พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - บทที่ 1685 เจ้าคิดว่าเจ้ารองเป็นอย่างไร
“หลังจากศึกใหญ่จบแล้ว กำลังพลของสี่อ๋องถอนกำลังไปแล้วหรือเปล่า?” เซี่ยโห้วท่าถามอย่างคิดไปเองฝ่ายเดียว
อาการแบบนี้เกิดขึ้นเฉพาะตอนที่เขาไม่เข้าใจต้นสายปลายเหตุเท่านั้น
ตอนแรกตระกูลเซี่ยโห้วไม่รู้จริงๆ ว่าการออกล่าที่น้ำพุวังเวงเป็นกับดักที่ตระกูลอิ๋งวางไว้ เนื่องจากการออกล่าที่น้ำพุวังเวงเป็นเรื่องปกติมาก คนที่เข้าร่วมการล่าถ้าไม่รวยก็ฐานะสูงส่ง โดยทั่วไปจะมีกำลังพลติดตามจำนวนมาก ใครจะคิดว่าเหมียวอี้จะใช้กำลังปะทะแบบนี้? ที่สำคัญคือไม่รู้ว่าเหมียวอี้จะเล่นงานอิ๋งหยางให้ตาย กอปรกับฝั่งสี่อ๋องสวรรค์จงใจปิดบังข่าวจากภายนอก คนนอกย่อมนึกไม่ถึงว่าจะมีกับดักอะไร แล้วตระกูลเซี่ยโห้วก็ไม่ได้ล่วงรู้เหตุการณ์ล่วงหน้าทุกอย่างด้วย
จนกระทั่งกำลังพลสี่อ๋องสวรรค์เคลื่อนไหวผิดปกติที่น้ำพุวังเวง ท่าทางไม่เหมือนคนไปออกล่าเลย ถึงทำให้ตระกูลเซี่ยโห้วสงสัย แต่ตอนนั้นตระกูลเซี่ยโห้วยังไม่นึกเชื่อมไปถึงเหมียวอี้ จนกระทั่งเรื่องเปิดโปงว่าผู้ที่โจมตีคือคนของสำนักหลัวช่า ถึงได้นึกโยงไปเรื่องที่เม่ยจีมาวัดพระกษิติครรภ์ แล้วนึกเชื่อมโยงไปถึงเหมียวอี้อีกที
ถึงแม้ก่อนหน้านี้คนของตึกศาลาสัตยพรตจะสังเกตเห็นแล้วว่าที่วัดพระกษิติครรภ์อาจจะมีคนของสำนักหลัวช่าออกมาแล้ว แต่เมื่ออยู่ในสถานการณ์ที่ไม่รู้ทิศทางไปของพวกเม่ยจี จึงไม่สะดวกจะสะกดรอยตาม เพราะแบบนั้นจะถูกพบง่ายมาก ไม่เหมือนเหมียวอี้ที่รู้ทิศทางเคลื่อนไหวของสำนักหลัวช่าล่วงหน้า ถึงได้จับตาดูล่วงหน้าจนรู้ทิศทางของพวกนาง
สำนักหลัวช่ารุกโจมตีตระกูลอิ๋ง แล้วตระกูลอิ๋งก็มีแผนสำรองดักซุ่มโจมตี กอปรกับนึกเชื่อมโยงได้ว่าการออกล่าที่น้ำพุวังเวงเกิดขึ้นตอนที่ความร่วมมือระหว่างตระกูลเซี่ยโห้วกับตระกูลโค่วสิ้นสุดลงพอดี ตอนนี้ถึงได้ทำให้ตระกูลเซี่ยโห้วเข้าใจกระจ่างในฉับพลัน ที่แท้ก็วางกับดักหนิวโหย่วเต๋อนี่เอง
เช่นนั้นเรื่องราวก็ลุกลามไปถึงเรื่องที่หนิวโหย่วเต๋อโดนลอบโจมตีที่แดนสุขาวดี อิ๋งหยางก็มีส่วนด้วย เข้าใจแล้วเช่นกันว่าอิ๋งหยางเป็นเหยื่อล่อ เซี่ยโห้วท่าถึงได้เข้าใจว่าสี่อ๋องสวรรค์น่าจะรู้ตั้งแต่แรกแล้วว่าหนิวโหย่วเต๋อต้องการจะลงมือกับอิ๋งหยาง เกรงว่าในนั้นจะมีผลงานของตระกูลโค่วด้วย หลายตระกูลต่างกำลังร่วมมือกันเล่นละครจัดการออกล่าที่น้ำพุวังเวง เป้าหมายก็คือล่อให้หนิวโหย่วเต๋อมาติดเบ็ด
ทว่าสิ่งที่ทำให้เซี่ยโห้วท่าแปลกใจก็คือ หนิวโหย่วเต๋อมีความสามารถอะไรถึงทำให้สำนักหลัวช่ายอมสละยอดฝีมือมากมายขนาดนี้มาลงมือกับตระกูลอิ๋ง?
เซี่ยโห้วท่าระงับกำลังพลออกล่าของตัวเองเอาไว้ ไม่ให้ไปเข้าร่วมเรื่องนี้ เพราะเซี่ยโห้วท่าเข้าใจดีว่าระหว่างสี่อ๋องสวรรค์เป็นความสัมพันธ์แบบทั้งแข่งขันทั้งร่วมมือกัน แดนสุขาวดีกินอิ่มแล้วว่างงานจึงเข้ามาประสมโรง เขารู้ว่าจะต้องทำให้อีกสามตระกูลมาเป็นกำลังหนุนแน่นอน ต่อให้ไม่มาเป็นกำลังหนุน แต่กำลังพลออกล่าของตระกูลอิ๋งโดนตายเกือบหมดแล้วเกี่ยวอะไรกับตระกูลเซี่ยโห้วด้วยล่ะ? แค่มาดูอาสนุกเฉยๆ ก็ไม่ใช่เรื่องแย่อะไร
อีกสามตระกูลโผล่ออกมาเป็นกำลังหนุนให้ตระกูลอิ๋งจริงๆ ด้วย ถึงแม้เซี่ยโห้วท่าจะไม่อยากเห็นหนิวโหย่วเต๋อกลายเห็นง้าวหักจมทรายที่ตัดขาดเบาะแสเร็วขนาดนี้ แต่ก็ยังสั่งให้กำลังพลที่ออกล่าของตัวเองอย่าทำอะไรบุ่มบ่าม ให้แสร้งทำเป็นไม่รู้อะไรต่อไป เขาไม่คิดว่าหนิวโหย่วเต๋อจะเป็นอะไรไปได้
สาเหตุก็ไม่ซับซ้อน เพราะเขามีข้อมูลที่คนอื่นไม่มี เบื้องหลังหนิวโหย่วเต๋อซ่อนกำลังอันแข็งแกร่งที่ให้ใครรู้ไม่ได้เอาไว้ ในเมื่อหนิวโหย่วเต๋อกล้าเคลื่อนไหว ก็แสดงว่าไม่น่าจะหักทิ้งได้ง่ายขนาดนั้น ไม่แน่ว่าอาจจะสอดแนมเจอมือมืดลึกลับที่อยู่เบื้องหลังหนิวโหย่วเต๋อก็ได้ เขาค่อนข้างเฝ้าคอย
ใครจะคิดว่าสถานการณ์จะเหนือความคาดหมายเกินไป จู่ๆ สถานการณ์ทุกอย่างก็ถูกตัดจบไปอย่างนั้น ไม่รู้แม้กระทั่งว่าใครแพ้ใครชนะ ทำเอาเซี่ยโห้วท่าที่นั่งตกปลาอยู่บนแท่นท่ามกลางคลื่นลมเพื่อรอดูเอาสนุกงงเป็นไก่ตาแตกไปแล้ว นี่มันเรื่องอะไรกันแน่?
เว่ยซูยิ้มเจื่อน “ถ้ากำลังพลของสี่อ๋องออกไปแล้ว ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะปล่อยให้นายน้อยยางออกล่าต่ออยู่ที่นั่นคนเดียว อย่างนอกก็ต้องบอกสักหน่อย ต่อให้สี่อ๋องจะชนะแล้ว แต่การรีบเก็บกวาดสถานที่ขนสะอาดขนาดนั้นหมายความว่ายังไงขอรับ? อย่าบอกนะว่าขนาดสี่อ๋องจับจุดอ่อนของแดนสุขาวดีได้แล้ว ยังจะกลัวว่าเรื่องจะลุกลามใหญ่โตอีก? เกรงว่าพวกเขาคงอยากจะหาโอกาสทวงคำอธิบายจากแดนสุขาวดี”
“หรือว่าฝั่งสำนักหลัวช่าชนะแล้ว จึงเก็บกวาดเพื่อลบร่องรอยที่ตัวเองเข้ามาแทรกแซงฝั่งตำหนักสวรรค์?” เซี่ยโห้วท่าถามอย่างระแวง
เว่ยซูส่ายหน้า “ดูจากสถานการณ์ที่รายงานก่อนหน้านี้ เข่นฆ่ากันถึงขั้นนั้นแล้ว ถ้าสำนักหลัวช่าไม่มีแผนสำรอง ต่อให้ชนะแต่ก็ไม่น่าจะเร็วขนาดนั้น แล้วอีกอย่าง ถ้ามีความมั่นใจขนาดนี้ ทั้งยังต้องการจะลบร่องรอย เช่นนั้นก่อนหน้านี้ก็คงไม่ถูกบีบจนต้องเผยโฉมหน้าที่แท้จริงออกมา ต่อให้เกิดเรื่องแบบนั้น แต่สายลับของพวกเราก็น่าจะรายงานทันเวลาสิถึงจะถูก แต่สุดที่แปลกที่สุดอยู่ตรงนี้ มีความเป็นไปได้เก้าในสิบว่าสายลับของพวกเขาจะถูกกำจัดไปด้วยแล้ว มีคนไม่อยากให้เรื่องในที่เกิดเหตุเล็ดรอดสู่ภายนอก”
เซี่ยโห้วท่าเอามือขยี้เคราพลางหรี่ตา การวิเคราะห์อย่างใจเย็นของเว่ยซูได้โน้มนำให้อาการเลอะเลือนของเขากลับสู่ลู่ทางที่ถูกต้อง เขากล่าวช้าๆ ว่า “ไม่รู้ว่าตาแก่อีกสี่ตระกูลนั่นจะรู้สถานการณ์อะไรบ้างหรือเปล่า”
“ต้องถามสักหน่อยหรือไม่ขอรับ? อย่างไรเสียฝ่ายพวกเราก็เข้าร่วมการออกล่าด้วย มีเหตุผลที่จะถามได้” เว่ยซูถาม
เซี่ยโห้วท่าโบกมือ “เรื่องนี้แปลกมาก ตอนที่ยังไม่รู้สถานการณ์ชัดเจน อย่าบุ่มบ่ามเข้าไปเกี่ยวข้องดีกว่า ยิ่งแปลกใจก็ยิ่งต้องข่มใจไว้ ไม่อย่างนั้นอาจจะตกหลุมพรางโดยไม่รู้ตัว ใครจะไปรู้ว่ามีคนกำลังร่วมมือกันขุดกับดักฝังตระกูลเซี่ยโห้วหรือเปล่า? เรื่องใหญ่ขนาดนี้ย่อมมีปฏิกิริยาตามมาอยู่แล้ว ตราบใดที่พวกเราทำตัวเป็นคนนอก ก็จะไม่ถูกดึงลงน้ำไปด้วย จะได้เห็นเร็วหน่อยหรือช้าหน่อยก็ไม่แตกต่างอะไรนัก จะไปเข้าร่วมเมื่อไร อำนาจการตัดสินใจก็ยังอยู่ในมือพวกเราเสมอ”
“ถ้าสี่ตระกูลนั้นก็ไม่รู้สถานการณ์เหมือนพวกเราละขอรับ?” เว่ยซูลองถามความเป็นไปได้อีกอย่าง
“เป็นไปได้เหรอ?” เซี่ยโห้วท่าพึมพำ เอามือไขว้หลังก้มหน้า หลังจากครุ่นคิดอยู่นาน ก็กล่าวอย่างเนิบนาบ “ด้วยสภาพพื้นที่ของน้ำพุวังเวงชั้นห้า…ผู้ที่สามารถทำให้สายลับของพวกเราที่ซ่อนตัวอยู่ไม่เปิดเผยฉากสุดท้ายให้ภายนอกรู้ เป็นคนของพวกเราเองที่เปิดเผยเบาะแสจนถูกใครสักคนลงมือได้อย่างแม่นยำเหรอ? เกรงว่าจะไม่แน่กระมัง! ขอบเขตที่กว้างใหญ่ขนาดนั้น เสียงการต่อสู้ที่ดังขนาดนั้น เกรงว่าต่อให้ไม่อยากดึงดูดสายตาคนอื่นให้มองก็คงยาก ถ้าอยากจะปิดบังฉากสุดท้ายจริงๆ พวกที่โดนอาจจะไม่ได้มีแค่สายลับของพวกเรา มีความเป็นไปได้สูงว่าจะกวาดล้างรอบด้าน และถ้าอยากจะกวาดล้างเป็นบริเวณกว้างขนาดนั้น เกรงว่าคนจำนวนเล็กน้อยคงทำไม่ไหว ต้องใช้กำลังคนเยอะมาก…ถ้าใช้คนเยอะขนาดนั้น การตัดขาดไม่ให้คนในเขตการรบใช้ระฆังติดต่อกับภายนอกก็ไม่ใช่ปัญหาเลย พอเป็นแบบนี้ สี่ตระกูลนั้นก็อาจจะไม่รู้สถานการณ์เบื้องลึกจริงๆ”
“ถ้าเป็นอย่างนี้จริงๆ ใครมันช่างกล้ารวบรวมกำลังพลกลุ่มใหญ่ขนาดนั้นมาลงมือกับคนของสี่อ๋องโดยตรง?” เว่ยซูถามอย่างตกใจ
เซี่ยโห้วท่าหัวเราะหึหึ “หวังว่าจะไม่ใช่เจ้าเด็กนั่น ไม่อย่างนั้น…นับวันก็ยิ่งน่าสนใจขึ้นเรื่อยๆ แล้ว คอยดูไปเถอะ พวกเราแค่ไม่ต้องไปยุ่ง ถ้าสี่ตระกูลนั้นไม่รู้เรื่องจริงๆ อีกไม่นานก็จะติดต่อมาหาพวกเราเอง แต่ถ้าไม่ติดต่อก็แสดงว่าพวกเขารู้เรื่องแล้ว ภายในหนึ่งชั่วยามนี้ก็จะรู้คำตอบเอง ไม่ต้องรีบร้อน”
เว่ยซูพยักหน้าเบาๆ จากนั้นก็กล่าวพร้อมรอยยิ้ม “ยังเป็นนายท่านที่ปราดเปรื่อง ไม่ให้นายน้อยยางทำอะไรบุ่มบ่าม ถ้าไม่อย่างนั้นถ้ามีคนกวาดล้างที่เกิดเหตุจริง เกรงว่านายน้อยยางก็ยากจะรอดเช่นกัน
เซี่ยโห้วท่าพลันทำท่าทางเหมือนแก่หง่อม เงยหน้ามองฟ้าพลางถอนหายใจ “ตระกูลเซี่ยโห้วเดินมาถึงทุกวันนี้ ตราบใดที่ตัวเองไม่สะเพร่าก็จะไม่ล้ม ต้องข่มอารมณ์เอาไว้!” ในน้ำเสียงเหมือนทั้งสะเทือนใจทั้งกังวล แล้วจู่ๆ ก็หันหน้ากลับมาเอ่ยถาม “เจ้ารู้สึกว่าเจ้ารองเป็นอย่างไร?”
“…” เว่ยซูอึ้งทันที นึกไม่ถึงว่าจู่ๆ นายท่านจะเปลี่ยนประเด็นมาพูดด้านนี้ ผู้ที่ถูกเรียกว่าเจ้ารองก็ย่อมหมายถึงคุณชายรองเซี่ยโห้วลิ่งอยู่แล้ว
และความหมายแฝงของคำถามนี้ก็ทำให้เว่ยซูรู้สึกเสียวสันหลังวาบ พอจะเดาได้คร่าวๆ ว่านายท่านกำลังถามถึงเรื่องราวหลังจากตัวเองล่วงลับ อย่างไรเสียนายท่านก็อายุมากแล้ว ถึงเวลาที่จะไม่คำนึงถึงเรื่องนี้ไม่ได้ คำถามนี้แฝงการประเมินผลงานว่าใครจะมารับช่วงต่อในการดูแลตระกูลเซี่ยโห้ว แล้วจะให้ข้ารับใช้อย่างเขาตอบว่าอย่างไรดีล่ะ?
เขาจำสิ่งที่บิดากำชับไว้ก่อนตายได้ ว่าอย่าไปยืนอยู่ระหว่างฝ่ายไหนท่ามกลางพวกคุณชายตระกูลเซี่ยโห้ว ยืนติดอยู่ข้างกายนายท่านไว้เป็นสิ่งที่ถูกต้องแล้ว นายท่านมีความคิดละเอียดรอบคอบ สิ่งที่ควรเตรียมการไว้ก็ย่อมเตรียมการไว้แล้ว มีข้อมูลในใจแล้วว่าใครสามารถสืบทอดตระกูลได้ ถ้าเว่ยซูแสดงออกว่ามีรสนิยมตรงกัน นั่นก็แปลว่าควบคุมไม่ได้แล้ว ตระกูลเซี่ยโห้วเดินมาถึงขั้นนี้ ไม่กลัวปัญหาภายนอก กลัวก็แต่ปัญหาภายใน นายท่านไม่มีทางปล่อยให้คนนอกที่สามารถเข้าถึงความลับแกนกลางได้มีความคิดไม่ซื่อสัตย์ ขอเพียงมีเค้ารางแสดงให้เห็น เช่นนั้นก็ถึงเวลาตายของเว่ยซูแล้ว
“เจ้าก็รู้ว่าข้ากำลังถามอะไร เป็นอะไรไปล่ะ? ไม่สะดวกตอบเหรอ?” เซี่ยโห้วท่ากล่าวกลั้วหัวเราะ “พูดมาเถอะ เรื่องบางเรื่องถ้ายืนอยู่คนละมุมเจ้าอาจจะเห็นปัญหาบางอย่างที่ข้ามองไม่เห็นก็ได้”
ประโยคที่ฟังดูเรียบง่าย แต่ชั่วพริบตาเดียวก็เหมือนกดดันให้เว่ยซูเดินอยู่บนแผ่นน้ำแข็งบาง แต่จะไม่ตอบก็ไม่ได้ จึงกล่าวอย่างเชื่อฟังว่า “คุณชายรองมีจิตใจที่ล้ำลึก แต่กลับวางตัวตรงไปตรงมา ไม่ว่าจัดการเรื่องใดก็ปราดเปรื่องเด็ดขาด ราวกับเป็นหงส์มังกรท่ามกลางมนุษย์” เขาทำได้เพียงพูดตามมุมมองที่เห็นได้โดยทั่วกัน ไม่เอนเอียงไปทางใด ไม่ปะปนความรู้สึกส่วนตัว
“เหอะๆ วิจารณ์ได้เป็นกลางมาก” เซี่ยโห้วท่ากล่าวชม แล้วส่ายหน้าถอนหายใจอีก “สามารถวิจารณ์ได้อย่างเป็นกลางขนาดนี้ ก็แสดงว่าเจ้ามองเห็นแจ่มแจ้ง ในเมื่อเจ้ามองเห็นแจ่มแจ้งแล้ว ข้าก็ไม่เชื่อหรอกว่าเจ้าจะมองไม่เห็นด้านที่ ‘มั่นใจในตัวเอง’ และ ‘เด็ดขาด’ บนตัวเจ้ารอง”
ในเมื่อท่านรู้ชัดอยู่แล้ว เหตุใดจึงต้องกดดันให้ข้าพูดล่ะ เว่ยซูยิ้มเจื่อน “นายท่านมาตรฐานสูงเกินไปแล้ว ในบรรดารุ่นที่สองของตระกูลอื่น ถ้าพูดถึงความสามารถก็ไม่มีใครเทียบคุณชายรองได้แล้วขอรับ” ยังคงไม่เทียบเซี่ยโห้วลิ่งกับคนอื่นในตระกูลเซี่ยโห้ว
“ข้าจำเป็นต้องเทียบเขากับตระกูลอื่นด้วยเหรอ?” เซี่ยโห้วท่าพูดเหยียดหยาม หันตัวไปมองต้นไม้ใหญ่ที่สูงระฟ้า แล้วกล่าวอย่างทอดถอนใจ “สมองและความสามารถของเจ้ารองนั้นไม่ต้องพูดถึงเลยจริงๆ ตามหลักแล้วการมี ‘ความมั่นใจ’ กับ ‘ความเด็ดขาด’ ก็ไม่ใช่เรื่องแย่อะไร มีคุณสมบัติด้านที่ผู้ชายควรจะมีก็เป็นเรื่องดีอยู่แล้ว ถ้าเปลี่ยนให้เจ้ารองไปอยู่ตระกูลอื่น ก็ล้วนเป็นความหวังที่จะสร้างความรุ่งเรืองของตระกูลทั้งนั้น แต่ ‘ความมั่นใจ’ กับ ‘ความเด็ดขาด’ ส่วนนี้ ถ้าอยู่ที่ตระกูลเซี่ยโห้วกลับไม่ใช่เรื่องดี เจ้ารู้มั้ยว่าเพราะอะไร?”
เว่ยซูแกล้งโง่ “ไม่ทราบขอรับ” ที่จริงบิดาเคยบอกเขาไว้นานแล้ว
เพียงท่าทีของเขาที่ดูเหมือนไม่อยากเข้ามาเกี่ยวข้องกลับทำให้เซี่ยโห้วท่ายิ้มบางๆ เรียกได้ว่าค่อนข้างพอใจ ไม่ว่าจะแกล้งโง่หรือไม่ แต่อย่างน้อยเว่ยซูก็เข้าใจว่าเรื่องอะไรที่ไม่ควรสอดมือเข้ามายุ่ง ทำแบบนี้ถูกต้องแล้ว คำถามนี้เป็นการทดสอบและสั่งสอนเว่ยซู
“ตระกูลเซี่ยโห้วของข้าไม่มีความสามารถที่จะครองใต้หล้างั้นหรือ? ตระกูลเซี่ยโห้วปลุกปั้นประมุขมาหลายยุค ไม่มีความสามารถที่จะครองใต้หล้าเหรอ? ที่จริงพ่อเจ้าเริ่มติดตามรับใช้พ่อข้า แล้วค่อยติดตามข้าอีกที ในใจข้าเข้าใจดี ว่าอาศัยศักยภาพของตระกูลเซี่ยโห้วนั้นทำได้แน่นอน เพียงแค่ไม่อยากทำเท่านั้นเอง เหตุใดจึงไม่อยากครองใต้หล้าน่ะเหรอ? เพราะถ้าไปอยู่ในตำแหน่งนั้นจริงๆ ทุกอย่างก็จะถูกแสดงอยู่ในที่แจ้ง แล้วพวกเบื้องล่างที่กุมอำนาจไว้ในมือจะยอมก้มหน้าไม่เห็นแสงตะวันได้เหรอ? พวกเขาจะรู้สึกว่าลำบากทำงานมาหลายปี ก็ควรถึงเวลาได้รับรางวัลตามผลงานได้แล้ว ถ้าเจ้าทำให้พวกเขาพอใจไม่ได้ ในใจพวกเขาก็จะคับแค้น ไม่ว่าใครก็อยากเดินขึ้นไปแสดงตัวอยู่หน้าเวทีให้มีหน้ามีตากันทั้งนั้น หวังจะบีบบังคับ ถึงตอนนั้นใจคนก็จะวุ่นวายแล้ว ถ้ามีเป้าหมายโจมตีอยู่ในที่แจ้ง ใครจะยอมใครได้ล่ะ? แถมรากฐานที่ตั้งมั่นมายาวนานของตระกูลเซี่ยโห้วก็จะปั่นป่วนด้วย” พอพูดถึงตรงนี้ เซี่ยโห้วท่าก็เงยหน้าถอนหายใจยาวอีก แล้วหันตัวมาบอกเว่ยซูด้วยรอยยิ้ม “ข้าจะเล่านิทานเรื่องหนึ่งให้เจ้าฟังแล้วกัน”
…………………………