พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - บทที่ 1680 สี่อ๋องร่วมมือ2
บึ้ม! กระแสลมที่สั่นสะท้านวิญญาณกระเพื่อมขึ้นลงอีกครั้ง
ลูกธนูดาวตกขั้นเจ็ดยิงออกมาอีกครั้ง!
ครั้งนี้เป็นการยิงเหยี่ยวบนฟ้า ไม่มีสิ่งกีดขวางเหมือนบนพื้นดินแล้ว
ลำแสงสายหนึ่งทะลุฟ้าเข้ามา ร่างทิพย์ร่างหนึ่งของเม่ยจีตกใจมาก ลนลานคว้าแม่ทัพเกราะม่วงคนหนึ่งมาขวางหน้าไว้ ขณะเดียวกันก็ใช้อีกมือช้อนโล่มาปกป้องร่างกาย
แกร๊ง! แกร๊ง!
เสียงดังครั้งแรก แม่ทัพเกราะม่วงที่ถลึงตากว้างถูกยิงทะลุไปพร้อมกับเกราะรบในชั่วพริบตาเดียว
เสียงดังครั้งที่สอง ลูกธนูดาวตกชนกับโล่ เกิดแรงระเบิดรุนแรงระหว่างแม่ทัพเกราะม่วงและเม่ยจี นักพรตรอบข้างที่วรยุทธ์อ่อนแอกระเด็นทันที “อั้ก” ร่างทิพย์ของเม่ยจีกระอักเลือดสดคำหนึ่ง โล่ที่อยู่ในมือกระเด็นออกไปในขณะที่ร่างถูกชนอย่างรุนแรง ทั้งตัวกลิ้งออกไปแล้ว
แม่ทัพเกราะม่วงที่อยู่ในศึกเลือดฉวยโอกาสแทงทวนเข้าไป แต่กลับถูกร่างทิพย์ของเม่ยจีดิ้นรนสุดชีวิตเพื่อคว้าด้ามทวนที่แทงเข้ามา ทว่าไม่รอให้นางโจมตีกลับ นักพรตบงกชทองสิบกว่าคนแทงทวนเข้ามาพร้อมกัน เสียงฉึกๆ ดังต่อเนื่องหลายครั้ง บนร่างทิพย์ของเม่ยจีมีเลือดสาดกระจาย บนร่างทิพย์ไม่ได้สวมเกราะรบ
“อ๊า!” ร่างทิพย์ของเม่ยจีร้องอย่างเศร้ารันทด ตรงมุมปากมีเลือดไหล แขนสองข้างสั่นสะเทือน พลังอิทธิฤทธิ์ที่แข็งแกร่งทะลักออกมา ทำให้ทุกคนที่สังหารเข้ามาสะเทือนจนกระเด็นออกไปแล้ว
ดาบใหญ่ด้ามหนึ่งกวาดผ่านเหนือศีรษะของกลุ่มคน นักพรตบงกชทองคนหนึ่งที่ใบหน้าเต็มไปด้วยเลือดฟันดาบอย่างแรงหนึ่งที ฉึด! ร่างทิพย์ของเม่ยจีถูกตัดหัวขาดกระเด็น
ร่างทิพย์ที่เหลือของเม่ยจีพากันหันมองมาทางนี้ ทุกร่างทำสีหน้าทั้งโกรธทั้งตกใจ ร่างทิพย์ของนักพรตระดับสำแดงฤทธิ์ผู้สง่าน่าเกรงขามตายด้วยน้ำมือของกลุ่มนักพรตบงกชทอง จะให้ทนความรู้สึกได้อย่างไร นี่ก็หมายความว่าหลังจากนางรวมร่างแท้อีกครั้ง พลังก็จะหายไปหนึ่งส่วนสิบ ทั้งยังส่งผลกระทบต่อด้านอื่นๆ ด้วย!
มีหรือที่เสวี่ยอวี้จะยอมให้ธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ขั้นเจ็ดนั่นทำสำเร็จได้อีกง่ายๆ บนร่างกายพลันเกิดเงาร่างสองร่าง นางแยกร่างเป็นสองร่างแล้ว กระโจนเข้าไปหาร่างของสองพี่น้องแซ่เยี่ยนที่กำลังถือคันธนู แล้วสู้กันอย่างดุเดือด
เมื่อสูญเสียอานุภาพของธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ไปแล้ว กำลังพลของตระกูลอิ๋งก็แทบจะเข่นฆ่ากันซึ่งๆ หน้า แต่ก็ไม่มีใครถอย ยังคงพุ่งเข้าไปสังหารอย่างไม่กลัวตายเหมือนเดิม
เหมียวอี้ที่เฝ้าดูการรบก็ต้องยอมรับเช่นกัน ว่าคนพวกนี้คงจะเป็นกำลังพลระดับหัวกะทิของตระกูลอิ๋ง ต่อให้ตัดยอดฝีมือที่อยู่ในนั้นออกไป ถ้าตอนทำศึกน่านฟ้าระกาติงเขาเจอกับคนกลุ่มนี้ กำลังพลครึ่งธงพยัคฆ์จะต้องรบแพ้แน่นอน
“พวกเราควรลงสนามรบแล้วหรือยัง” จู่ๆ อ๋าวเถี่ยที่อยู่ข้างกันก็หันมาถาม ในดวงตาฉายแววเฝ้าคอย ใครความรู้สึกเหมือนอยากจะลองดู
“ยอดฝีมือระดับสำแดงฤทธิ์เยอะขนาดนี้ พวกเจ้ามีความมั่นใจเหรอ?” เหมียวอี้ถาม
“ตอนที่ข้ามีชื่อเสียง พวกเขานับเป็นตัวอะไรล่ะ ข้ากลัวก็แต่ว่าถ้าข้าเผยโฉมหน้าที่แท้จริง แล้วจะทำให้พวกเขาตกใจหนีไปน่ะสิ” อ๋าวเถี่ยพูดดูถูก
คำพูดนี้ฟังดูอาจหาญ เต็มไปด้วยความมั่นใจ! เหมียวอี้หัวเราะเบาๆ พลางพยักหน้า ในเมื่อมีความมั่นใจขนาดนี้ เช่นนั้นก็เตรียมตัวเริ่มเถอะ
ขณะที่เขากำลังจะออกคำสั่งให้เริ่ม จู่ๆ อ๋าวเถี่ยก็หันหน้ามา มองลอดผ่านซอกร่องด้านหลัง
ชายชราสองคนแฉลบผ่านฟ้ามาอย่างรวดเร็ว ไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นอูกานกับจวงจื้อเกานั่นเอง พอมาถึงน้ำพุวังเวงชั้นห้า ทั้งสองก็ปลีกตัวออกจากกำลังพลกลุ่มใหญ่แล้ว กำลังตามมาช่วยอย่างรวดเร็ว
“พี่เยี่ยนไม่ต้องกลัว จวงมาแล้ว!”
“พี่เยี่ยน อูกานอยู่นี่แล้ว!”
เมื่อเห็นว่าทางนี้กำลังถูกสังหารจนไม่เหลือแรงโต้ตอบ กำลังพลหลายหมื่นบาดเจ็บล้มตายเกินครึ่ง สาเหตุที่สู้ตายไม่ถอยก็เพราะรู้ว่ามีกำลังสนับสนุนกำลังตามมา ตอนนี้พอได้ยินเสียงนี้ ก็เรียกได้ว่าเป็นพื้นดินแห้งแล้งเจอฤดูฝนจริงๆ สองพี่น้องแซ่เยี่ยนกระปรี้กระเปร่าทันที ตื่นเต้นดีใจไม่หยุด
“มาได้เวลาพอดีเลย!” เยี่ยนสุยตะโกนเสียงดัง
“รีบมาช่วยพวกเราอีกแรง!” เยี่ยนฉงกล่าว
จวงจื้อเกากับอูกานพุ่งมาหน้ากระบวนทัพ พอเห็นว่าคนที่สู้กับสองพี่น้องแซ่เยี่ยนคือเสวี่ยอวี้ พวกเขาก็ตกใจมาก นี่มันสถานการณ์อะไรกัน
หลังจากได้รับคำสั่งให้มาช่วยเหลือ ทางนี้ก็ออกคำสั่งให้สายลับถอนกำลังกลับไปรวมกับทัพใหญ่ทันที เพื่อที่จะนำทางทัพใหญ่ เพื่อบอกทิศทางกับทัพใหญ่ ดังนั้นจึงยังไม่รู้ว่าคนที่ตระกูลอิ๋งประมือด้วยคือคนของสำนักหลัวช่า
“เสวี่ยอวี้ พวกเจ้ากำลังทำอะไร?” อูกานเดือดดาล
เมื่อเห็นชายชราสองคนนี้ปรากฏตัว เสวี่ยอวี้ก็ตกใจมากเช่นกัน ตะโกนตอบอย่างเกรี้ยวกราดว่า “ตระกูลอิ๋งลงมือสังหารคนสำนักหลัวช่า พวกเราถูกบีบให้โต้ตอบ เจ้ากำลังถามว่าข้าทำอะไรงั้นเหรอ หรือพวกเจ้าคิดจะสอดมือเข้ามายุ่ง?”
อีกด้านหนึ่ง โค่วหู่ก็ปลีกตัวจากทัพใหญ่มาถึงล่วงหน้าแล้วเช่นกัน เมื่อเห็นฉากนี้ก็ตกใจมาก ต่อให้นอนฝันก็นึกไม่ถึงว่าคนที่ตระกูลอิ๋งประมือด้วยคือสำนักหลัวช่า นี่มันสถานการณ์อะไรกัน?
“เหลวไหล! อย่าไปฟังคำพูดซี้ซั้วของนาง พวกนางล้อมซุ่มไว้ล่วงหน้าแล้ว เป็นฝ่ายลอบโจมตีก่อน!” เยี่ยนสุยเดือดดาล
“พวกเจ้าสามคนยังรอะไรอยู่ หรือจะรอให้คนของพวกเราตายหมดหรือไง?” เยี่ยนฉงกล่าว
สามคนนี้ไม่สะดวกจะตัดสินใจเองจริงๆ เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับสถานการณ์โดยรวมของตำหนักสวรรค์และแดนสุขาวดี จึงไม่กล้าทำอะไรบุ่มบ่าม ระฆังดาราที่อยู่ในแขนเสื้อกำลังติดต่อกับภายนอก
พวกเหมียวอี้ที่แอบสังเกตการณ์หันกลับไปมองอีกครั้ง กำลังพลสองกลุ่มเหาะผ่านท้องฟ้าไปยังสนามรบอย่างรวดเร็ว เป็นตระกูลฮ่าวกับตระกูลก่วง รวมทั้งกำลังพลที่อยู่ในสายของพวกเขาด้วย นี่ยังไม่เท่าไร จนกระทั่งตอนเห็นโค่วเหวินไป๋นำทัพใหญ่หนึ่งหมื่นมาถึง สายตาของเหมียวอี้ก็เรียกได้ว่าเปลี่ยนเป็นเย็นเยียบดุร้าย
จวนอ๋องสวรรค์อิ๋ง โค่วหลิงซวี โค่วเจิงและถังเฮ่อเหนียนยังไม่ออกจากตำหนัก กำลังรอข่าวจากทางน้ำพุวังเวงตลอด
โค่วหู่ส่งข่าวให้โค่วหลิงซวีโดยตรง เล่าสถานการณ์ในที่เกิดเหตุให้ฟัง ถามว่าควรจะทำอย่างไรดี
“เป็นสำนักหลัวช่า!” โค่วหลิงซวีที่นั่งอย่างสงบตกใจลุกขึ้นยืน
“อะไรนะ” โค่วเจิงกับถังเฮ่อเหนียนไม่เข้าใจ เห็นโค่วหลิงซวีเสียอาการอย่างนี้ไม่บ่อยนัก
โค่วหลิงซวีกล่าวช้าๆ ว่า “คนที่ลอบโจมตีตระกูลอิ๋งไม่ใช่ประมุขชิง แต่เป็นคนของสำนักหลัวช่าแดนสุขาวดี เสวี่ยอวี้ศิษย์ของอวี้หลัวช่านำกำลังมาด้วยตัวเอง!”
“หา!” โค่วเจิงอุทาน สีหน้าเต็มไปด้วยความเหลือเชื่อ ราวกับกำลังบอกว่า จะเป็นไปได้อย่างไร
ถังเฮ่อเหนียนก็ทำสีหน้างุนงงเช่นกัน กลอกตาไปมาทันที แล้วถามอย่างไม่แน่ใจว่า “วัดพระกษิติครรภ์! หรือว่าการที่หนิวโหย่วเต๋อส่งคนไปจับตาดูวัดพระกษิติครรภ์จะเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้?”
เสียงเตือนนี้ทำให้โค่วหลิงซวีเข้าใจในฉับพลัน ถึงแม้จะไม่รู้ว่าเหมียวอี้ดึงสำนักหลัวช่าเข้ามายุ่งด้วยได้อย่างไร แต่ก่อนหน้านี้ที่เหมียวอี้จับตาดูความเคลื่อนไหวของวัดพระกษิติครรภ์จะต้องเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้แน่นอน หลังจากมีข้อมูลในใจแล้วก็รีบตอบกลับโค่วหู่ ฆ่าไม่ละเว้น!
สาเหตุก็ไม่ได้ซับซ้อนเลย นั่นก็คือจะยอมให้คนของแดนสุขาวดีมาอาละวาดที่ตำหนักสวรรค์ง่ายๆ ได้อย่างไร มิหนำซ้ำยังมาแตะต้องสี่อ๋องสวรรค์อีก บัญชีแค้นที่ครั้งก่อนประมุขพุทธะบังคับกักตัวสี่อ๋องสวรรค์ไว้ยังไม่ได้ชำระเลย คอยหาโอกาสเหมาะระบายความโกรธแค้นนี้มาตลอด ตอนนี้สี่ตระกูลรวมตัวกันแล้วด้วย ยังมีอีกสาเหตุหนึ่ง นั่นก็คือไม่รู้ว่าเหมียวอี้อยู่ในจำนวนนั้นด้วยหรือไม่ เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว ถ้าทำสำเร็จโดยกำจัดตัวถ่วงไปด้วยได้ก็ยิ่งดี ทั้งยังผลักความรับผิดชอบไปให้สำนักหลัวช่าได้ด้วย
รอบนอกสนามรบ โค่วหู่ที่ได้รับคำสั่งยืนยันเก็บระฆังดารา แล้วโบกมือชี้พร้อมส่งเสียงคำรามดุจสิงโต “ฆ่า!”
ชั่วพริบตาเดียวก็กลายร่างจากหนึ่งเป็นสิบ ร่างทิพย์เก่าร่างนำโผเข้าไปก่อน ส่วนอีกหนึ่งร่างที่เหลือยืนอยู่ที่เดิมแล้วหันกลับมามองโค่วเหวินไป๋
“ธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์เสริมอานุภาพ ตามข้าไปสังหาร!” โค่วเหวินไป๋โบกทวนในมือ แล้วตะโกนเสียงดังอีกครั้ง “ฆ่า!” เสียสละเป็นคนแรกของทัพใหญ่ที่พุ่งออกไป
“ฆ่า!” ขนาดลูกหลานชนชั้นสูงอย่างเขายังยอมสละชีวิตสู้ตายแล้ว คนอื่นๆ ก็ไม่มีอะไรน่าบ่น “ฆ่า!”
กลุ่มคนติดตามเขาโจมตีเข้าไปราวกับกระแสน้ำ ตะโกนเสียงดังสะเทือนฟ้า นักรบสวมเกราะหลายร้อยคนถือธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์เสริมอานุภาพอยู่วงนอก สายธนูถูกง้างออก เตรียมหาโอกาสยิงได้ตลอดเวลา
โค่วเหวินไป๋พุ่งเข้ามา ร่างทิพย์ของโค่วหู่ปกป้องอยู่ข้างกายเขาทันที ร่วมสังหารเข้าไปในสนามรบที่ทำศึกเลือดเคียงข้างเขา
โค่วเหวินไป๋ที่ยอมสู้ตายเหลือบมองอีกฝ่ายด้วยแววตาซาบซึ้งเป็นพิเศษ เขาย่อมรู้ว่าร่างทิพย์นี้ของโค่วหู่ตั้งใจมาปกป้องเขาโดยเฉพาะ แบบนี้ทั้งสามารถทำตามคำสั่งของอ๋องสวรรค์ให้สำเร็จ ทั้งยังพยายามรักษาความปลอดภัยให้เขาได้ด้วย
ถึงแม้โค่วหลิงซวีจะออกคำสั่งอย่างนั้น แต่โค่วหู่ก็ไม่ใช่คนโง่ ครั้งนี้ถ้าโค่วเหวินไป๋ตายอยู่ที่นี่ เขาก็จะแก้ตัวกับอ๋องสวรรค์ลำบาก คุณชายใหญ่อาจจะไม่ว่าอะไร แต่ปมในใจที่ไม่ปกป้องลูกชายเขาให้ดีจะยังคงอยู่ คาดว่าสุยฉูฉู่คงจะแค้นเขาไปทั้งชีวิต ถ้าในอนาคตคุณชายใหญ่ได้ขึ้นตำแหน่งอ๋อง สุยฉูฉู่ก็จะเป็นหวังเฟยแล้ว มีเรื่องราวมากมายที่อธิบายได้ไม่ชัดเจนแล้ว
“ธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์เสริมอานุภาพ ที่เหลือตามข้าไปสังหาร!” อูกานที่อยู่อีกด้านหนึ่งพลันตะโกนเสียงดัง แล้วแยกร่างเป็นสิบร่าง นำกระโจนเข้าสู้สนามรบ
“ใครขี้ขลาดก่อนลงสนามรบ ประหาร! ตามข้าไปสังหาร!” จวงจื้อเกาตะโกนอย่างขึงขัง แล้วแยกร่างสิบร่างนำทัพใหญ่สังหารเข้าไป
ตระกูลฮ่าวกับตระกูลก่วงแทบจะเลือกตัดสินใจเหมือนตระกูลโค่ว ถึงแม้โค่วหลิงซวีจะไม่ได้บอกพวกเขา แต่เรื่องบางเรื่องก็ไม่จำเป็นต้องปรึกษากัน บางทีพวกเขาอาจจะไม่ทำเพื่อกำจัดตัวภาระให้ตระกูลโค่ว แต่เป้าหมายอีกอย่างกลับชัดเจน
เมื่อเห็นยอดฝีมือระดับสำแดงฤทธิ์สามคนของตระกูลโค่ว ตระกูลฮ่าว ตระกูลก่วงร่วมรบ สองพี่น้องแซ่เยี่ยนก็ฮึกเหิมทันที
มีทัพใหญ่อีกหลายหมื่นเข้าร่วมรบ กำลังพลของตระกูลอิ๋งที่ดันทุรังอย่างขมขื่นมองเห็นความหวังแล้ว จึงฮึกเหิมมีชีวิตชีวาขึ้นมาทันที
เมื่อมียอดฝีมือระดับสำแดงฤทธิ์มาคุมสถานการณ์ ร่างทิพย์ของเยี่ยนฉงก็ออกจากสนามรบไปก่อน แล้วตะโกนเสียงดังว่า “มือยิงธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ถอนกำลัง ไปเสริมอานุภาพร่วมกับสามฝ่าย!”
นักพรตไม่กี่พันคนที่ยังเหลือธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์รีบถอนตัวออกจากใจกลางสนามรบ ภายใต้การบัญชาการจากร่างทิพย์ของเยี่ยนฉง มือยิงธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ของตระกูลโค่ว ตระกูลฮ่าว ตระกูลก่วงร่วมวางกำลังด้วยกัน พอเห็นศิษย์สำนักหลัวช่าเผยช่องโหว่เมื่อไร ก็ปฏิบัติตามคำสั่งของผู้บัญชาการได้ทันที ยิงลูกธนูดาวตกหนึ่งพันพร้อมกัน
เมื่อคุมสถานการณ์ได้แล้ว มีการบัญชาการที่คล่องแคล่วราบรื่นแล้ว อานุภาพแห่งการโจมตีหมู่ก็แสดงออกมาทันที นำภัยคุกคามใหญ่หลวงมาสู่ศิษย์สำนักหลัวช่า
เสวี่ยอวี้อยากจะใช้บงกชขาวพันใบปั่นป่วนการโจมตีหมู่ของธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์อีก แต่กลับดึงออกมาใช้ไม่ได้ ถูกร่างทิพย์ของสองพี่น้องแซ่เยี่ยนควบคุมไว้แล้ว
“พวกเจ้าคิดจะก่อกบฏเหรอ?” เสวี่ยอวี้ตะคอกถามด้วยความตกใจปนโมโห
บึ้ม! กระแสอากาศไร้รูปร่างกระเพื่อมขึ้นลง ลำแสงสายหนึ่งยิงออกมา ยอดฝีมือระดับสำแดงฤทธิ์คนหนึ่งของสำนักหลัวช่าใช้โล่ยันแล้วพุ่งไปทางกระบวนทัพธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์อย่างบ้าคลั่ง หวังจะป่วนกระบวนทัพที่โจมตีให้วุ่นวาย ธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ขั้นเจ็ดของเยี่ยนฉงออกโรงทันที โจมตีอีกฝ่ายจนกระอักเลือดกลางท้องฟ้า บาดเจ็บสาหัส จากนั้นก็มีลำแสงนับพันสายยิงเข้ามา ชั่วพริบตาเดียวก็ถูกยิงจนพรุนไปทั้งร่าง
ขอเพียงยอดฝีมือระดับสำแดงฤทธิ์ของสำนักหลัวช่าพุ่งออกจากกระบวนทัพการต่อสู้ ธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ขั้นเจ็ดของเยี่ยนฉงก็จะรังแกอย่างไร้ความปรานีทันที
สถานการณ์ของสำนักหลัวช่าที่เดิมทีได้เปรียบ ตอนนี้ดิ่งลงเร็วมาก
เหมียวอี้ที่ดูการต่อสู้อยู่ไกลๆ ใช้สายตาเย็นเยียบจ้องโค่วเหวินไป๋ที่กำลังดิ้นรนเข่นฆ่าอยู่ในกระบวนทัพ มุมปากค่อยๆ เผยรอยยิ้มดุร้าย แล้วถามด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง “อ๋าวเถี่ย พวกเขามียอดฝีมือสำแดงฤทธิ์มาเยอะขนาดนี้ พวกเจ้ารับมือไหวเหรอ?”
อ๋าวเถี่ยแสยะยิ้ม “แค่โจรกบฏกลุ่มนี้น่ะเหรอ? พวกเรามีนักพรตระดับสำแดงฤทธิ์มาสิบแปดคน บงกชกลายสามร้อย ทัพใหญ่หนึ่งล้าน! ทัพใหญ่แข็งแกร่งที่ถูกเลือกมาจากหกลัทธิ ถ้าแม้แต่ฝูงอีกาพวกนี้ยังสู้ไม่ไหว ก็ไม่ต้องไปทำอะไรกินแล้ว!”
…………………………