พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - บทที่ 1684 อยู่ดีๆ ก็หายไป
ต้องทราบไว้ว่าครั้งนี้ไม่เพียงแค่กำจัดกำลังพลของสี่อ๋องสวรรค์และสำนักหลัวช่าเท่านั้น ถึงแม้กำลังพลของสิบสองจอมพลและสามสิบหกเทพประจำดาวจะมีไม่เยอะ เพียงเลือกคนมาประกอบฉากนิดหน่อยเท่านั้น แต่ถึงอย่างไรก็ล้วนส่งลูกหลานมา ผลปรากฏว่าถูกเหมียวอี้กำจัดทิ้งไปหมดแล้ว
แม้แต่ลูกชายคนรองของเทพประจำดาวฟ้าเถาะ ก็สิ้นชีพอยู่ในจำนวนนั้นด้วยเช่นกัน
ถึงแม้เหมียวอี้จะไม่รู้จักลูกชายคนรองของเทพประจำดาวฟ้าเถาะ แต่ก็สามารถตัดสินได้จากกำลังพลของแต่ละฝ่ายที่มาเข้าร่วม พอจะเดาได้คร่าวๆ แล้ว แต่เขาก็ไม่ได้นำตัวออกมา กำจัดไปพร้อมกันอย่างเลือดเย็นไร้น้ำใจเสียเลย
แทบจะฆ่าลูกหลานบุคคลระดับสูงของตำหนักสวรรค์หมดแล้ว ถามหน่อยว่าเรื่องที่เกี่ยวข้องกับวงกว้างขนาดนี้ ถ้าวุ่นวายขึ้นมาจะไม่เกิดละครฉากเด็ดหรอกเหรอ?
นี่คือเรื่องนอกเหนือแผนการที่คาดคิดไม่ถึง ต่อให้เป็นหยางชิ่งก็คาดไม่ถึงเช่นกันว่าพอสำนักหลัวช่าแตะต้องตระกูลอิ๋ง แล้วจะทำให้สี่อ๋องสวรรค์ร่วมมือกัน
เรื่องนี้ลุกลามใหญ่โตแล้วจริงๆ ไม่อาจอยู่ที่นี่นานได้ หลังจากเตรียมตัวเสร็จแล้ว คนกลุ่มนี้ก็ออกจากน้ำพุวังเวงอย่างรวดเร็ว
ตลาดผี โรงเตี๊ยม เสียงเคาะประตูดังขึ้น
หรูเสวี่ยที่เปิดประตูออกตกใจนิดหน่อย นึกไม่ถึงว่าสวีถังหรานจะมาอีกแล้ว
สวีถังหรานเบียดเข้ามา พอปิดประตู ก็กอดจูบลูบคลำแล้วดึงกระโปรงนางออก โถมทับลงบนเตียงเสียเลย ทำท่าทางเหมือนลิงร้อนรน
หรูเสวี่ยที่ถูกผลักขึ้นเตียงใช้สองมือผลักเขา ในท่ที่สุดปากก็ว่างให้ถามแล้ว นางถามอย่างประหลาดใจมาก “นายท่าน ทำไมมาอีกแล้วล่ะ?” ปกติมาทุกสามวันห้าวัน แต่ครั้งนี้มาล่วงหน้าแล้ว
“ทำไมล่ะ? ข้ามาไม่ได้รึไง?” สวีถังหรานแกล้งโกรธ
“ไม่ใช่ๆ ข้าแค่แปลกใจนิดหน่อยค่ะ ทำไมวันนี้นายท่านถึงมาล่วงหน้าล่ะ?” หรูเสวี่ยรีบถาม
“หึหึ! ท่านแม่ทัพภาคไม่อยู่ เห็นช่องโหว่ก็เลยแอบอู้งาน…” พูดจบก็ไม่สนสี่สนแปดอะไรแล้ว ไม่ทันไรก็ถอดเสื้อผ้าหรูเสวี่ยออกหมด
หลังจากฟ้าฝนคะนองไปหนึ่งยก สวีถังหรานก็ลุกขึ้นนั่ง หันหลังให้คนที่นอนอยู่บนเตียง สวมใส่เสื้อผ้าอย่างเนิบนาบสบายใจ
หรูเสวี่ยนอนเปลือยอยู่เตียง แต่กลับเอามือกุมหน้าอกเพราะหายใจติดขัด อยากจะลุกก็ลุกไม่ไหว เริ่มมีเลือดซึมออกจากากและจมูก สีหน้าเริ่มเขียวคล้ำ นางเริ่มเคลื่อนไหวน้อยลงเรื่อยๆ แขนที่สั่นเทิ้มไปที่สวีถังหราน “เจ้า…เจ้า…”
“เฮ้อ เจ้ามีวรยุทธ์สูงกว่าข้า เพื่อคำนึงถึงความปลอดภัย ข้าเลยทำได้เพียงใช้แผนนี้” สวีถังหรานที่หันหลังจัดเสื้อผ้าพูดแล้วถอนหายใจ เขาทำท่าราวกับว่าตัวเองไม่ได้ทำเรื่องไร้ยางอายมาก่อน
หลังจากสวมหน้ากากเรียบร้อยแล้ว ก็หยิบน้ำเต้าหยกเล็กอันหนึ่งออกมา หยดของเหลวใสกลิ่นหอมใส่บนผ้าเช็ดหน้าในมือเล็กน้อย หลังจากชุ่มชื่นแล้วก็เดินไปเช็ดปากอย่างระมัดระวังตรงหน้าโต๊ะเครื่องแป้ง หางตาชำเลืองผู้หญิงของตัวเองผ่านกระจก “ช่างเป็นหญิงงามเย้ายวนราคะจริงๆ! ข้าก็ตัดใจทิ้งไม่ลงเหมือนกัน แต่ก็ช่วยไม่ได้ นายท่านต้องการให้เจ้าตายในยามสาม ข้าเลยไม่กล้าเก็บเจ้าไว้ถึงยามห้า ข้าต้องเอาหัวเจ้าไปรายงานผลงาน เดิมทีข้ามาเพื่อทำเรื่องนี้ แต่ทำแบบนี้ก็นับว่าตายอย่างคุ้มค่าเช่นกัน ความอ่อนโยนบนเตียงครั้งสุดท้าย สวีก็นับว่ามีคุณธรรมน้ำมิตรไม่เอาเปรียบเจ้า เจ้าว่ามั้ยล่ะ?”
หลังจากเช็ดริมฝีปากเสร็จแล้ว เขาก็หันตัวเดินไปข้างเตียง จ้องร่างเปลือยที่ส่ายหน้าโดยไร้เสียง หยิบมีดสั้นออกมาด้ามหนึ่ง แล้วยกมีดขึ้นแทงหัวใจหรูเสวี่ยอย่างไม่ปรานีเลยสักนิด พอชักมีดออกมาก็มีแสงเย็นวับวาบอีกที ตัดศีรษะหรูเสวี่ยแล้ว
สวีถังหรานเก็บกวาดสถานที่ เก็บม้วนไปทั้งตัวทั้งหัว เสร็จแล้วถึงได้ออกจากโรงเตี๊ยม จัดการงานสำเร็จอย่างคล่องแคล่วแล้ว
ส่วนเหมียวอี้ที่กำลังอยู่ระหว่างทางก็กำลังติดต่อกับหยางชิ่งแล้ว ก่อนหน้านี้ถึงแม้หยางชิ่งจะไม่ได้ติดต่อกับทางนี้ แต่ก็เดาได้แล้วว่าแผนนี้มีช่องโหว่ เดาออกว่าตระกูลโค่วลงมือแล้ว
สาเหตุก็เรียบง่ายมาก เพราะประโยคคลุมเครือที่เหมียวอี้บอกกับอวิ๋นจือชิวนั้น ทำให้อวิ๋นจือชิวเดาออกทันทีว่าแผนอาจจะมีเหตุไม่คาดคิด อดไม่ได้ที่จะถามยืนยันกับหยางชิ่ง ส่วนหยางชิ่งเองหลังจากได้รู้ว่าเหมียวอี้พูดกับอวิ๋นจือชิวอย่างนั้น ก็เดาได้ทันทีว่าตระกูลโค่วลงมือแล้ว หมายความว่าตระกูลโค่วเข้าไปอยู่ในร่างแหนั้นด้วย เป็นไปได้ว่าแผนการของตระกูลโค่วจะยั่วโมโหเหมียวอี้แล้ว และเหมียวอี้ก็เตรียมจะกำจัดกำลังพลของตระกูลโค่วไปด้วยกันเลย ถึงได้พูดอย่างนั้นกับอวิ๋นจือชิว
ตอนต่อสู้เขาไม่ได้รบกวนเหมียวอี้ การสอดมือเข้าไปยุ่งจนผู้บัญชาการรบกังวลก่อนลงสนามเป็นข้อห้ามที่รุนแรงมากของทหาร เขาเองก็เชื่อว่าเหมียวอี้รับมือสถานการณ์เฉพาะหน้าได้เก่ง เขารู้ว่าในจุดนี้เหมียวอี้เก่งกว่าเขา ดังนั้นจนกระทั่งจินม่านได้ข่าวจากอ๋าวเถี่ยว่าภารกิจเสร็จสิ้น เขาถึงได้ติดต่อเหมียวอี้ไปยืนยันสถานการณ์
ในตึกศาลาที่สงบสวยงาม หยางชิ่งที่ยืนอยู่ริมหน้าต่างไม่มีกะจิตกะใจมาชมทิวทัศน์ทะเล ตอนนี้มีสีหน้าวิตกกังวล หลังจากเก็บระฆังดาราแล้วส่ายหน้าถอนหายใจเบาๆ
“ผู้ช่วยใหญ่ถอนหายใจทำไมเหรอ?” หลังจากจินม่านเดินมาข้างหลังเขา ก็ยืนค่อนข้างใกล้กัน สามารถได้กลิ่นกายหอมของกันและกัน “หรือกังวลว่าจะดึงอีกหลายตระกูลเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย?”
“เรื่องราวใหญ่โตแล้ว…เป็นความผิดของข้า!” หยางชิ่งถอนหายใจยาวอย่างรู้สึกผิด
จากเรื่องนี้ เขาก็ได้เห็นความสัมพันธ์ที่สมดุลระหว่างสี่อ๋องสวรรค์ ประมุขชิงและประมุขพุทธะ ชัดเจนแล้ว เขาจำต้องยอมรับว่าสถานภาพของตัวเองมีจำกัด ไม่มีข้อมูลความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลระดับสูงของตำหนักสวรรค์มากพอ ขณะเดียวกันก็ยอมรับว่าบางครั้งวิธีการแก้ปัญหาที่เด็ดขาดฉับไวของเหมียวอี้ก็อาจจะไม่ใช่กลยุทธ์ชั้นต่ำเสมอไป ถ้าไม่ใช่เพราะเขาดึงสำนักหลัวช่าเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย ก็คงไม่ทำให้อีกสามตระกูลโผล่มา ถ้าเหมียวอี้กำจัดตระกูลอิ๋งเสียเลยอย่างไม่ลังเล ก็คงไม่ทำให้เรื่องราวใหญ่โตขนาดนี้ กลับเป็นความห่วงหน้าพะวงหลังของเขาที่ทำให้เรื่องพัง
จินม่านกลับปลงได้ พูดปลอบใจว่า “กำจัดตระกูลเดียวก็ถือว่าทำ กำจัดสี่ตระกูลก็ถือว่าทำเหมือนกัน ในเมื่อวิ่งมาหาคมดาบแล้ว ก็ไม่มีอะไรน่าเกรงใจ ไม่เกี่ยวกับผู้ช่วยใหญ่”
หยางชิ่งส่ายหน้า แล้วหันตัวมาบอกว่า “ข้าเพิ่งติดต่อราชาปราชญ์ เกรงว่าต้องเปลี่ยนแผนตอนหลัง”
“ในเมื่อผู้ช่วยใหญ่พูดแล้ว จินม่านก็จะตั้งใจฟัง” จินม่านตอบพร้อมรอยยิ้ม
หลังจากแยกย้ายกับหกขุนพลใหญ่แล้ว เหมียวอี้ก็ก็ไปพบกับเหยียนซิวได้ที่รับข่าวให้มาเจออย่างเร่งด่วน
เมื่อเกิดเหตุไม่คาดคิดกับแผนการ เรื่องบางเรื่องก็จำเป็นต้องเปลี่ยนใหม่เช่นกัน ตอนนี้ยังไม่สะดวกจะส่งทัพใหญ่หนึ่งล้านกลับแดนอเวจี เขาไม่สะดวกจะออกจากตลาดผีนานเกินไป จึงสั่งให้เหยียนซิวนำทัพใหญ่หนึ่งล้านที่เก็บไว้แล้วรีบไปยังพิภพเล็ก ให้นำคนไปปล่อยพักไว้ที่พิภพเล็กก่อน
นี่ก็เป็นเรื่องที่ทำตามใจไม่ได้เช่นกัน เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะพกคนพวกนี้ไว้ข้างกาย ซ่อนเอาไว้ในช่องมิตินานก็ไม่ได้ ถ้าถูกตรวจค้นขึ้นมาจะทำอย่างไรล่ะ?
ส่วนจะจัดให้อยู่ที่พิภพเล็กอย่างไร ก็ย่อมมีหยางชิ่งช่วยคิดให้แล้ว หยางชิ่งจะติดต่อกับฉินเวยเวยจะบอกนางว่าควรทำอย่างไร ตอนนี้เขาต้องเก็บพลังความคิดทั้งหมดไว้ใช้รับมือกับทางตำหนักสวรรค์
น้ำพุวังเวงชั้นสิบสาม แดนไร้ตะวัน
เป็นแดนที่มีแต่ความมืดล้วนๆ บนท้องฟ้าและใต้ดินไม่มีแสงสว่างเลยแม้แต่น้อย จมอยู่ในความมืดมิดตลอดกาล ยื่นมือแล้วมองไม่เห็นนิ้วทั้งห้าจริงๆ
แต่กลับมีสัตว์ที่คุ้นชินกับความมืดของที่นี่แล้ว คุ้นเคยกับการดำรงชีวิตในที่มืดมิด หน้าตาเหมือนคนมีปีก มีร่างกายเป็นมนุษย์ แต่มีฟันคมและกรงเล็บแหลม บนตัวมีเกล็ดแข็งแรงทนทาน ด้านหลังมีปีกค้างคาว ไปมาในโลกอันมืดมิดนี้ได้อย่างอิสระ พวกมันถูกเรียกว่าภูตมาร
เวลาส่วนใหญ่ของพวกมัน ถ้าไม่นั่งยองๆ รับลมอยู่บนหน้าผาสูง ก็นั่งยองๆ หลับตาอยู่บนที่ราบกว้างโล่ง เก็บปีกข้างหลังแล้วยืนนิ่งราวกับเป็นรูปปั้น แต่หลังจากกางปีกก็จะไปมาได้อย่างอิสระดุจสายลม ทั้งตัวเป็นสีดำ รวมเป็นหนึ่งเดียวกับโลกใบนี้ ดังนั้นพวกมันจึงเกลียดชังแสงสว่างมาก ถ้าเห็นแสงสว่างเมื่อไร ก็จะพรั่งพรูเข้ามาอย่างบ้าคลั่ง รุกโจมตีอย่างบ้าระห่ำทันที
พวกมันดันมีข้อได้เปรียบเหมือนค้างคาว สามารถไปมาอย่างอิสระท่ามกลางความมืด ไม่กลัวชนพวกหน้าผาเลยสักนิด
“ดับไฟ!”
เปลวเพลิงกองหนึ่งดึงดูดให้ภูตมารฝูงใหญ่รุกโจมตี ผู้ที่อาศัยโอกาสมาออกล่าก็คือกำลังพลของตระกูลเซี่ยโห้ว ในจำนวนนั้นเซี่ยโห้วเจิ้งยางที่ได้รับการปกป้องตะโกนเสียงดังที
เปลวเพลิงเดือดถูกดับลงในชั่วพริบตาเดียว รอบข้างยังมีภูตมารพุ่งเข้ามาสู้ตายไม่ขาดสาย คนของตระกูลเซี่ยโห้วทำได้เพียงอาศัยพลังอิทธิฤทธิ์สำรวจและโจมตีโต้ตอบ
เซี่ยโห้วเจิ้งยางที่กำลังถือระฆังดารามีสีหน้าคร่ำเครียด ตระกูลเซี่ยโห้วย่อมส่งสายลับไปจับตาดูตระกูลที่เหลือ สถานที่ตั้งค่ายอีกสามตระกูลไม่มีการเคลื่อนไหว เขาก็ได้รับข่าวจากสายลับแล้ว ว่ากำลังพลของตระกูลอิ๋งถูกโจมตี ตอนที่ถูกสำนักหลัวช่าโจมตีเขาก็ได้รับข่าวจากสายลับเช่นกัน ตอนที่อีกสามตระกูลเข้าเป็นกำลังหนุน เขาก็ได้รับข่าวแล้ว
ขณะเดียวกันเขาก็ส่งข่าวกลับไปให้ตระกูลเซี่ยโห้ว ทว่าเจตนาของคนในบ้านก็ชัดเจนมาก นั่นก็คือให้เขาทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ให้จับตาดูเอาไว้ อย่าสอดมือเข้าไปยุ่ง ให้ตั้งใจทำเรื่องของตัวเองต่อไป ล่าสัตว์!
ทว่าจู่ๆ สายลับที่ตระกูลเซี่ยโห้วส่งไปก็ขาดการติดต่อแล้ว เขาจึงรีบติดต่อคนของสี่ตระกูลที่เหลืออีก แต่ทั้งหมดก็ขาดการติดต่อไปแล้วเช่นกัน
หลังจากรายงานสถานการณ์ขึ้นไป ที่บ้านถึงได้มีปฏิกิริยาที่แตกต่างออกไป สั่งให้เขาถอนกำลังออกมา ให้นำคนไปดูยังที่เกิดเหตุทันทีว่าเกิดเรื่องอะไรกันแน่
หลังจากภูตมารตัวสุดท้ายที่โผอยู่บนฟ้าถูกฟันร่วงแล้ว รอบข้างก็ตกอยู่ในความมืดมิดและเงียบสงบไร้ที่สิ้นสุดอีกแล้ว เงียบจนทำให้คนรู้สึกใกล้จะเป็นบ้า
หลังจากนับกำลังพลให้มารวมตัวกันแล้ว ก็รีบทะยานฟ้าท่ามกลางความมืด จู่ๆ ก็เห็นแสงไฟหลายสายส่องสว่างท้องฟ้า ทำให้ภูตมารที่อยู่ไกลๆ เห็นแสงไฟแล้วกรูกันพุ่งขึ้นฟ้าราวกับกระแสน้ำ แต่กำลังพลที่อาศัยแสงสว่างมองตาน้ำพุบนท้องฟ้าก็หนีหายไปอย่างรวดเร็ว
หลังจากข้ามผ่านตาน้ำพุชั้นแล้วชั้นเล่า ในที่สุดก็มาถึงน้ำพุวังเวงชั้นห้า ตัดสินตำแหน่งจากข่าวที่สายลับบอกก่อนหน้านี้ สุดท้ายก็ค้นหาจนพบสถานที่ที่เคยเกิดศึกใหญ่แล้ว ทุกที่มีแต่รอยเลือด แต่กลับไม่เห็นคนที่มีสภาพสมบูรณ์เลย ไม่เห็นศพด้วย มีเพียงรอยอนาถที่ศึกใหญ่ทิ้งไว้บนป่าเหล็ก
บนแท่งเหล็กที่อยู่บริเวณนี้มีรอยจุดและหลุมเว้าเต็มไปหมด เมื่อมายืนตรงหน้าแท่งเหล็กต้นหนึ่งที่ถูกโจมตีจนงอ เซี่ยโห้วเจิ้งยางก็มองไปรอบๆ
“ส่วนใหญ่เป็นรอยหลังถูกธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์โจมตี หรือไม่ก็เป็นรอยที่เกิดจากการใช้ธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ชุดหนึ่งโจมตีซ้ำไปซ้ำมา หรือไม่ก็ถูกธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์จำนวนมากโจมตีพร้อมกัน” ชายชราคนหนึ่งที่ยืนอยู่ข้างกายเขาชี้ไปรอบๆ พลางอธิบาย แล้วก็ชี้แท่งเหล็กงอตรงหน้าอีก “อานุภาพการโจมตีของธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ขั้นเจ็ด!”
ผ่านไปไม่นาน ลูกน้องก็มารายงาน “นายน้อยยาง ไม่พบผู้รอดชีวิตสักคน ถึงขั้นหาศพไม่พบด้วยซ้ำ อย่างมากก็เป็นเศษเนื้อบางส่วน สถานที่นี้ถูกเก็บกวาดแล้วแน่นอน กำลังพลของสี่อ๋องหายไปหมดแล้ว”
เซี่ยโห้วเจิ้งยางมองไปรอบๆ อีกครั้งด้วยสีหน้าขรึมเครียด สู้กันอยู่ดีๆ แต่ทำไมหายไปหมดแล้ว ถึงขนาดว่าสายลับของตระกูลเซี่ยโห้วก็หายไปด้วยแล้ว ทั้งยังหายไปโดนสิ้นเชิงด้วย แม้แต่ศพก็หาไม่พบ เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่?
เขารีบหยิบระฆังดาราออกมาติดต่อกับตระกูล
ส่วนชายชราข้างกายเขาก็ออกคำสั่งอีกครั้ง “ปล่อยกำลังคนออกไป ดูว่าสามารถหาพยานพบหรือไม่”
“ขอรับ!” ลูกน้องเอ่ยรับแล้วจากไป จากนั้นกำลังพลของตระกูลเซี่ยโห้วก็แยกย้ายกันไปค้นหาโดยรอบ
จวนท่านปู่สรรค์เซี่ยโห้ว ในจวนต้องห้าม เซี่ยโห้วท่าเอามือไขว้หลังยืนอยู่ใต้ต้นไม้โบราณ หลังจากได้ยินข่าวก็ตกใจมาก หันขวับมาถามว่า “หายไปมดแล้ว? แม้แต่ศพก็หาไม่เจองั้นเหรอ? มันเรื่องอะไรกัน?”
เว่ยซูเขย่าระฆังดาราในมือ “นายน้อยยางก็ไม่ทราบเช่นกันว่าเรื่องอะไรกันแน่ ตอนนี้กำลังตรวจสอบสถานที่เกิดเหตุ ข้าแจ้งให้คุณชายสามทางตึกศาลาสัตยพรตส่งคนไปสำรวจที่เกิดเหตุแล้ว รออีกประเดี๋ยวอาจจะได้ข่าวอะไรบ้างขอรับ”
…………………………