พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - บทที่ 1681 เงยหน้าหัวเราะลั่น
มังกรเจอน้ำตื้น ทรงพลังไม่ดับสูญ!
ไป๋เฟิ่งหวงกับเยี่ยนเป่ยหงหันกลับไปมองอ๋าวเถี่ยพร้อมกัน ทั้งสองอึ้งนิดหน่อย ถูกคำพูดของอ๋าวเถี่ยทำให้ตกใจแล้ว
ยอดฝีมือระดับสำแดงฤทธิ์สิบแปดคน? ระดับบงกชกลายสามร้อยคน? ทัพใหญ่หนึ่งล้าน? อยู่ไหนล่ะ? ขู่กันเฉยละมั้ง? ทั้งสองมองเขาอย่างตะลึงงัน
หลังจากค่อยๆ ขบคิดตาม ขมับของเยี่ยนเป่ยหงก็เต้นตุ้บๆ ทัพใหญ่ที่แข็งแกร่งของหกลัทธิ? หกลัทธิ? หกลัทธิสมัยก่อนน่ะเหรอ?
อ๋าวเถี่ย เหมือนเขาจะเคยได้ยินชื่อนี้มาก่อนนะ เป็นผู้เหลือรอดของประมุขยุคก่อนใช่มั้ย?
ไป๋เฟิ่งหวงค่อยๆ เผยแววตาตกตะลึง ตอนแรกยังไม่รู้ว่าคนตรงหน้านี้เป็นใคร เหมียวอี้ไม่ได้บอก ตอนนี้ไม่รู้ว่าเหมียวอี้อยู่ในอารมณ์ไหน หลุดปากพูดคำว่า ‘อ๋าวเถี่ย’ ออกมา และคำตอบของอ๋าวเถี่ยก็ยิ่งทำให้อกสั่นขวัญแขวน พิสูจน์ชื่อของ ‘อ๋าวเถี่ย’ แล้ว
ผู้ที่เรียกขุนนางตำหนักสวรรค์ของสี่อ๋องสวรรค์ว่าโจรกบฏ ก็ไม่ต้องคิดมากแล้วว่า ‘อ๋าวเถี่ย’ เป็นใคร
ขณะที่กำลังใช้ความคิด ไป๋เฟิ่งหวงก็หลุดถามว่า “เจ้าคืออ๋าวเถี่ย ขุนพลใหญ่ของประมุขปราชญ์ลัทธิอู๋เลี่ยงเหรอ?”
“ใช่แล้วยังไง เจ้าไม่พอใจเหรอ?” อ๋าวเถี่ยมองเหยียด
ไป๋เฟิ่งหวงมองเขาศีรษะจดเท้า แล้วถามอย่างประหลาดใจ “เจ้ายังไม่ตายนี่! ไม่ถูกสิ เจ้าโดนขังไว้ในแดนอเวจีไม่ใช่เหรอ? ทำไมหนีออกมาได้ล่ะ?”
อ๋าวเถี่ยขี้คร้านจะสนใจนาง ไป๋เฟิ่งหวงไม่สบอารมณ์ทันที เดาะลิ้นแล้วบอกว่า “เจ้าอารมณ์ เจ้าคิดว่าตัวเองเจ๋งมากนักเหรอ? ปีนั้นที่โดนประมุขไป๋ตีจนหนีเยี่ยวราด ไม่เห็นลำพองใจขนาดนี้เลย?”
“เจ้าว่าอะไรนะ?” อ๋าวเถี่ยถามเสียงต่ำ
ไป๋เฟิ่งหวงกอดอกกล่าวอย่างเย่อหยิ่ง “อย่านึกว่าเจ้าใส่หน้ากากแสร้งทำตัวเป็นหลานชายแล้วจะขู่กันได้นะ ถ้าข้าเผยโฉมหน้าที่แท้จริงออกมา อีกประเดี๋ยวเจ้าคงตกใจ”
“อ๋อเหรอ!” อ๋าวเถี่ยแสยะยิ้ม “งั้นข้าก็จะตั้งตารอ!”
“พอแล้ว!” เหมียวอี้พูดตัดบท พบว่าตัวเองลืมตัวเสียอาการไปชั่วขณะ เปิดเผยตัวตนของอ๋าวเถี่ยแล้ว หลังจากไกล่เกลี่ยแล้วก็ถามอ๋าวเถี่ยต่อ “อย่าประเมินศัตรูต่ำไป ทิ้งระยะห่างหลายปีแล้ว พวกเจ้าถูกขัง ขาดแคลนทรัพยากรฝึกตน แต่พวกเขามีทรัพยากรเต็มเปี่ยม เจ้าแน่ใจเหรอว่าจะเอาชนะได้? ในเมื่อลงมือแล้ว ก็ต้องจัดการให้เรียบร้อย ข้าไม่อยากให้มีคนหนีไปได้!”
อ๋าวเถี่ยเหล่ตามองไป๋เฟิ่งหวงแวบหนึ่ง ผลปรากฏว่าไป๋เฟิ่งหวงเชิดคาง ให้ความรู้สึกเหมือนตาต่อตาฟันต่อฟัน
นี่ไม่ใช่เวลามาต่อสู้กันเองภายใน อ๋าวเถี่ยข่มไฟโกรธเอาไว้ ขี้คร้านจะคิดเล็กคิดน้อยกับนาง หันกลับมาตอบเหมียวอี้ว่า “วรยุทธ์ระดับพวกเรา ตามปกติแล้วต่อให้มีทรัพยากรเพียงพอก็ก้าวหน้าได้ยากอยู่ดี ถึงจะทิ้งระยะห่างหลายปี แต่ความแตกต่างก็ไม่ได้ทิ้งห่างกันเท่าไร พวกเขาไม่ได้เหนือกว่าได้ง่ายๆ ขนาดนั้น ท่านวางใจเถอะ ขอเพียงพวกเราลงมือ รับรองว่าพวกเขาไม่รอดสักคนแน่!”
“ดี!” เหมียวอี้กล่าวอย่างเด็ดขาด จ้องมองสนามรบที่กำลังเข่นฆ่ากันด้วยแววตาเยียบเย็น “เริ่มเก็บกวาด จัดการสายตาที่อยู่รอบๆ ให้สะอาดเกลี้ยงก่อน แล้วค่อยกำจัดทิ้งให้ข้าให้หมด ลงมือเถอะ!”
“ขอรับ!” อ๋าวเถี่ยกุมหมัดคารวะ ในดวงตาฉายแววตื่นเต้นเหมือนกระหายเลือด รีบหยิบระฆังดาราออกมาติดต่อคนที่เหลือ แล้วมุดออกไปอย่างรวดเร็ว
ไป๋เฟิ่งหวงกับเยี่ยนเป่ยหงมองหน้ากันเลิกลั่ก ภาพที่อ๋าวเถี่ยเพิ่งกุมหมัดคารวะเมื่อครู่นี้ทำให้ทั้งสองตกใจ ไม่น่าเชื่อว่าเจ้าหมอนี่จะออกคำสั่งกับอ๋าวเถี่ยได้
“เป็นไปไม่ได้! ในปีนั้นประมุขปราชญ์หกลัทธิถูกเขาบีบให้ตาย เจ้าพวกนี้ก็ถูกเขาขังไว้ในแดนอเวจีเหมือนกัน ควรจะเป็นศัตรูกันสิ ทำไมมาเชื่อฟังคำสั่งเจ้าได้ล่ะ? หรือว่าเจ้าพาพวกเขาออกมา พวกเขาถึงได้ซาบซึ้งน้ำใจเจ้า ไม่ถูกสิ เจ้าพวกนี้แต่ละคนใช้ไม้อ่อนด้วยไม่ได้ ไม่ใช้ร่างกายตอบแทนหรอก บอกมาสิ นี่มันเรื่องอะไรกัน?” ไป๋เฟิ่งหวงบ่นไม่หยุด ในแววตาเต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น
เหมียวอี้ยืนนิ่งไม่สะทกสะท้าน ไม่ได้สนใจนางเลย ดวงตาจ้องเพียงกำลังพลตระกูลโค่วที่กำลังเข่นฆ่าอยู่ในสนามรบ ความเย็นเยือกล้ำลึกในดวงตายากจะหายไป หยิบระฆังดาราออกมาติดต่ออวิ๋นจือชิวที่ตัวอยู่กับตระกูลโค่ว
เขาบอกอวิ๋นจือชิวเพียงประโยคเดียวว่า : ถ้าตระกูลโค่วรังแกเจ้า เจ้าก็เผยภูมิหลังลัทธิมารของเจ้ามาคุมให้พวกเขาสงบได้เลย!
จากนั้นไม่ว่าอวิ๋นจือชิวจะถามอย่างกระวนกระวายอย่างไร เขาก็ไม่ตอบอีก ลักษณะท่าทางดุดันเย็นชา
หลังจากติดต่อกับขุนพลใหญ่หกลัทธิแล้ว ก็แยกย้ายกันไปหกทิศทาง ทิ้งระยะห่างอีกครั้ง
หลังจากออกจากสนามรบไปไกลแล้ว ตรงหกสถานที่ของหกทิศทาง มีทหารสวมเกราะรบปรากฏตัว กระจายตัวจากสิบเป็นร้อย จากร้อยเป็นพันจากพันเป็นหมื่น ชั่วพริบตาเดียวก็มีกำลังพลกลุ่มใหญ่ที่สวมเครื่องแบบตำหนักสวรรค์ปรากฏตัวอยู่ท่ามกลางป่าเหล็ก บนใบหน้าภายใต้เกราะหัวล้วนคลุมผ้าดำ เปิดเผยเพียงดวงตา
ตามคำสั่งที่ถ่ายทอดลงไป กำลังพลที่อยู่ในหกจุดรีบเรียงแถวหน้ากระดาน กระจายไปฝั่งซ้ายและขวาราวกับกางแขนสองข้าง ต่อหัวต่อหางกันไปเรื่อยๆ เป็นวงกว้างขนาดใหญ่ ก่อตัวเป็นรูปวงกลมขนาดใหญ่มาก
หลังจากวางกำลังเป็นรูปวงกลมสำเร็จแล้ว ก็ดันเข้าไปยังจุดศูนย์กลางอย่างรวดเร็ว ใช้วิธีเหาะขนาบกับพื้นเข้าไปท่ามกลางป่าเหล็ก ขณะเดียวกันก็สลับตำแหน่งซ้ายขวาไม่หยุด กำลังพลหนึ่งล้านทั้งหมดปล่อยพลังอิทธิฤทธิ์ออกมาครอบคลุมบริเวณกว้าง สลับตำแหน่งกันค้นหา ไม่ปล่อยผ่านไปแม้แต่ซอกมุมเดียว
มีค้างคาวขาวรัตติกาลถูกทำให้ตกใจบินออกมา ขุนพลใหญ่เกราะแดงคนหนึ่งถลันตัวขึ้นมา แสงสะท้อนคมดาบวาดผ่านหนึ่งครั้ง ค้างคาวขาวรัตติกาลทั้งหมดตัวขาดครึ่งท่อนตกลงพื้น
ไม่มีใครไปจับค้างคาวขาวรัตติกาลพวกนั้น ไม่สนด้วยว่าพวกมันจะมีราคาหรือไม่ คำสั่งทหารหนักแน่นดุจขุนเขา อย่าให้เหลือรอดชีวิต ขอเพียงยังมีชีวิตอยู่ เมื่อเห็นก็ฆ่าฟันให้หมด!
บางคนที่ดักซุ่มอยู่ในป่าถูกกำลังพลรุกคืบเข้ามาทำให้ตกใจจนเผยตัวออกมา พุ่งขึ้นฟ้าหมายจะหนีเข้าไปที่ตาน้ำพุ
พรึ่บๆๆ แม่ทัพเกราะม่วงสามคนตามเข้ามา ล้อมเขาเอาไว้ตรงกลาง
คนคนนั้นตกใจจนหยุดอยู่กลางอากาศทันที ไม่กล้าหนีอีกแล้ว หันหน้ามองซ้ายมองขวา แต่กลับพบว่าสายตาของแม่ทัพตำหนักสวรรค์สามคนนี้ดูเฉยเมยเย็นชา
“แม่ทัพทั้งสาม…” คนคนนั้นยังไม่ทันพูดจบ ข้างหลังก็มีแสงเย็นแวบผ่านแล้ว ถูกฟันบ่าในแนวเฉียงจนร่างขาดคาที่ ฝนเลือดสาดกระจาย แม้แต่กรีดร้องก็ยังไม่ทันได้กรีดร้อง ถูกเก็บศพเอาไว้ทันที ตอนนี้ยังไม่มีเวลาว่างรูดทรัพย์
แววตาชินชาเงียบเหงาแต่ละคู่ที่อยู่ในแดนอเวจีมาหลายปี ราวกับไม่มีความรู้สึกอะไรทั้งนั้น ร่างกายสวมเครื่องแบบตำหนักสวรรค์ ถืออาวุธเหาะประชิดเข้าป่าเหล็กที่มืดสลัวไร้ขอบเขต ใช้คลื่นพลังอิทธิฤทธิ์แทรกซึมเสาะหาตลอดทาง
ไม่มีใครพูดอะไร นักรบสวมเกราะหนึ่งล้านไม่ส่งเสียงสักคำ คนมากมายขนาดนี้ปฏิบัติการพร้อมกัน แต่กลับเงียบจนน่าตกใจ ประชิดเข้าไปอย่างเงียบเชียบ
แกร๊งๆๆ! แม่ทัพเกราะม่วงคนหนึ่งเหยียบลงพื้น ใช้ทวนยาวในมือเคาะรังที่เกิดจากแท่งเหล็กไขว้สลับกัน
ภายใต้หน่อเหล็กแหลมหลายต้นที่ไขว้สลับกัน มีคนคนหนึ่งโผล่ออกมา แล้วกล่าวอย่างเคารพนบนอบว่า “ท่านแม่ทัพ ข้าเป็นศิษย์สำนักหยกงาม มาออกล่าที่นี่ ไม่เคยทำเรื่องอะไรผิดกฎเลย ไม่ทราบว่าแม่ทัพเรียกมาเพราะมีอะไรจะกำชับ?”
แม่ทัพเกราะม่วงชี้ไปด้านหลังเขา เขาหันตัวไปมอง แต่จู่ๆ กลับมีบางอย่างยื่นออกมาตรงหน้าอก เขาถลึงตาก้มมอง มองหัวทวนแหลมคมที่ทะลุออกมาจากหน้าอกตัวเองจนเลือดสาด
กระทั่งหลังจากทัพใหญ่หนึ่งล้านที่กระจายตัวเป็นรูปวงกลมกลับรวมตัวกันแล้ว พวกเขาก็นำข่าวมารวมกัน ตลอดทางล้อมปราบได้นับร้อยคน
ตามที่สมาชิกมารวมตัวกัน กำลังพลที่ประชิดอยู่ท่ามกลางป่าเหล็กค่อยๆ เปลี่ยนจากรูปแบบที่กระจัดกระจายกลายเป็นรวมกลุ่มกันประชิดเข้ามา
จนป่านนี้แล้ว ต่อให้เป็นกำลังพลของสำนักหลัวช่าและสี่อ๋องสวรรค์ที่กำลังตั้งใจทำศึกเดือดกัน แต่จะไม่ให้สังเกตเห็นก็คงยาก
เงาคนของหกลัทธิปรากฎตัวอยู่บนฟ้าหกทิศทาง กำลังจ้องมองลงมาที่สนามรบตรงท้องฟ้าที่อยู่ต่ำกว่า บ้างก็มองด้วยสายตาเย็นเยียบ บ้างก็มองด้วยสายตาถากถาง บางก็อมยิ้ม บางก็กระหายเลือด ตาน้ำพุที่อยู่เหนือศีรษะราวกับดอกไม้ที่ไม่มีวันโรยรา
กำลังพลหลายหมื่นที่ทำศึกเลือด ตอนนี้กลับเหลือเพียงหมื่นกว่าคนเท่านั้น ส่วนใหญ่ที่ล้มตายไปย่อมเป็นคนของสี่อ๋องสวรรค์ แต่ภายใต้ภัยคุกคามของธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ขั้นเจ็ด นักพรตระดับสำแดงฤทธิ์ของสำนักหลัวช่าเสียหายเพราะการรบเยอะที่สุด มีร่างทิพย์ของนักพรตสำแดงฤทธิ์ตายไปยี่สิบกว่าคนแล้ว สามร่างในจำนวนนั้นก็คือเสวี่ยอวี้ สำนักหลัวช่าตกอยู่ในสถานการณ์เสียเปรียบแล้ว
พอเห็นว่าทั้งหมดสวมเครื่องแบบตำหนักสวรรค์ สองฝ่ายที่สู้กันก็อึ้งไปชั่วขณะ ทางสี่อ๋องสวรรค์ยังไม่ได้รับข่าวจากกองกำลังหนุน ส่วนสำนักหลัวช่าก็ยิ่งว้าวุ่นใจ นึกเพียงว่ากองกำลังหนุนของสี่อ๋องสวรรค์มาแล้ว
มาถึงขั้นนี้แล้ว เสวี่ยอวี้รู้แล้วว่าหมดโอกาสชนะ ท่ามกลางกำลังพลตำหนักสวรรค์ที่ล้อมเข้ามาสี่ด้าน แค่แม่ทัพใหญ่เกราะแดงก็มีหนึ่งกลุ่มแล้ว
“หยุด! หยุด…” เสวี่ยอวี้ตะโกนบอกกำลังพลฝั่งสี่อ๋องสวรรค์ซ้ำๆ แต่อีกฝ่ายไม่มีท่าทีว่าจะหยุดเลย ทำเอานางก็หยุดไม่ไหวเช่นกัน
ร่างทิพย์ของเยี่ยนฉงที่ทะยานขึ้นยืนบนฟ้าสูงสังเกตเห็นความไม่ชอบมาพากลแล้ว บนใบหน้าของกำลังพลตำหนักสวรรค์กลุ่มนี้โพกผ้าดำกันหมด หมายความว่าอย่างไร?
“พวกเจ้าเป็นกำลังพลฝ่ายไหน?” เยี่ยนฉงชี้พร้อมตะโกนถาม
“หึหึ…” อ๋าวเถี่ยเริ่มแสยะหัวเราะ เสียงหัวเราะดังขึ้นเรื่อยๆ
“เหอะๆ…”
“ฮ่าๆ…”
ไม่ใช่แค่อ๋าวเถี่ย แต่ราวกับถูกกระตุ้นจากเสียงหัวเราะของอ๋าวเถี่ย ขุนพลใหญ่อีกห้าคนหัวเราะตามเช่นกัน เสียงหัวเราะดังขึ้นเรื่อยๆ แต่ละคนกางแขนเงยหน้าหัวเราะลั่น หัวเราะอย่างเหิมเกริม หัวเราะได้สะใจมาก แทบจะเป็นการหัวเราะอย่างบ้าคลั่งที่เกิดจากการระบายอารมณ์
บนฟ้าที่กำลังต่อสู้กันเสียงดังโครมคราม เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะบ้าระห่ำของหกขุนพลใหญ่ หัวเราะจนทำให้คนที่กำลังเข่นฆ่ากันขนลุก
ทัพใหญ่ที่อยู่รอบด้านเริ่มทะยานขึ้นฟ้า ครอบคลุมเอาไว้สี่ด้านแปดทิศ จำนวนคนแน่นขนัด คนที่กำลังต่อสู้เห็นแล้วหวาดระแวงไม่หยุด เพราะนับดูคร่าวๆ ก็ใกล้จะครบล้านคนแล้ว
เหมียวอี้เองก็นำไป๋เฟิ่งหวงกับเยี่ยนเป่ยหงไปปรากฏตัวเช่นกัน อยู่ด้านหลังของทัพใหญ่ ลอยสังเกตการณ์อยู่บนท้องฟ้า
ดูจากสายตาของไป๋เฟิ่งหวงกับเยี่ยนเป่ยหงที่กวาดมองทัพใหญ่ไม่หยุด ก็รู้เลยว่ายังไม่หายตกตะลึง ถึงแม้ก่อนหน้านี้จะได้ยินแล้วว่ามีทัพใหญ่หนึ่งล้าน แต่ตอนที่เหมียวอี้ปล่อยทัพใหญ่หนึ่งล้านออกมาจริงๆ พวกเขาก็ยังตกใจอยู่ดี
“ข้าคือเยี่ยนฉง ทหารองครักษ์ของอ๋องสวรรค์อิ๋งแห่งทัพตะวันออก พวกเจ้าเป็นกำลังพลฝ่ายไหนกันแน่?” เยี่ยนฉงตะโกนเสียงดังอีกครั้ง
เสียงหัวเราะของทั้งหกคนทยอยหายไป แล้วก้มหน้าจ้องเบื้องล่าง
ส่วนทัพใหญ่หนึ่งล้านที่อยู่โดยรอบก็ทยอยกันเก็บอาวุธเช่นกัน ท่ามกลางเสียงเกราะรบที่ดังกระทบกัน ธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์หลายคันถูกช้อนขึ้นมา ลูกธนูตั้งบนสายธนู ลำแสงเบ่งบาน ง้างสายเล็งไปยังทุกคนที่กำลังสู้รบกันในสนามพร้อมกัน คนที่อยู่ข้างล่างตระหนกจนใจสั่น ทั้งสองฝ่ายที่สู้รบกันถลันตัวถอยโดยจิตใต้สำนึก แยกกันแล้ว ไม่สู้กันอีกแล้ว
ธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ที่มากขนาดนี้รวมอยู่ด้วยกัน นี่ไม่ใช่ศึกที่ทัพใหญ่ทั่วไปจะทำได้เลย เยี่ยนฉงหลุดอุทานว่า “กองทัพองครักษ์! พวกเจ้าคิดจะทำอะไร?”
โค่วเหวินไป๋มองไปรอบๆ ด้วยความงุนงง สีหน้าขาวซีด ก่อนที่จะเข่นฆ่ายังรู้สึกกลัว พอฆ่าจนตาแดงก็ไม่กลัวแล้ว ตอนนี้การเข่นฆ่าหยุดลงแล้วแท้ๆ แต่เหตุใดความรู้สึกหวาดกลัวที่เข้มข้นกลับเกิดขึ้นในใจอย่างหาเหตุผลไม่ได้
ใช่ว่าเขาจะไม่เคยเห็นกองทัพองครักษ์มาก่อน ตอนเข้าออกอุทยานหลวงเขาเห็นบ่อย แต่สายตาของคนพวกนี้แตกต่างกับสายตาของกำลังพลกองทัพองครักษ์อย่างเห็นได้ชัด ตอนที่กวาดมองไปรอบๆ ก็พบว่าในดวงตาแต่ละคู่ดูเฉยราไร้แววผิดปกติ
ไม่รู้ว่าเพราะอะไร จู่ๆ โค่วเหวินไป๋ก็ราวกับประสาทหลอน ตะโกนเสียงแตกอย่างเสียสติว่า “หนี! รีบหนี! ไม่ใช่กองทัพองครักษ์! พวกเขาไม่ใช่กองทัพองครักษ์!”
เสียงตะโกนที่ทำลายความเงียบของเขาราวกับจุดประกายอะไรบางอย่าง
“ฆ่า! ฆ่า! ฆ่า! ฆ่า! ฆ่า! ฆ่า!”
หกคนบนท้องฟ้าที่ยืนอยู่ข้างหน้าบ้างข้างหลังบ้าง พวกเขาแทบจะออกคำสั่งที่โหดเหี้ยมไร้ความปรานีพร้อมกัน
ปั้งๆๆ…
สายธนูของธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ที่หนาแน่นดุจพายุฝนทั้งยังเยอะจนมืดฟ้ามัวดินส่งเสียงระบิดจนทำให้คนฟังหูชา
…………………………