พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - บทที่ 1691 เหมียวอี้งงเป็นไก่ตาแตก
“ติดต่อใคร?” พอโค่วเจิงโบกมือ พลังอิทธิฤทธิ์ก็ลากเก้าอี้ตัวหนึ่งเข้ามา นั่งตรงข้ามเหมียวอี้พอดี แล้วถามหยั่งเชิงว่า “สำนักหลัวช่า?”
“พี่ใหญ่รู้ได้ยังไง?” เหมียวอี้เงยหน้าถามอย่างประหลาดใจ
จะไม่รู้ได้เหรอ? ต่อสู้กันจนเผยโฉมหน้าที่แท้จริง ใช้ร่างทิพย์แล้ว! โค่วเจิงแอบกัดฟัน “เจ้าไม่ต้องยุ่งหรอกว่าข้ารู้ได้ยังไง ถ้าเจ้าอยากให้ข้าหาเหวินไป๋เจอ ก็เล่าทุกอย่างมาใหเละเอียด จะได้ไม่เสียความรู้สึกคนบ้านเดียวกัน”
เหมียวอี้ก้มหน้าอีกครั้ง “ถ้าเกิดอะไรขึ้นกับเหวินไป๋ ข้ากลัวว่าตัวเองยากที่จะพ้นผิดได้”
โค่วเจิงจึงกล่าวเสียงต่ำ “ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาเอาเรื่องกัน แต่ต้องหาทางทำให้ตระกูลโค่วของข้าพ้นความรับผิดชอบ เรื่องราวใหญ่โตขนาดนี้ อาศัยบ่าเจ้าคนเดียวแบกความรับผิดชอบนี้ไม่ไหวหรอก บอกมา! เจ้าเรียกสำนักหลัวช่าให้มาสู้กับตระกูลอิ๋งได้ยังไง?”
เหมียวอี้ลังเลครู่หนึ่ง โค่วเจิงจึงตะคอก “ถึงตอนนี้แล้วยังคิดจะปิดบังอยู่อีกเหรอ? เจ้าปิดบังได้เหรอ? หรือจะให้คนอื่นมาง้างปากเจ้าให้ได้ จึ้งจะยอม? คนอื่นไม่ได้เกรงใจเหมือนข้าหรอกนะ! ถ้าตระกูลโค่วไม่รู้สถานการณ์ แล้วช่วยเจ้าต้านทานได้ยังไง?”
เหมียวอี้ถอนหายใจเบาๆ “แปลกประหลาดจริงๆ ทำไมถึงกลายเป็นอย่างนี้ไปได้? พี่ใหญ่ ที่จริงข้าก็ไม่ได้ต้องการสู้กับตระกูลอิ๋งหรอก ตัวข้าเองมีความสามารถเท่าไร ข้ายังไม่รู้ชัดอีกเหรอ จะไปรับมือกับตระกูลอิ๋งได้ยังไง ข้าแค่อยากเอาชีวิตอิ๋งหยางคนเดียวเท่านั้น เรื่องนี้ข้าบอกท่านพ่อบุญธรรมไปแล้ว นึกไม่ถึงจริงๆ ว่าจะทำให้เรื่องลุกลามใหญ่โตขนาดนี้”
“สำนักหลัวช่า!” โค่วเจิงตบตรงที่วางมือบนเก้าอี้ “พูดจุดสำคัญ เจ้าควบคุมให้สำนักหลัวช่าช่วยเจ้าทำเรื่องนี้ได้ยังไง?”
“พูดถึงเรื่องเรียกใช้สำนักหลัวช่า ข้าเองก็ประหลาดใจนิดหน่อย พี่ใหญ่ยังจำเรื่องที่ข้าเจอกับเม่ยจีที่แดนสุขาวดีได้ใช่มั้ย?” เหมียวอี้ถาม
โค่วเจิงพยักหน้า รู้ว่ากำลังเข้าประเด็นแล้ว เขาเริ่มรวบรวมสมาธิ “จำได้อยู่แล้ว ทำไมพูดโยงไปถึงนางอีก?”
เหมียวอี้ส่ายหน้า “ผีที่ไหนจะไปอยากเกี่ยวข้องกับนางล่ะ เป็นนางที่ไม่ยอมปล่อยข้าเอง หลังจากเกิดเรื่องที่แดนสุขาวดี ข้ากลับมาตลาดผีแล้ว ก็ไปสืบสถานการณ์ที่วัดพระกษิติครรภ์บ่อยๆ อยากจะถามว่าเรื่องที่แดนพุทธะจับกุมพระอรหันต์ตัวลี่ไปถึงไหนแล้ว ถึงยังไงการที่พระอรหันต์ตัวลี่มีจุดจบอย่างนั้นก็ทำให้ข้ากังวลว่าอีกฝ่ายจะมาล้างแค้นข้า แต่ใครจะคิดล่ะ มีอยู่ครั้งหนึ่งที่พระอาจารย์จี้คงทำตัวลับๆ ล่อๆ นำข้าขึ้นไปในอุโบสถชั้นบนของวัดพระกษิติครรภ์ หลังจากข้าขึ้นไปแล้วพบความไม่ชอบมาพากล ข้าก็หนีไม่ทันซะแล้ว มารดามันเถอะ เม่ยจีนั่นนำคนกลุ่มหนึ่งรอข้าอยู่ในอุโบสถนั่นแล้ว”
โค่วเจิงตาเป็นประกาย “มีเรื่องแบบนี้ด้วยเหรอ เช่นนั้นเม่ยจีก็อาจจะใจกล้าเกินไปหรือเปล่า ถึงยังไงเจ้าก็เป็นลูกเขยตระกูลโค่ว นางจะกล้าทำซี้ซั้วกับเจ้าเหรอ?”
เหมียวอี้ถอนหายใจ “แน่นอนว่ามีเรื่องแบบนี้ ถ้าพี่ใหญ่ไม่เชื่อ ก็ไปยืนยันกับจี้คงที่วัดพระกษิติครรภ์ได้ เป็นเจ้าโล้นนั่นที่หลอกข้า”
“แล้วตอนหลังทำไมเจ้าไม่บอกคนในบ้านให้ช่วยออกหน้าให้?” โค่วเจิงถาม
เหมียวอี้ถอนหายใจอีก “ก็ย่อมมีเหตุผลอยู่แล้ว ข้าก็ไม่รู้ว่าเม่ยจีนั่นเป็นอะไรไป จะยืนยันให้ได้ว่าข้าเคยเข้าไปในดาวพิษ บอกว่าซากสำนักหนานอู๋เคยถูกแตะต้อง ทั้งยังแน่ใจด้วยว่าข้าเป็นคนทำ ข้าอธิบายยังไงก็ไม่มีประโยชน์ ที่จริงตอนนั้นนางก็ไม่ได้ทำอะไรข้า แค่ซักไซ้ข้าว่าเกี่ยวข้องอะไรกับสำนักหนานอู๋ อีกฝ่ายถามข้าสั้นๆ เท่านั้นเอง ข้าจะไปฟ้องที่บ้านให้ได้ประโยชน์อะไรขึ้นมา? ข้ากลัวว่าไปหาที่บ้านแล้วจะไม่มีประโยชน์ เรื่องเล็กน้อยแค่นี้ยังต้องรบกวนที่บ้าน ข้าต้องทำขนาดนั้นเลยเหรอ”
“สำนักหนานอู๋?” ตอนนี้ถึงคราวที่โค่วเจิงจะแปลกใจแล้ว เขาครุ่นคิดครู่หนึ่ง แล้วถามอย่างฉงน “สำนักหนานอู๋ที่ดาวพิษ ที่ถูกฆ่าล้างสำนักไปนานแล้วน่ะเหรอ?”
“เกี่ยวข้องกับดาวพิษ น่าจะใช่ละมั้ง หรือว่าจะมีสำนักหนานอู๋หลายแห่งเชียวเหรอ?” เหมียวอี้ถามกลับ
“เรื่องที่มีเงื่อนงำแบบนี้ เจ้าน่าจะรายงานที่บ้านเร็วๆ หน่อย” โค่วเจิงระแวงสงสัย
เหมียวอี้จึงบอกว่า “รายงานหรือไม่รายงานนั่นก็อีกเรื่องหนึ่ง ยังมีเรื่องที่มีเงื่อนงำกว่านี้อีก ตอนนั้นที่ข้ากำลังเดินออกประตูพระอุโบสถ จู่ๆ เม่ยจีก็พูดบางอย่าง นางบอกว่าข้าจะฮุบสมบัติของสำนักหนานอู๋ไว้คนเดียว บอกว่าข้าได้ไปแล้วก็ไม่มีประโยชน์ บอกข้าว่าอย่าเพ้อฝัน พูดจนข้าประหลาดใจมาก”
“สมบัติของสำนักหนานอู๋เหรอ?” โค่วเจิงงุนงง แล้วถามด้วยสีหน้าระแวงอีกครั้ง “สำนักหนานอู๋ซ่อนสมบัติอะไรไว้?”
“พี่ใหญ่ ข้าจะไปรู้ได้ยังไงว่าสำนักหนานอู๋นั่นซ่อนสมบัติอะไรไว้!” เหมียวอี้ยักไหล่สองข้างพร้อมยิ้มเจื่อน แล้วพูดต่อว่า “แน่นอน สิ่งนี้ไม่สำคัญสำหรับข้า ที่สำคัญคือเม่ยจีนั่นบอกสิ่งที่สอดคล้องความจริงกับข้า บอกว่าขอเพียงข้าบอกจุดซ่อนสมบัติของสำนักหนานอู๋ เงื่อนไขอะไรก็คุยง่ายทั้งนั้น ให้ข้าไปคิดให้ดีๆ จากนั้นข้าเลยครุ่นคิดเรื่องสมบัติที่ซ่อนในสำนักหนานอู๋ ใครจะคิดว่าตอนหลังพี่ใหญ่จะส่งข่าวให้ข้าอีก บอกว่าอิ๋งหยางจะไปออกล่าที่น้ำพุวังเวง พอดีเลย ข้าเข้าใจว่าอิ๋งหยางไปออกล่าที่น้ำพุวังเวง ข้างกายจะต้องมีคนไม่น้อยแน่ ดีไม่ดีอาจจะมียอดฝีมือมาคุ้มกันก็ได้ แล้วเม่ยจีก็เสนอเงื่อนไขมาพอดีไม่ใช่เหรอ? ข้าก็เลยนำเรื่องนี้มาเป็นเงื่อนไข ขอเพียงนางเอาชีวิตอิ๋งหยางให้ข้าได้ ข้าก็จะบอกจุดซ่อนสมบัติของสำนักหนานอู๋กับนาง สองฝ่ายเข้ากันได้ดี จึงเจรจากันได้ง่าย”
“…” โค่วเจิงอ้าปากข้าง มิน่าล่ะทั้งตระกูลโค่วจึงคิดไม่ตกว่าเจ้าหมอนี่เรียกใช้สำนักหลัวช่าได้อย่างไร สงสัยเบื้องหลังจะซ่อนเรื่องนี้เอาไว้ เจ้าเวรนี่ช่างเรียกสำนักหลัวช่ามาสู้กับกำลังพลของตระกูลอิ๋งได้จริงๆ เขาทั้งตกใจทั้งโมโห “เจ้าบ้าไปแล้วเหรอ เรื่องใหญ่ขนาดนี้ก็ไม่บอกที่บ้านสักคำ เจ้าเคยคิดบ้างหรือเปล่า ถ้าไปมีความเกี่ยวข้องกับแดนพุทธะแบบนี้ ก็เท่ากับจุดอ่อนของเจ้าตกอยู่ในมืออีกฝ่ายไปแล้ว! ถ้าตอนหลังเจ้ามอบจุดซ่อนสมบัติให้อีกฝ่ายไม่ได้ แล้วจะทำยังไง?”
เหมียวอี้ยักไหล่ แล้วกล่าวอย่างไม่แยแส “พี่ใหญ่คิดมากไปแล้ว ข้าจะกลัวอะไรล่ะ? ข้าต้องกลัวด้วยเหรอ? ถ้าจุดอ่อนข้าตกอยู่ในมือพวกเขา จุดอ่อนพวกเขาก็ตกอยู่ในมือข้าเหมือนกัน การลงมือกับตระกูลอิ๋งไม่ใช่เรื่องเล็ก เอาเรื่องนี้มาขู่ข้าไม่มีประโยชน์เลย ถ้าข้าไม่บอกจุดซ่อนสมบัติแล้วยังไงล่ะ? ข้าก็แค่บอกว่าข้าให้ไม่ได้แล้ว สำนักหลัวช่าจะทำอะไรข้าได้? มีตระกูลโค่วหนุนหลัง สำนักหลัวช่าก็ไม่กล้าทำอะไรข้าโจ่งแจ้งหรอก จะแอบลงมือกับข้าเหรอ? ข้าเหมือนคนเหาเยอะที่ไม่กลัวคัน คนที่แอบลงมือกับข้ามีตั้งเยอะ แค่มีสำนักหลัวช่าเพิ่มขึ้นมาข้าจะแยแสเหรอ?”
โค่วเจิงทำสีหน้าไม่ถูก เจ้าหนุ่มนี่ใช้วิธีการไร้สัจจะแล้ว แต่จะว่าไปก็เป็นอย่างนี้จริงๆ
วางเรื่องนี้ไว้ก่อนชั่วคราว แล้วถามต่อว่า “สำนักหลัวช่าไปช่วยเจ้าจัดการเรื่องนี้ที่น้ำพุวังเวงกี่คน?”
เหมียวอี้ตอบว่า “ข้าไม่รู้ ข้าจะรู้หรือไม่รู้ก็ไม่เกี่ยวกันหรอก ข้าแค่จะเอาชีวิตอิ๋งหยาง เรื่องอื่นข้าไม่สนใจ พวกเราแค่นัดเวลาส่งงานกันไว้ นัดบนดาวเคราะห์ดวงหนึ่งนอกน้ำพุวังเวง”
“เจ้าไม่เห็นฉากตอนที่พวกเขาต่อสู้กันเหรอ? ไม่เห็นเหรอว่าพวกเขามีกันกี่คน?” โค่วเจิงถาม
“ข้าไม่ได้เข้าไปในน้ำพุวังเวงเลย จะไปเห็นได้ยังไง? ข้าแค่รออยู่ข้างนอก แล้วตอนหลัง ก็มีคนส่งอิ๋งหยางมาให้ข้า ข้าก็เลยกลับมาแล้ว” เหมียวอี้ตอบ
โค่วเจิงหรี่ตาจ้องเขา “ในเมื่อนัดจบงานกันแล้ว เจ้าไม่บอกจุดซ่อนสมบัติให้พวกเขารู้ แล้วพวกเขาจะส่งอิ๋งหยางให้เจ้าเหรอ?”
เหมียวอี้เอามือลูบคางพร้อมกล่าวอย่างสงสัย “นี่ก็คือจุดที่ข้าแปลกใจเหมือนกัน บอกตามตรงนะ ข้าเตรียมแผนที่ซ่อนสมบัติปลอมเอาไว้รับมือกับพวกเขาฉบับหนึ่ง ใครจะคิดว่าจะมีคนปิดบังใบหน้าโผล่มา ข้าก็ไม่รู้ชัดว่าเป็นใคร เขาส่งอิ๋งหยางให้ข้าแล้วก็ไปแล้ว ไม่น่าเชื่อว่าจะไม่ทวงจุดซ่อนสมบัติจากข้าเลย ตอนนั้นข้าก็แปลกใจแล้ว แต่พอมานึกดูอีกที เรื่องนี้ก็โทษข้าไม่ได้นะ ข้าเอาตัวอิ๋งหยางแล้วก็กลับมาเลย ก่อนหน้านี้ข้าก็ไม่รู้ว่าที่น้ำพุวังเวงเกิดเรื่องอะไรขึ้น จนกระทั่งพี่ใหญ่ส่งข่าวมาถามบอกข้าเรื่องเข่นฆ่าอะไรนั่น ทั้งยังถามข้าอีกว่าพวกเหวินไป๋อยู่ที่ไหน ข้าถึงตระหนักได้แล้วว่าปัญหาเกิดขึ้นตรงไหน แถมตลาดผีเกิดความผิดปกติอีก ทางตึกศาลาสัตยพรตก็เรียกข้าไปบอกสถานการณ์บางอย่าง ข้าถึงได้เข้าใจว่าอาจจะก่อเรื่องใหญ่แล้ว จนกระทั่งพี่ใหญ่มาโผล่อยู่ที่นี่ ข้าก็ยังเลอะเลือนอยู่เลย ทางสำนักหลัวช่าก็ไม่ได้มาหาข้าอีกเช่นกัน”
ในห้องตกอยู่ในความเงียบ โค่วเจิงแววตาวูบไหวไม่หยุด เหมียวอี้กำลังแอบสังเกตปฏิกิริยาของเขา
สุดท้ายโค่วเจิงก็ทำลายความเงียบ “ตามที่ตระกูลอิ๋งบอก พวกเขายังติดต่ออิ๋งหยางได้ เจ้ายังไม่ได้ฆ่าเขาเหรอ?”
“เปล่าหรอก ข้าเก็บไว้ยังใช้ประโยชน์ได้ จะให้เขาไปสบายได้ยังไงล่ะ” เหมียวอี้ตอบ
“ข้าดูหน่อย” โค่วเจิงกล่าว
เหมียวอี้ลุกขึ้นยืนแล้วตอบว่า “พี่ใหญ่คงไม่คิดจะส่งเขากลับไปให้ตระกูลอิ๋งหรอกใช่มั้ย? ข้าไม่ตกลง!”
โค่วเจิงคิดจะทำอย่างนี้เสียที่ไหนกัน แค่อยากพิสูจน์คำพูดเหมียวอี้นิดหน่อยเท่านั้นเอง เขาลุกขึ้นยืนเช่นกัน “ท่านพ่อบอกไว้แล้ว ถ้าเจ้าเอาชีวิตเขาได้ก็ถือเป็นความสามารถของเจ้า ข้าแค่อยากจะถามอะไรจากเขาก็เท่านั้นเอง”
“เกรงว่าจะถามไม่ได้ความอะไรหรอก” เหมียวอี้กล่าวกลั้วหัวเราะ
เหมียวอี้โยนคนคนหนึ่งไว้บนพื้น คนคนนั้นนอนลืมตาน้ำลายไหลอยู่บนพื้นด้วยสีหน้าเลื่อนลอย ต่อให้ซ้อมจนเจ็บก็ไม่มีปฏิกิริยาอะไร เป็นอิ๋งหยางนั่นเอง
โค่วเจิงนั่งยองๆ ลงข้างกัน หลังจากร่ายอิทธิฤทธิ์ตรวจอาการ ก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย แล้วเงยหน้าถามว่า “เจ้าใช้วิชาอะไรดึงจิตวิญญาณของเขาไป?”
เหมียวอี้ยักไหล่ “ตอนที่อีกฝ่ายส่งตัวมาให้ข้าก็มีสภาพเป็นอย่างนี้แล้ว ข้ายังคิดจะถามอะไรบางอย่างจากเขาอยู่เลย แต่ก็ถามไม่ได้แล้ว”
โค่วเจิงกวาดสายตามองเสื้อผ้าขาดรุ่งริ่งบนตัวอิ๋งหยาง พอดึงคอเสื้อของเขาออก ก็เห็นบนตัวเขามีรอยเหมือนถูกตัวอะไรกัดเยอะมาก จึงพึมพำว่า “ค้างคาวกลืนวิญญาณ!” จากนั้นก็ลุกขึ้นช้าๆ มองอิ๋งหยางพลางส่ายหน้า ไม่น่าเชื่อว่าหลานชายของอ๋องสวรรค์ผู้สง่าผ่าเผยจะมีจุดจบเช่นนี้ ตอนนี้ต่อให้เขาตั้งใจจะส่งอิ๋งหยางกลับไปให้ตระกูลอิ๋งก็ไม่มีประโยชน์แล้ว เพราะกลายเป็นคนตายไปแล้ส จิตวิญญาณแตกซ่าน แม้แต่โอกาสจะกลับชาติมาเกิดใหม่ก็ไม่มีแล้ว
เหมียวอี้แอบตกตะลึงในสายตาของโค่วเจิง นึกไม่ถึงว่าจะมองออกว่าเป็นฝีมือค้างคาวกลืนวิญญาณ ไม่ผิดหรอก เขานำอิ๋งหยางมาทดสอบความสามารถของค้างคาวกลืนวิญญาณเองกับมือ
ในขณะนี้เอง จู่ๆ โค่วเจิงก็หยิบระฆังดาราออกมา แล้วหันตัวไปด้านข้าง เหมียวอี้เหลือบมองเขาสองที ไม่รู้ว่ากำลังติดต่อกับใคร
สรุปก็คือโค่วเจิงติดต่อกับทางนั้นพักใหญ่ หลังจากระฆังดารามาแล้ว จู่ๆ ก็หันตัวมาจ้องเขา “เรื่องสมบัติที่ซ่อนในสำนักหนานอู๋ เจ้าห้ามไปบอกใครอีก ถ้าคนของสำนักหลัวช่ามาหาเจ้าอีก เจ้าก็ผลักเรื่องทุกอย่างไปให้ตระกูลโค่ว ให้สำนักหลัวช่าไปหาตระกูลโค่วเอง จำไว้นะ เรื่องที่น้ำพุวังเวง เจ้าต้องทำเป็นไม่รู้อะไรทั้งนั้น ใครถามเจ้าก็บอกว่าไม่รู้ ต่อไปตระกูลจะช่วยเตรียมคำปฏิเสธให้เจ้า จะหาพยานที่อยู่ให้เจ้า เจ้าไม่เคยเข้าร่วมเรื่องนี้มาก่อน” พูดจบก็โบกมือกวาด พลังอิทธิฤทธิ์กลุ่มหนึ่งพัดม้วนเข้ามา จนกระทั่งร่างของอิ๋งหยางบนพื้นถูกบดกลายเป็นเลือดเหลว
เหมียวอี้กำลังครุ่นคิดว่าคำพูดของเขาหมายความว่าอะไร นึกไม่ถึงว่าจู่ๆ เขาจะลงมือแบบนี้ เพราะถ้าเก็บอิ๋งหยางไว้ เขายังใช้ประโยชน์ได้อีก
ไฟโกรธกำลังลุกพรึ่บในใจเหมียวอี้ ทว่าโค่วเจิงก็พูดอีกอย่างหนึ่งแล้ว “ความแค้นระหว่างเจ้ากับขุนนางใหญ่พวกนั้นจองตำหนักสวรรค์จบลงแล้วตั้งแต่นี้ มันผ่านไปแล้ว…” เหมียวอี้เพิ่งจะอ้าปาก แต่เขายกมือตัดบท “อย่าถามว่าเพราะอะไร เอาเป็นว่าตระกูลโค่วจะช่วยเจ้าแก้ไขความแค้นทุกอย่างที่ผูกเอาไว้กับพวกเขา ต่อไปพวกเขาจะไม่เป็นฝ่ายมาหาเรื่องเจ้าอีก ในจุดนี้ข้ารับประกันกับเจ้าได้ ส่วนเจ้าก็อย่าเป็นฝ่ายไปหาเรื่องใครก่อนอีก เข้าใจมั้ย?”
หมายความว่าอะไร? เหมียวอี้งงเป็นไก่ตาแตก หลังจากอึ้งไปครู่หนึ่งก็ถามว่า “เหวินไป๋เป็นหรือตายก็ยังไม่รู้เลย ข้าจะลองดูว่าสามารถ…”
“ไม่ต้องแล้ว!” โค่วเจิงยกมือห้ามอีกครั้ง บนใบหน้าฉายแววเศร้าสลด เจือด้วยความอับจนหนทางหลานส่วน “คิดเสียว่าเขาตายไปแล้วก็แล้วกัน เจ้าไม่ต้องเข้าไปยุ่งซี้ซั้วอีก เข้าใจแล้วใช่มั้ย?” ประโยคสุดท้ายกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักหน่วงมาก
…………………………