พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - บทที่ 1677 สั่งสอนหวังเฟย
หลักการก็เรียบง่ายมาก เพราะเคยเห็นนางลงมือแล้ว เห็นนางสังหารเข้ามาแต่ไม่ลนลานเลยสักนิด ถึงขั้นไม่มีท่าทีว่าจะหลบเลยด้วยซ้ำ อีกฝ่ายย่อมไม่หวาดกลัวนางอยู่แล้ว
ยังมีอีกจุดหนึ่ง อีกฝ่ายสามารถเก็บอิ๋งหยางเข้ากระเป๋าสัตว์และปกป้องอยู่ข้างกายอิ๋งหยางได้ เมื่อเชื่อมต่อกับจุดนี้ ก็แสดงว่าคนคนนี้มีฐานะในจวนอ๋องสวรรค์ที่ไม่ธรรมดา มีความเป็นไปได้สูงว่าจะรู้จักพวกนางสองคน พวกนางคือศิษย์ของพุทธะหน้าหยกของแดนสุขาวดี คนที่อยู่ในระดับอย่างพวกนาง มีครอบครัวของสี่อ๋องสวรรค์คนไหนบ้างที่นางไม่เคยติดตามอาจารย์ไปในฐานะแขก ฝั่งจวนอ๋องสวรรค์เองก็ย่อมส่งคนที่มีฐานะเทียบเท่ามารับรองแขกเช่นกัน ยอดฝีมือระดับสำแดงฤทธิ์ในจวนอ๋องสวรรค์ นางน่าจะเคยเจอมาหมดแล้ว อย่างน้อยภายนอกนางก็น่าจะรู้จักหมด
ไม่ว่าก่อนหน้านี้จะรู้จักหรือไม่ หรือจะมีความสัมพันธ์เป็นอย่างไร แต่มาถึงขั้นนี้แล้วก็ไม่มีทางเลือดอื่น ถ้าไม่เป็นเจ้าที่ตายก็เป็นข้าที่รอด
เสวี่ยอวี้ปลุกพลังให้ฮึกเหิมภายในชั่วพริบตาเดียว…
จวนอ๋องสวรรค์โค่ว โค่วหลิงซวีกำลังนั่งอยู่ในห้อง พอได้รับรายงานก็ลุกขึ้นยืนทันที แล้วเอ่ยถามคำถามเดียวกัน “เขาหายอดฝีมือมาจากไหนมากมายขนาดนี้?”
ถังเฮ่อเหนียนที่มารายงานขมวดคิ้ว แล้วส่ายหน้าตอบว่า “ไม่ทราบขอรับ ไม่ทราบด้วยว่าตระกูลอิ๋งเตรียมตัวไว้เพียงพอหรือไม่ ไม่อย่างนั้นก็อาจจะตายด้วยน้ำมือเขาจริงๆ”
“จะให้ข้าติดต่อกับเขาโดยตรงเลยดีมั้ย?” โค่วเจิงที่อยู่ข้างๆ ประหลาดใจไม่หยุด
ถังเฮ่อเหนียนหันมาตอบ “คุณชายใหญ่ ต่างก็กำลังสู้ตายกันอยู่ เขาจะมีเวลามาตอบหรือเปล่าก็ไม่รู้ ประการต่อมา ถ้าถามตอนนี้ แล้วคนของตระกูลโค่วจะต้องไปสนับสนุนด้วยหรือเปล่า? ถ้าไม่ไปช่วย แล้วครั้งนี้เขากลับมาได้ พวกเราจะอธิบายยังไงล่ะ? ทำเป็นไม่รู้จะดีกว่า!”
โค่วเจิงเงียบไป เมฆหมอกแห่งความสงสัยปกคลุมอยู่เต็มห้อง เขาลองถามว่า “หนิวโหย่วเต๋อบอกว่าเข้าควบคุมตลาดสวรรค์มาหลายปี สามารถหาคนได้จำนวนหนึ่ง สงสัยจะเป็นอย่างนี้จริงๆ ประเมินเขาต่ำไปแล้ว”
ถังเฮ่อเหนียนส่ายหน้าถอนหายใจ “ตลาดสวรรค์มีทรัพยากรอุดมสมบูรณ์ แต่ก็ไม่ใช่บ้านของเขา ทรัพยากรที่เขาสามารถให้ได้จะจ้างยอดฝีมือระดับสำแดงฤทธิ์มามากขนาดนั้นได้ยังไง? ถ้าเป็นเช่นนี้จริงๆ ตำแหน่งผู้บัญชาการใหญ่ตลาดสวรรค์จะไม่ทำให้คนแย่งกันหัวแตกหรอกเหรอ?”
“ไม่ต้องเดาแล้ว เฒ่าถัง ให้พวกลูกน้องจับตาดูเอาไว้ ถ้ามีความเคลื่อนไหวใหม่ให้รายงานทันที” โค่วหลิงซวีกล่าว
“ขอรับ!” ถังเฮ่อเหนียนเอ่ยรับ แล้วหยิบระฆังดาราออกมาติดต่อตรงนั้นเลย
จวนอ๋องสวรรค์ฮ่าว ตรงระเบียงของตึกศาลาหลังหนึ่ง ฮ่าวเต๋อฟางยืนเอามือไขว้หลังพลางหรี่ตา “เป็นเจ้าหนุ่มนั่นลงมือจริงเหรอ? หายอดฝีมือมาจากไหนมากขนาดนั้น?”
ซูอวิ้นที่เป็นชายแต่งหญิงขมวดคิ้วอยู่ข้างๆ “ตอนอยู่ที่ตลาดสวรรค์เคยใช้วิธีแข็งกร้าวหลายครั้ง ตอนไปกองทัพองครักษ์ก็ใช้อำนาจยึดควบคุมเช่นกัน ศึกที่น่านฟ้าระกาติงก็ยิ่งใช้กำลังพลครึ่งธงพยัคฆ์ดันทุรังสู้กับทัพใหญ่หนึ่งล้าน นึกไม่ถึงว่าครั้งนี้ก็ใช้กำลังปะทะตรงๆ เหมือนกัน ลักษณะการทำงานของหนิวโหย่วเต๋อนี่แข็งกร้าวจริงๆ เชี่ยวชาญการใช้กำลังรบ เป็นแม่ทัพผู้ห้าวหาญบนสนามรบจริงๆ!”
“ใครเบื้องล่างจับตาดูเอาไว้” ฮ่าวเต๋อฟางกล่าว
“ค่ะ!” ซูอวิ้นเอ่ยรับ
จวนอ๋องสวรรค์ก่วง ก่วงลิ่งกงกับหวังเฟยเม่ยเหนียงกำลังเดินเล่นอยู่ในป่าภูเขา พ่อบ้านโกวเยว่ปรากฏตัวแล้วถ่ายทอดเสียงรายงาน ก่วงลิ่งกงหยุดเดินแล้วถ่ายทอดเสียงสื่อสารอย่างตกตะลึงเล็กน้อย จากนั้นถึงได้โบกมือให้โกวเยว่ถอยไป
เม่ยเหนียงสังเกตเห็นว่าก่วงลิ่งกงที่เมื่อครู่นี้เพิ่งพูดคุยกับนางอย่างสนุกสนานเงียบขรึมลงเยอะ จึงถามหยั่งเชิงว่า “ท่านอ๋องมีเรื่องในใจเหรอคะ?”
ก่วงลิ่งกงหันตัวมาจ้องนางครู่หนึ่ง แล้วสุดท้ายก็กล่าวช้าๆ “หนิวโหย่วเต๋อกับตระกูลอิ๋งสะสมความแค้นไว้ลึกมาก ยากที่จะจบลงด้วยดี เรื่องออกล่าที่น้ำพุวังเวงเดิมทีเป็นตระกูลอิ๋งที่วางกับดัก ตอนนี้สู้กับหนิวโหย่วเต๋อแล้ว…” เขาเล่าเรื่องที่น้ำพุวังเวงให้ฟังคร่าวๆ
เขารู้ว่าเรื่องแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์กับหนิวโหย่วเต๋อล้มเหลวครั้งก่อนยั่วยุอารมณ์ของผู้หญิงคนนี้มาก ทำให้ผู้หญิงคนนี้มีความหวัง แต่ก็ดับความหวังของนางจนหมดสิ้น จะไม่ถือว่าโหดร้ายได้อย่างไร และครั้งนั้นก็ทำให้เขาเริ่มตระหนักอะไรได้บ้างแล้ว พิจารณาถึงเรื่องที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ถ้าตัวเองไม่อยู่แล้ว ใครจะคอยปกป้องผู้หญิงคนนี้? ลูกชายหลายคนของตนภายนอกดูเคารพผู้หญิงคนนี้ แต่ลับหลังมีใครบ้างที่ไม่อยากช่วยยกฐานะให้มารดาตัวเองเป็นฮูหยิน ถ้าลูกชายคนไหนของตนรับตำแหน่งต่อ ลูกน้องเก่าของตนก็ย่อมต้องติดตามรับใช้อ๋องคนใหม่ เกรงว่าคงไม่ต้องรอให้อ๋องคนใหม่แสดงท่าทีอะไร ก็มีคนคิดอยากจะช่วยอยู่แล้ว เมื่อถึงตอนนั้นเกรงว่าจุดจบของผู้หญิงคนนี้คงจะไม่ดีสักเท่าไร
แน่นอน เขาหวังว่าอ๋องคนใหม่จะสามารถอยู่ในตำแหน่งตัวเองได้อย่างมั่นคง รักษาเกียรติยศความรุ่งโรจน์ให้ตระกูลก่วงต่อไป แต่พอนึกว่าจะมีคนมาทำร้ายผู้หญิงของตัวเอง เขาก็ไม่อาจอดกลั้นได้เช่นกัน ถ้าผู้หญิงคนนี้ถูกกดดันจนหมดทางเลือก นางจะทำอะไรก็จินตนาการได้ไม่นาน เมื่อเดินไปถึงขั้นที่ก้าวเท้าลำบาก สิ่งที่สามารถนำมาปกป้องตัวเองได้ก็คือใช้ประโยชน์จากความสวยของตัวเอง
ทั้งยังมีลูกสาวสุดที่รักที่ยังไม่ได้แต่งงานอีก ถ้าอ๋องคนใหม่ปฏิบัติต่อมารดาของนางไม่ดี แล้วยังจะหวังให้อ๋องคนใหม่หนุนหลังลูกสาวตนในฐานะครอบครัวฝ่ายเจ้าสาวได้อีกเหรอ? หากขาดการสนับสนุนจากจวนท่านอ๋อง เกรงว่ายิ่งหน้าตาสวยก็จะยิ่งมีจุดจบที่อนาถ มีความเป็นไปได้สูงว่าจะตายโดยไม่ทราบสาเหตุ การต่อสู้ชิงไหวชิงพริบของเหล่าอนุภรรยาชนชั้นสูงก็น่ากลัวขนาดนี้ ไม่ได้ดีไปกว่าวังหลังสักเท่าไร
พอนึกว่าลูกสาวสุดที่รักของตัวเองอาจจะเดินไปถึงจุดนั้น เขาก็ค่อนข้างปวดใจ และคนที่คำนึงถึงลูกสาวตนอย่างแท้จริงก็คงจะมีเพียงมารดาของนางแล้ว คือผู้หญิงคนที่อยู่ตรงหน้านี้เอง
และตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ก่วงลิ่งกงก็เริ่มคำนึงถึงอนาคตของสองแม่ลูกนอกเหนือผลประโยชน์ของตระกูลก่วงอย่างแท้จริง รู้สึกว่าต้องสนับสนุนอำนาจที่ผู้หญิงคนนี้สามารถกุมไว้ในมือได้ ไม่ถึงขั้นในอนาคตกลายเป็นเนื้อปลาบนเขียง เขากำลังพิจารณาอย่างจริงจังเช่นกัน ว่าต้องหาลูกเขยที่ในอนาคตสามารถหนุนหลังลูกสาวได้อย่างแท้จริง เป็นที่พึ่งพาให้สองแม่ลูก ไม่หวังให้มีหน้าตามีตาไร้ที่สิ้นสุด อย่างน้อยขอให้ใช้ชีวิตอย่างไม่ลำบากก็พอ แต่ลูกเขยดีๆ ที่สามารถเติมเต็มเงื่อนไขนี้หาง่ายเสียที่ไหนกัน!
ด้วยเหตุนี้เอง ตอนนี้เขาจึงเลิกจำกัดควบคุมเม่ยเหนียงแล้ว ตั้งใจให้นางสะสมกำลังของตัวเอง แต่เหมือนจะไม่ได้ผลสักเท่าไร เป็นเพราะในโลกนี้มีคนฉลาดเยอะเกินไป เรียกได้ว่ามีคนที่ชอบประจบเอาใจผู้มีอำนาจเยอะเกินไป ทุกคนต่างก็รู้ว่านายท่านที่แท้จริงในอนาคตของตระกูลก่วงคือใคร ไม่มีใครอยากมีเรื่องกับบรรดาลูกชายของเขา และก็คงไม่ดีที่เข้าจะทำกับลูกชายเกินไป ไม่อย่างนั้นเรื่องราวจะดำเนินไปในทิศทางตรงกันข้าม หากอำนาจของตระกูลก่วงตกอยู่ในมือของผู้หญิงคนนี้จริงๆ ตัวอย่างก็มีให้เห็นมากมายแล้วว่าจิตใจสตรีนั้นอำมหิตที่สุด เวลาผู้หญิงจะโหดขึ้นมาผู้ชายก็เทียบไม่ติด ในอนาคตผู้หญิงคนนี้อาจจะลงดาบกับลูกหลานเขาก็ได้ นั่นก็คือสิ่งที่เขาไม่อยากเห็นเช่นกัน สิ่งนี้ทำให้เขาคิดวนเวียน เรื่องในบ้านมักจะจัดการยากเสมอ ในนั้นปะปนด้วย ‘ความผูกพัน’ ที่ตัดขาดได้ยาก เป็นไปไม่ได้ที่จะเอาเรื่องการตัดสินใจฆ่าอย่างไม่ลังเลมาใช้กับคนในครอบครัวบ่อยๆ
ดังนั้นตอนที่เขามีเวลาว่าง จึงเกิดภาพที่เดินเล่นกับหวังเฟยเม่ยเหนียงอย่างนี้ เพราะตั้งใจจะให้พวกลูกน้องได้เห็น หวังว่าจะช่วยเพิ่มอำนาจให้หวังเฟยเม่ยเหนียงได้
เนื่องจากมีการคำนึงถึงสิ่งนี้ เขาจึงให้นางรู้เรื่องราวบางอย่างที่เกิดขึ้นในตอนนี้เช่นกัน ไม่อย่างนั้นถ้าดวงตาสองข้างมืดบอด นางก็จะไม่กล้าทำอะไรเลย ไม่อย่างนั้นถ้าเปลี่ยนเป็นเมื่อก่อนเขาคงไม่บอกเรื่องออกล่าที่น้ำพุวังเวงให้นางรู้
เม่ยเหนียงได้ยินข่าวแล้วตกใจ “ท่านอ๋องหมายความว่า ตระกูลโค่วก็รู้เหมือนกัน และให้ความร่วมมือกับตระกูลอิ๋งกำจัดหนิวโหย่วเต๋อด้วยงั้นเหรอ?”
ก่วงลิ่งกงยิ้มเรียบๆ “ตอนนี้ไม่เหมือนตอนนั้นแล้ว ไม่มีอะไรน่าตื่นตกใจ หรือจะให้ดึงทั้งตระกูลโค่วลงบ่อโคลนเพื่อหนิวโหย่วเต๋อคนเดียว?”
เม่ยเหนียงแสยะยิ้ม “อย่างไรเสียก็เป็นลูกเขยของตระกูลโค่ว ตระกูลโค่วนี่ช่างทำได้ลงคอ ถ้ารู้ตั้งแต่แรกแล้วจะแย่งทำไม!”
ก่วงลิ่งกงส่ายหน้า “เม่ยเหนียง เจ้าจำไว้นะ เรื่องบางเรื่องก็ขึ้นอยู่กับว่าเจ้าจะมองจากมุมไหน ถ้ามองจากด้านความรู้สึก เรื่องนี้ทำใจรับได้ยากจริงๆ แต่ถ้ามองจากสถานการณ์โดยรวม การควงดาบตัดแขนตัวเองก็เป็นความกล้าหาญและความฉลาดอย่างหนึ่งเช่นกัน ถ้าไม่ตัดสิ่งที่ควรตัดก็อาจก่อหายนะได้ มีเรื่องราวมากมายที่ไม่อาจใช้อารมณ์ บางทีการพูดอย่างนี้อาจจะทำให้เจ้าไม่สบายใจ เป็นเพราะเจ้ายังไม่เดินไปอยู่จุดนั้น แต่ยามถึงเวลาที่เจ้าต้องแก้ปัญหาให้ครอบคลุมทั่วทุกด้าน เจ้าคิดว่าความเป็นความตายของคนนอกคนเดียว หรือความเป็นความตายของคนจำนวนมากสำคัญกว่ากันล่ะ? ยามเจ้าต้องเผชิญหน้ากับทางเลือกอย่างนี้ เจ้าก็ต้องจำเอาไว้ ว่าเรื่องบางประเภทไม่มีแบ่งแยกดีชั่ว และไม่เกี่ยวกับความรู้สึกด้วย บางสิ่งที่สละได้ก็ต้องสละ ไม่อย่างนั้นถ้าใช้อารมณ์ชั่ววูบทำงาน เจ้ามานึกเสียใจทีหลังก็จะไม่ทันแล้ว นั่นจะนำความเจ็บปวดมาสู่คนมากมาย จะนำความเสียหายทางด้านความรู้สึกให้คนมากกว่านั้น เข้าใจมั้ย?”
เม่ยเหนียงพยักหน้าเบาๆ เพียงแต่พอนึกว่าหนิวโหย่วเต๋อเพิ่งอยู่ระดับนี้แล้วรวบรวมกำลังได้เยอะขนาดนั้น ถ้าได้มาเป็นลูกเขยของตัวเองจะดีขนาดไหนกัน ในอนาคตจะมีใครมาแตะต้องพวกนางสองแม่ลูกได้ง่ายๆ อีก?
พอคิดแบบนี้ นางก็รู้สึกปวดใจนิดหน่อย แต่ก็รู้ว่าตัวเองเปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้แล้ว แต่ก็อดไม่ได้ที่จะกล่าวอย่างเสียดาย “น่าเสียดายจริงๆ”
ก่วงลิ่งรู้ถึงความคิดนาง จึงเตือนว่า “ไม่มีอะไรน่าเสียดาย ถ้าหนิวโหย่วเต๋อแต่งงานก็เม่ยเอ๋อร์ก็เหมือนกัน ต่อให้เม่ยเอ๋อร์เป็นลูกสาวแท้ๆ ของข้า เป็นลูกรักหัวแก้วหัวแหวนแล้วยังไงล่ะ? เมื่ออยู่ภายใต้สถานการณ์แบบนี้ ข้าก็จะตัดสินใจเลือกเหมือนโค่วหลิงซวีอยู่ดี เรื่องจริงได้พิสูจน์แล้ว ว่าฝ่าบาทไม่มีทางปล่อยให้มีคนขุดฐานกำแพงของเขาโดยไม่ทำอะไร จะต้องให้อำนาจกดดันแน่นอน เขาทั้งไม่ฆ่าหนิวโหย่วเต๋อ แล้วก็ไม่ปล่อยหนิวโหย่วเต๋อไปด้วย เอาแต่กดอยู่อย่างนั้น แค่ต้องการจะทำให้ตระกูลโค่วทนทุกข์ ต้องการทำให้ตระกูลโค่วยกหินทุ่มเท้าตัวเอง ทำให้ตระกูลโค่วโวยวายอะไรไม่ได้ ใช้วิธีนี้เพื่อเตือนคนอื่น ว่าต่อไปถ้าใครกล้าทำอย่างนี้อีก ก็จะมีจุดจบอย่างนี้! ฝ่าบาทกุมอำนาจมหาศาลของใต้หล้าเอาไว้ ถ้าเมื่อไรที่ฝ่าบาทตัดสินใจแน่วแน่แล้ว ก็มีทรัพยากรในมือให้ใช้เยอะเกินไป ไม่มีใครเป็นคู่ต่อสู้ของฝ่าบาทได้ ดังนั้นจึงไม่มีอะไรน่าเสียดาย เจ้าควรจะรู้สึกโชคดีที่หนิวโหย่วเต๋อไม่ได้แต่งงานกับเม่ยเอ๋อร์สิถึงจะถูก”
“เฮ้อ! เมฆลมในใต้หล้าเปลี่ยนแปลงยากคาดเดา พอไม่ระวังก็จะถูกพายุฝนฟ้าคะนองได้ หนิวโหย่วเต๋อที่เดินวนอยู่ระหว่างแผนของพวกท่านก็คงเหนื่อยมากทีเดียว” เม่ยเหนียงส่ายหน้ายิ้มเจื่อน “ท่านอ๋อง ขนาดข้ายังอดไม่ได้ที่จะช่วยถามแทนหนิวโหย่วเต๋อสักหน่อย ว่าตอนนี้เขาถอนตัวทันมั้ย?”
“ถอนตัวเหรอ?” ก่วงลิ่งกงเงยหน้าหัวเราะลั่น ราวกับได้ฟังเรื่องราวที่น่าขันมาก “เขาจะถอนตัวไปไหนได้ล่ะ? ไม้เด่นเกินไพร ลมพัดหักโค่น ใครใช้ให้เขาทำตัวเด่น? ถ้าไม่แข็งแกร่งพอที่จะต้านทาน ทนการโจมตีของลมฝนหมอกหิมะแล้วเติบโตต่อไปได้ ก็ต้องโดนฟ้าผ่าจนลำต้นหัก เจ้าเคยเห็นต้นไม้สูงใหญ่ที่ไหนหดเล็กลงได้มั้ยล่ะ? เขาผูกบุญคุณความแค้นไว้มากขนาดนั้น เดินเข้ามาอยู่บนเส้นทางลมคาวฝนเลือดแล้ว ถ้าไม่เดินหน้าจนประสบความสำเร็จ ก็ต้องเดินถอยหลัง ถ้าอยากถอยก็มีคนยินดีจะปล่อยเขาไปเช่นกัน นอกจากเดินไปข้างหน้าต่อ ก็ไม่มีทางให้ถอยกลับ ทุกอย่างล้วนเป็นเขาที่หาเรื่องใส่ตัว ไปโทษคนอื่นไม่ได้!”
ขณะที่เม่ยเหนียงทอดถอนใจ จู่ๆ ก็นึกอะไรขึ้นได้ ถามว่า “ยอดฝีมือพวกนั้น จะเป็นตระกูลโค่วที่แอบสนับสนุนเขาหรือเปล่าคะ?”
ก่วงลิ่งกงเหล่ตามอง แล้วบอกว่า “ตระกูลโค่วอยากหลุดพ้นจากตัวภาระจะแย่ มีหรือที่จะทำเรื่องดีๆ อย่างนี้ ถ้าเผยพิรุธขึ้นมาก็ต้องมีเรื่องกับตระกูลอิ๋งอีก”
“ตระกูลโค่วอยากจะหลุดพ้นปัญหา ท่านอ๋องบอกว่าฝ่าบาทต้องการทำให้ตระกูลโค่วทนทุกข์ หรือว่าฝ่าบาทจะแอบช่วยอย่างลับๆ?”
เม่ยเหนียงเดาตามใจโดยไม่ได้อิงหลักฐานอะไรเลย เป็นคำพูดที่เรียบง่ายเหมือนหนึ่งบวกหนึ่งได้สอง ทว่ากลับทำให้ก่วงลิ่งกงตะลึงงัน เริ่มหรี่ตาด้วยแววตาวูบไหว หันหน้าช้าๆ กลับไปมองหวังเฟยเม่ยเหนียง ผลปรากฏว่าทำให้นางตกใจมาก “ท่านอ๋อง ข้าพูดอะไรผิดไปหรือเปล่าคะ?”
ก่วงลิ่งกงไม่ได้ตอบ แต่กลับพึมพำกับตัวเอง “หรือว่าประมุขชิงรู้แล้วว่าหนิวโหย่วเต๋อต้องการจะเล่นงานเจ้าเด็กตระกูลอิ๋งให้ถึงตาย?”
จวนอ๋องสวรรค์อิ๋ง ในตำหนักหลักของลานบ้านด้านใน อิ๋งจิ่วกวงเดินไปเดินมาด้วยสีหน้าขรึมเครียด “แน่ใจจะว่าเป็นหนิวโหย่วเต๋อ? เขาหายอดฝีมือมากมายขนาดนั้นมาจากไหน? คนของพวกเราจะควบคุมไหวเหรอ?”
จั่วเอ๋อร์สีหน้าแย่มาก รับมือกับหนิวโหย่วเต๋อแค่คนเดียว นางก็นับว่าเตรียมพร้อมไว้เกินกำลังแล้ว ใครจะคิดว่าอีกฝ่ายจะเล่นใหญ่กว่า ไม่น่าเชื่อว่าจะหายอดฝีมือระดับสำแดงฤทธิ์มาเยอะขนาดนั้น? แต่จะว่าไปแล้ว ถ้าพลาดขึ้นมาจริงๆ นั่นก็จะช่วยให้นางพ้นความรับผิดชอบได้ เพราะไม่ใช่ว่านางทำได้ไม่ดี แต่เป็นอีกฝ่ายที่กำลังทำให้วุ่นวายเอง
“สองพี่น้องแซ่เยี่ยนยังเหลือทางหนีทีไล่เอาไว้ อาจจะไม่แพ้ค่ะ” นางกล่าวอย่างยากลำบาก
ในขณะนี้เอง จู่ๆ อิ๋งจิ่วกวงก็หยิบระฆังดาราอันหนึ่งออกมา ไม่รู้เช่นกันว่าเป็นข่าวจากใคร เอาเป็นว่าสุดท้ายเขาก็พลันกำระฆังดาราเอาไว้ในมือ แล้วกล่าวเน้นออกมาในขณะที่สีหน้าดำมืดขึงขัง “ประมุขชิง! หรือว่าจะเป็นเจ้าจริงๆ? นี่อยากจะให้ข้าขาดลูกสิ้นหลานงั้นเหรอ? รังแกกันเกินไปแล้ว…”
…………………………