่สนใจ ถ้าหนิวโหย่วเต๋ออยู่ท่ามกลางคนพกวนี้ขึ้นมาล่ะ มีความเป็นไปได้สูงมาก อย่างไรเสียอีกฝ่ายก็ลงมือแล้ว ในทางตรงกันข้าม ถ้าไม่สนใจจนปล่อยให้หนิวโหย่วเต๋อลอดตาข่ายไป เช่นนั้นก็ส้นเปลืองความคิดไปเปล่าๆ แล้ว
สรุปก็คือแทบจะแน่ใจได้เลย ว่าคนที่ลอบโจมตีกลุ่มนี้เกี่ยวข้องกับหนิวโหย่วเต๋อแน่นอน เพราะคนอื่นไม่มีเหตุผลที่จะทำอย่างนี้!
เยี่ยนสุยที่ถือระฆังดาราอยู่ในแขนเสื้อรีบร่ายอิทธิฤทธิ์เขย่า
ความคิดแรกของพวกเสวี่ยอวี้ที่อยู่บนฟ้าก็คือ ถูกคนของตระกูลอิ๋งลอบโจมตีแล้ว มิหนำซ้ำยังใช้ธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ในเวลานี้ด้วย แต่พอหันกลับไปอีกแล้วเห็นค่ายหลักถูกธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ถล่มเหมือนกัน ก็สงสัยนิดหน่อยว่าเกิดอะไรขึ้น
ทว่าเรื่องแรกที่เสวี่ยอวี้ต้องรับประกันให้ได้ก็คือห้ามเปิดเผยตัวตน ไม่อย่างนั้นถ้าทำลายสถานการณ์ระหว่างแดนพุทธะกับตำหนักสวรรค์ ต่อให้เป็นพุทธะหน้าหยกก็รับไม่ไหว เมื่อเห็นคนของตัวเองโผล่มาแล้ว หากปะทะกันขึ้นมาก็จะเกิดปัญหายุ่งยากมาก จึงรีบถ่ายทอดเสียงบอกเม่ยจี “ถอนกำลัง!”
ถ้าบรรลุเป้าหมายแล้วปิดปากคนของตระกูลอิ๋ง แบบนั้นก็คุ้มค่า แต่ถ้าไม่ได้อะไรแล้วก่อเรื่องใหญ่ขนาดนี้ก็จะไม่คุ้ม ย่อมต้องถอนกำลังก่อนอยู่แล้ว หลังจากนั้นค่อยวางแผนอีกที
เม่ยจีรีบส่งสัญญาณมือไล่คน กลุ่มคนที่อยู่รอบข้างพุ่งขึ้นฟ้าทันที หมายจะหนีออกจากตาน้ำพุ
“อืม!” เยี่ยนสุยบอกใบ้ สิบคนที่ล้อมป้องกันอยู่ทางนี้เหาะออกมาไล่สังหารทันที กำลังที่ปกป้องอิ๋งหยางอ่อนแอลงอีกครั้ง เหลือเพียงเยี่ยนสุยคนเดียว
นอกจากสิบคนที่ไล่สังหาร พวกเม่ยจีที่เพิ่งขึ้นบนฟ้าสูง ใครจะคิดว่าจู่ๆ บนฟ้าจะมีกำลังพลอีกนับพันปรากฏตัวอีก ไม่รู้ว่าโผล่มาจากน้ำพุวังเวงชั้นสี่หรือชั้นหก หลายสิบคนในนั้นง้างสายธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์กลางอากาศ ลูกธนูสามดอกวางบนสายพร้อมกัน ยิงใส่พวกเม่ยจีที่พุ่งเข้ามา ส่วนคนที่เหลือโจมตีจากข้างบนลงมาข้างล่าง
บึ้มๆๆ! ลำแสงหลายสิบสายสังหารจนพวกเม่ยจีลนลานทำอะไรไม่ถูก ภายใต้ระยะที่ใกล้แบบนี้ มีคนถูกยิงตายคาที่ บางคนก็สะเทือนล้มกลางอากาศแล้วถูกคนที่กรูเข้ามาใช้อาวุธฟันสังหาร ส่วนคนที่สะเทือนตกลงพื้นก็ดิ้นรนสู้ตายอยู่ภายใต้วงล้อมโจมตี
กำลังพลของตระกูลอิ๋งที่โผล่มาปุบปับลงมืออย่างเหี้ยมโหดไร้ความปรานี ประกอบกับการรุกโจมตีอย่างเชี่ยวชาญ แค่มองปราดเดียวก็รู้แล้วว่าเป็นกำลังพลที่เก่งกาจของทัพตะวันออก
ทว่าคนที่เม่ยจีพามาด้วยก็ไม่ได้อ่อนด้อย มีนักพรตบงกชกลายหลายคน คนเหล่านี้ไหวตัวเร็วมาก หลังจากคว้าโล่มาป้องกันธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์แล้ว ก็รีบโจมตีกลับอย่างรวดเร็ว สามารถสู้แบบหนึ่งต่อสิบได้เลย สังหารจนทัพของตระกูลอิ๋งปั่นป่วน
ยอดฝีมือระดับสำแดงฤทธิ์อย่างเสวี่ยอวี้กับเม่ยจีก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึง แค่กระดิกนิ้วก็เอาชีวิตคนได้แล้ว ใช้เวลาเพียงไม่เท่าไรก็ถูกทั้งสองสังหารไปแล้วเกือบร้อยคน
แต่ทั้งสองไม่มีทางแยกตัวออกไปได้แล้ว ไม่ใช่ว่าหนีไม่ได้ แต่ลูกศิษย์กับศพของลูกศิษย์ที่ทิ้งไว้ที่นี่จะทำอย่างไรล่ะ ถึงตอนนั้นก็จะปิดบังตัวตนของสำนักหลัวช่าไม่ได้ เสวี่ยอวี้ทั้งตกใจทั้งโมโห นึกไม่ถึงว่าคนของตระกูลอิ๋งจะบ้าระห่ำถึงเพียงนี้ เวลาลงมือก็จะเอาให้ถึงตายเลย
พลังอิทธิฤทธิ์ที่โหมซัดสาดอยู่ระหว่างฟ้าดินราวกับพายุที่หนาวเหน็บ เสียงดังสะเทือนฟ้าดิน ตอนนี้อยู่ทั้น้ำพุวังเวงชั้นห้าแล้ว ไม่อย่างแผ่นดินใหญ่คงพลังทลายแน่
อิ๋งหยางเห็นแล้วอกสั่นขวัญแขวน เยี่ยนสุยหรี่ตาจ้องเสวี่ยอวี้กับเม่ยจี นึกไม่ถึงว่าจะมียอดฝีมือระดับสำแดงฤทธิ์ถึงสองคน ยิ่งนึกไม่ถึงด้วยว่าหนิวโหย่วเต๋อจะหายอดฝีมือมาได้เยอะขนาดนั้น ไม่แปลกใจที่กล้าโจมตี
เสวี่ยอวี้ที่กำลังสู้ศึกเดือดพลันหันขวับ สบตากับเยี่ยนสุยที่อยู่ข้างหลังแล้ว ในเมื่อเรื่องราวบานปลายจนเป็นอย่างนี้ ถ้าอยากจะปิดบังตัวตนก็ต้องเก็บลูกศิษย์และศพลูกศิษย์ไปด้วยให้หมด แต่ตระกูลอิ๋งบ้าระห่ำขนาดนี้มีหรือที่จะปล่อยไปง่ายๆ เหลือแต่ต้องฆ่าปิดปากแล้ว!
เสวี่ยอวี้ใช้ฝ่ามือตบคนที่หลบอยู่ข้างหน้าจนกระอักเลือดตกลงพื้น พอโบกแขนเสื้อ คนชุดดำนับร้อยก็ปรากฏตัวกลางอากาศ ในที่สุดก็ปล่อยกำลังพลของสำนักหลัวช่าออกมาแล้ว
“อย่าให้เหลือรอด ฆ่า!” เสวี่ยอวี้ตะโกนเสียงแหบพร่า
คนชุดดำนับร้อยโจมตีเข้ามาในสนามรบทันที พวกนี้มีศักยภาพแข็งแกร่ง พลิกสถานการณ์ให้ฝ่ายสำนักหลัวช่าได้เปรียบอย่างรวดเร็ว แทบจะสังหารกำลังพลของตระกูลอิ๋งหมด
ไม่ให้ได้เปรียบก็คงไม่ได้ เพราะท่ามกลางคนชุดดำพวกนี้ มีศิษย์สายตรงจำนวนห้าคนซึ่งมีวรยุทธ์ระดับสำแดงฤทธิ์เหมือนกับเม่ยจีทั้งหมด ทั้งยังมีวรยุทธ์กะดับบงกชกลายอีกยี่สิบคน ส่วนที่เหลือก็ล้วนมีวรยุทธ์ระดับบงกชรุ้ง กระบวนทัพที่แข็งแกร่งขนาดนี้ กำลังพลของตระกูลอิ๋งจะต้านทานไหวได้อย่างไร
เสวี่ยอวี้นำกระบวนทัพที่แข็งแกร่งขนาดนี้มาด้วย ก็เพราะเตรียมตัวมาแล้วว่าหากทำไม่สำเร็จจะต้องปิดปากให้สิ้นซาก แล้วก็ได้นำออกมาใช้งานจริงๆ อย่างที่คาดไว้
เข่นฆ่ากันอย่างดุเดือด ให้ความรู้สึกเหมือนฟ้าดินจะพลิก ฉากนี้ทำให้อิ๋งหยางที่เคยเห็นการสู้รบแบบนี้เป็นครั้งแรกตกตะลึงพรึงเพริด
เยี่ยนสุยหนังตากระตุกเช่นกัน อย่าว่าแต่เขาเลย เกรงว่าแม้แต่อิ๋งจิ่วกวงก็คิดไม่ถึงเช่นกันว่าหนิวโหย่วเต๋อจะหายอดฝีมือมาได้เยอะขนาดนี้ และคิดไม่ออกด้วยว่าหนิวโหย่วเต๋อหายอดฝีมือมากมายขนาดนี้มาจากไหน ความคิดแรกของเขาก็คือสงสัยตระกูลโค่ว!
แต่ใครจะคิดล่ะว่าหนิวโหย่วเต๋อจะหายอดฝีมือมาเยอะขนาดนี้ ยังจะออมมือได้อย่างไร ถ้าออมมือก็เกรงว่าคงจะไม่เหลือแม้แต่ชีวิตแล้ว
เยี่ยนสุยรีบเขย่าระฆังดาราในมืออีกครั้ง
ขุนพลใหญ่หกลัทธิที่หลบสังเกตการณ์อยู่ไกลๆ กำลังจ้องการรบอันดุเดือดบนฟ้า แสดงฝีมือได้ยอดเยี่ยมพอสมควร ถ้าเข่นฆ่ากันบนพื้นอาจจะเห็นไม่สะดวก แต่พอสู้กันบนฟ้าก็สะดวกต่อการรับชมมาก พวกเขานึกไม่ถึงว่าเหมียวอี้วางแผนลึกลับซับซ้อนจนล่อยอดฝีมือมากมายขนาดนี้มาเปิดฉากต่อสู้กับตระกูลอิ๋งได้ ต่อสู้กันดุเดือดพอสมควร
ตานฉิงเอามือลูบคางพึมพำ “คนพวกนี้เป็นใครกัน? วิธีการต่อสู้ดูคุ้นๆ อยู่นะ…”
ไป๋เฟิ่งหวงกับเยี่ยนเป่ยหงมองหน้ากันเลิกลั่ก หันไปมองเหมียวอี้พร้อมกันอีกแล้ว
เหมียวอี้ไม่ได้บอกพวกเขาว่าจะล่อคนออกมาเยอะขนาดนี้ แต่เหมียวอี้เองก็ทำสีหน้าแปลกๆ เช่นกัน เพราะนึกไม่ถึงว่าสำนักหลัวช่าจะมียอดฝีมือมาเยอะขนาดนี้ ความลับของสำนักหนานอู๋มีค่ามากขนาดไหนกัน? สำนักหลัวช่ายอมแลกทุกอย่างแล้ว!
ถึงแม้หยางชิ่งจะวิเคราะห์ว่าสำนักหลัวช่าจะพยายามปิดบังตัวตนอย่างถึงที่สุด แต่ดูจากจังหวะของอีกฝ่าย เหมือนต้องการจะปิดปากกำลังพลของตระกูลอิ๋งให้หมดชัดๆ!
จากสถานการณ์ที่ดำเนินต่อไปอย่างนี้ ถ้าตระกูลอิ๋งไม่มีทางหนีทีไล่ เหมียวอี้ก็ค่อนข้างลังเลว่าการกำจัดอิ๋งหยางยังต้องให้ฝ่ายตัวเองลงมือหรือเปล่า อย่าให้วุ่นวายจนทัพใหญ่หนึ่งล้านของแดนอเวจีไม่มีโอกาสลงสนามรบ แบบนั้นจะมาเสียเที่ยวแล้ว
น้ำพุวังเวงชั้นสิบ แดนมายา
ในค่ายหลักสองแถว ฮ่าวอวิ๋นเทียนกับก่วงเซิ่งกำลังดื่มสุราอยู่ในนั้น ในห้องข้างๆ มีชายชราสองคนกำลังดื่มสุราด้วยกัน คนหนึ่งมาจากตระกูลฮ่าวชื่อว่าจวงจื้อเกา คนหนึ่งมาจากตระกูลก่วงชื่อว่าอูกาน เป็นข้ารับใช้ของตระกูลฮ่าวและตระกูลก่วง
ชายชราสองคนที่วางจอกสุราแทบจะหยิบระฆังดาราออกมาพร้อมกัน ทั้งสองสบตากันแวบหนึ่ง แล้วต่างคนก็ต่างจัดการกับข่าวของตัวเอง
การได้ข่าวพร้อมกันในเวลานี้จะเป็นข่าวอะไรไปได้ ย่อมเป็นเพราะสายลับค้นพบแล้วว่าเกิดการเข่นฆ่าฝั่งตระกูลอิ๋ง จึงรีบรายงานมาให้ทั้งสองคนรู้
หลังจากทยอยกันจบการติดต่อแล้ว อูกานก็กล่าวเสียงต่ำ “ตระกูลอิ๋งรอจนได้เจอแล้วจริงๆ หนิวโหย่วเต๋อนี่บ้าระห่ำพอสมควร ช่างใจกล้าคับฟ้าจริงๆ!”
จวงจื้อเกากล่าวด้วยสีหน้านับถือ “เป็นหนิวโหย่วเต๋อเหรอ? หายอดฝีมือมากจากไหนเยอะขนาดนั้น? เกรงว่าคงจะเหนือความคาดหมายของตระกูลอิ๋งไปมาก อย่าขโมยไก่ไม่ได้แล้วเสียข้าวสารอีกกำมือ[1]เชียว วางกับดักล่อโจร นอกจากโจรจะไม่ติดกับดักแล้ว ยังถูกขโมยหม้อไปอีกด้วย!”
“ข้าเองก็แปลกใจว่าหายอดฝีมือมากมายขนาดนั้นมาจากไหน หรือว่าตระกูลโค่วแอบลงมือแล้ว?” อูกานถาม
“จะเป็นไปได้ยังไง? ตระกูลโค่วยอมจ่ายมากขนาดนี้เพื่อรับมือกับรุ่นหลานของตระกูลอิ๋งแค่คนเดียวเนี่ยนะ เป็นไปได้ยังไง?” จวงจื้อเกาถาม
จากนั้นทั้งสองก็รีบรายงานข่าวให้เจ้านายที่อยู่เบื้องหลังเวที
น้ำพุวังเวงชั้นสิบเอ็ด แดนอัสนีบาต โค่วหู่แทบจะได้รับรายงานจากสายลับทันที “ซี้ด!” เขาสูดหายใจลึก เรียกได้ว่าตกใจมาก
โค่วเหวินไป๋เห็นเขาแปลกใจขนาดนี้ จึงรีบถามว่า “ท่านอาหู่ ทำไมตกใจขนาดนี้ล่ะ?”
“ค่ายตระกูลอิ๋งถูกจู่โจม เกรงว่าหนิวโหย่วเต๋อคงจะลงมือไปแล้ว แต่จะประเมินพลังของผู้โจมตีต่ำไม่ได้เชียว แค่ยอดฝีมือระดับสำแดงฤทธิ์ก็ปาไปหลายคนแล้ว…” โค่วหู่เล่าสิ่งที่รับรายงานคร่าวๆ ด้วยสีหน้าเครียดขรึม
โค่วเหวินไป๋ได้ยินแล้วตกใจเช่นกัน “หนิวโหย่วเต๋อหายอดฝีมือมาจากไหนมากขนาดนั้น?” กำลังที่ท่านเขยจอมเอาเปรียบนั่นเปิดเผยออกมาทำให้เขาตกใจไม่เบา
ส่วนเสวี่ยอวี้ที่ตัดสินใจแล้วว่าจะฆ่าปิดปาก หลังจากปล่อยกลุ่มลูกศิษย์ออกมาแล้ว มือนางก็ว่างแล้วเช่นกัน นางหมุนตัวกลางอากาศท่ามกลางกระแสลมที่พัดม้วน จ้องมองอิ๋งหยางกับเยี่ยนสุยอย่างเย็นเยียบ แล้วถลันตัวไปอย่างฉับพลัน จะจับโจรต้องจับหัวหน้าโจรก่อน ต้องการจะเอาบุคคลสำคัญมาบีบ จะได้รีบหนีออกไปได้อย่างราบรื่น
เยี่ยนสุยเก็บอิ๋งหยางที่ตกใจจนหน้าถอดสีเข้ากระเป๋าสัตว์ มาถึงขั้นนี้แล้วถ้ายังใช้อิ๋งหยางเป็นเหยื่อล่ออีก ก็เท่ากับเอาชีวิตอิ๋งหยางมาล้อเล่นแล้ว เขาเก็บอิ๋งหยางไว้แล้วยืนรออย่างสงบ สายตาเย็นเยียบล้ำลึก นิ่งเฉยไม่สะทกสะท้าน!
เสวี่ยอวี้ที่โผเข้ามาพอเห็นเยี่ยนสุยมีท่าทีอย่างนี้ ก็รู้ทันทีว่าตัวเองเจอกับศัตรูที่แข็งแกร่ง
…………………………
[1] ขโมยไก่ไม่ได้ เสียข้าวสารอีกกำมือ 偷鸡不成蚀把米 หมายถึงฉวยโอกาสไม่สำเร็จแล้วยังขาดทุน