พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - บทที่ 1693 อวี้หลัวช่ามาด้วยตัวเอง
แต่ไม่นานก็พบว่าอีกฝ่ายเหมือนไม่ได้ต้องการค้นหาอะไรจากร่างกายตัวเอง นางไม่ได้ตั้งใจพลิกดูทรัพย์สินบนร่างกายตนสักเท่าไรเลย เพียงรีบร่ายอิทธิฤทธิ์กวาดดูในที่เก็บของบางชิ้นของเขารอบเดียวเท่านั้น
หลังจากตรวจสอบเล็กน้อย สาวน้อยก็ถือโอกาสผลักหนึ่งที ผลักจนเหมียวอี้โซเซไปข้างหลังหลายก้าวกว่าจะหยุด
รู้สึกได้ว่าอีกฝ่ายใช้พลังอิทธิฤทธิ์เรียบง่ายหยอกล้อตนราวกับเป็นเด็ก เหมียวอี้จึงจ้องตรงหว่างคิ้วของอีกฝ่าย แต่ตั้งแต่ต้นจนจบก็ไม่ได้เผยสัญลักษณ์พลังอิทธิฤทธิ์ตรงหว่างคิ้วเลย เห็นได้ชัดว่าปิดบังไว้แล้ว เขาจึงถามอย่างระแวงว่า “เจ้าเป็นใคร?”
สาวน้อยพ่นเสียงทางจมูก ทว่าตอนที่กวาดตามองเหมียวอี้ ในดวงตานางฉายแววประหลาดใจนิดหน่อย “ไม่ได้พาผู้ช่วยมาสักคนเลยจริงๆ ด้วย พอจะมีความกล้าหาญอยู่บ้าง มิน่าล่ะถึงกล้าก่อเรื่องในพิธีรับสนมของประมุขชิง”
“เจ้าเป็นใคร?” คำถามนี้เหมียวอี้ถามเป็นครั้งที่สามแล้ว
“ถ้าบริสุทธิ์ใจ ก็ไม่ต้องกลัวคนมาหาเรื่อง เจ้าอย่าบอกข้าเชียวนะว่าเจ้าไม่รู้ว่าข้ามาคิดบัญชีกับเจ้า?” สาวน้อยถาม
“เจ้าพูดไม่ผิด ถ้าบริสุทธิ์ใจ ก็ไม่ต้องกลัวคนมาหาเรื่อง ดังนั้นข้าไม่รู้ว่าเจ้าเป็นใคร?” เหมียวอี้ถาม
สาวน้อยเงียบไปครู่หนึ่ง จ้องเหมียวอี้แล้วถามช้าๆ “สาวกในใต้หล้าเรียกข้าว่าพุทธะหน้าหยก เจ้าว่าข้าเป็นใครล่ะ?”
ไม่ผิดหรอก ผู้ที่มาก็คือพุทธะหน้าหยก เจ้าสำนักของสำนักหลัวช่าคนปัจจุบัน ก่อนมาได้เตรียมโต้เถียงกับตำหนักสวรรค์ไว้แล้ว แต่ก่อนหน้านั้นนางตัดสินใจจะง้างปากเหมียวอี้เพื่อถามหาสิ่งที่นางต้องการก่อน ไม่อย่างนั้นถ้าเกิดเหตุเปลี่ยนแปลงขึ้นในตอนหลัง ไม่ว่าใครก็พูดได้ไม่ชัดเจน ไม่ว่าจะอย่างไรนางก็ไม่มีวันปล่อยของสิ่งนั้นไปแน่ แต่สิ่งที่นางนึกไม่ถึงก็คือ ไม่น่าเชื่อว่าฝั่งสี่อ๋องสวรรค์จะชักช้าไม่มีปฏิกิริยาอะไรเลย แต่กลับได้ข่าวมาว่า ประมุขชิงกับสี่อ๋องสวรรค์ล้วนกำลังพัวพันอยู่กับการระดมทัพใหญ่ วางท่าเหมือนจะเปิดศึกกัน ทำเอานางประหลาดใจหาคำตอบไม่ได้
เหมียวอี้ตกใจมาก “เจ้าก็คืออวี้หลัวช่าเหรอ?” ในดวงตาเขาเต็มไปด้วยความเหลือเชื่อ รีบมองประเมินอีกฝ่ายศีรษะจดเท้า ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็รู้สึกว่าไม่ถูก นางไม่ใช่พวกนักพรตปีศาจเสียหน่อย ด้วยวรยุทธ์ของพุทธะหน้าหยกซึ่งมีอยู่น้อยมากในใต้หล้า ต่อให้วรยุทธ์ของนางจะก้าวหน้าเร็วกว่านี้ แต่ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะรักษาความเป็นสาวน้อยวัยเยาว์ไว้ได้ วรยุทธ์สูงขึ้นก็มีแต่จะยืดอายุความชราเท่านั้น ไม่มีทางที่จะควบคุมการเติบโตพื้นฐานของคนได้
ทว่ามีอยู่จุดหนึ่งที่ทำให้เข้าตระหนักได้เร็วมาก วรยุทธ์ของอีกฝ่ายที่ลงมือกับตนเมื่อครู่นี้สูงจนน่ากลัว ไม่ใช่พลังที่สาวน้อยคนหนึ่งจะมีได้เลย อย่าบอกนะว่าพุทธะหน้าหยกมาด้วยตัวเองจริงๆ? ถ้าคนคนนี้เป็นพุทธะหน้าหยกจริง ก็หมายความว่าพุทธะหน้าหยกมาหาถึงที่ด้วยตัวเองแล้ว เช่นนั้นเมื่อครู่นี้ทำไมจี้คงถึงบอกใบ้ให้สตรีวัยกลางคนงามเย้ายวนผู้นั้นมาหาตน ตัวเองมาที่นี่ก็จะได้เจอกันแล้ว จี้คงไม่มีเหตุผลที่จะหลอกตน
ชั่วพริบตาเดียวเขาก็เข้าใจอีกแล้ว ว่าจี้คงไม่รู้เลยว่าพุทธะหน้าหยกมาที่นี่ พุทธะหน้าหยกมีฐานะไม่ธรรมดา ถ้าถูกเปิดโปงว่ามาที่นี่ก็จะไม่ใช่เรื่องเล็ก นางจงใจปิดบังจี้คง สตรีวัยกลางคนสวยหยาดเยิ้มคนก่อนหน้านี้มาเพื่อบังหน้าเท่านั้นเอง
“เจ้าจะเอาอะไรมาพิสูจน์ว่าเจ้าคือพุทธะหน้าหยก?” เหมียวอี้ไม่กล้าเชื่อ
“ข้าจำเป็นต้องพิสูจน์ให้เจ้ารู้ด้วยเหรอ?” อวี้หลัวช่าพูดเหยียด แล้วจู่ๆ สายตาก็เปลี่ยนเป็นมีพลังอำนาจน่าเกรงขาม “บอกมา! ของที่สำนักหนานอู๋อยู่ที่ไหน?”
“ของสำนักหนานอู๋อะไร?” เหมียวอี้แกล้งโง่
พรึ่บ! ชั่วพริบตาเดียวอวี้หลัวช่าก็มาอยู่ตรงหน้าเหมียวอี้แล้ว เหมียวอี้ตกใจจนถอยหลัง อีกฝ่ายจีบนิ้วเป็นเงามายาเหมือนดอกกล้วยไม้ พอชี้มาที่หัวใจเขา พลังกลุ่มหนึ่งก็ทะลุผ่านหน้าอกของเขา ราวกับมีคมมีดเด้งมาที่หัวใจ “เจ้าจงใจปล่อยข่าวสำนักหนานอู๋เพื่อล่อให้สำนักหลัวช่าไปติดกับดัก ยังหล้ามาแกล้งโง่อีกเหรอ?”
เหมียวอี้ไม่กล้าขยับตัว เหงื่อกาฬเริ่มไหลแล้ว ทุกครั้งที่ใจเต้นราวกับเต้นไปชนคมมีด ถ้าขยับซี้ซั้วก็จะอันตรายถึงชีวิต น่าตกใจทีเดียว ทว่ายังคงปากแข็ง “ในเมื่อข้ากล้ามาแล้ว ก็ย่อมรู้ถึงผลที่จะตามมา เตรียมตัวไว้ล่วงหน้าแล้ว ต่อให้เจ้าเป็นพุทธะหน้าหยกแล้วยังไงล่ะ ถ้าข้ากลับไปไม่ได้ สำนักหลัวช่าของเจ้าก็เลิกคิดไปได้เลยว่าจะรอด”
“อ้อ! งั้นเหรอ? ตราบใดที่สามารถได้ของสิ่งนั้นมา ข้าจะไม่เป็นพุทธะหน้าหยกแล้วยังไงล่ะ?” พออวี้หลัวช่าบิดนิ้วที่จ่ออยู่บนหน้าอก ชั่วพริบตาเดียวในอกเหมียวอี้ก็ราวกับถูกพลังมีดกระจายครอบคลุมทั่วหัวใจ แล้วก็หดลงกะทันหัน เหมือนมีมือข้างหนึ่งกุมหัวใจเหมียวอี้ไว้แล้วออกแรงบีบ ทำให้เหมียวอี้เจ็บปวดจนเหงื่อกาฬไหลทันที
สิ่งที่เรียกว่าเจ็บปวดเหมือนดโดนบีบหัวใจ วันนี้นับว่าเหมียวอี้ได้รับบทเรียนแล้ว
“หยุดนะ!” เหมียวอี้กัดฟันร้องขอให้นางหยุด “เจ้าปล่อยข้าก่อน มีอะไรคุยกันดีๆ ไม่ได้เหรอ?” ไม่ใช่ว่าเขาเป็นคนที่ยอมแพ้ง่าย แต่การถูกทรมานกายเนื้อแบบนี้ไม่คุ้มค่า มิหนำซ้ำยังไม่ใช่กายเนื้อ แต่เป็นหัวใจ!
“ตอนนี้เจ้ายอมพูดดีๆ แล้วเหรอ?” ใบหน้าที่ไร้อารมณ์ดุจหยกสลักของอวี้หลัวช่าฉายแววถากถาง
“อืม!” เหมียวอี้พยักหน้า
พออวี้หลัวช่างอนิ้ว พลังนั้นก็ถูกเก็บไว้ แล้วก็ถือโอกาสใช้ฝ่ามือผลักเหมียวอี้จนโซเซอีก “ของอยู่ที่ไหน?”
แรงกดดันมหาศาลในใจหายไปแล้ว หลังจากเหมียวอี้ที่โซเซถอยหลังติดกันหลายครั้งหยุดยืนอย่างมั่นคงได้ ก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่ “ที่จริงข้าไม่รู้ว่าของของสำนักหนานอู๋ที่เจ้าบอกคืออะไร”
อวี้หลัวช่าเดินเข้ามาประชิดทันที “ช่างน่าขัน ถ้าเจ้าไม่รู้ว่าของของสำนักหนานอู๋คืออะไร แล้วจะกล้าวางกับดักได้ยังไง? ถ้าเจ้าไม่รู้ว่าของนั้นสำคัญยังไง เจ้าอาศัยอะไรมาตัดสินว่าข้าจะติดกับดักใหญ่ขนาดนั้นได้? คิดว่าข้าเป็นเด็กสามขวบเหรอ? ดูท่าแล้วถ้าไม่ทำให้เข้าทรมานสักหน่อย เจ้าคงจะไม่ซื่อสัตย์สินะ”
พอเห็นนางกำลังจะเล่นบทโหด เหมียวอี้ก็ยกมือห้าม ถอนหายใจแล้วบอกว่า “ก็แค่สมบัติลับที่สำนักหนานอู๋ทิ้งไว้เอง”
สาวน้อยอวี้หลัวช่าเปลี่ยนสีหน้าเป็นยิ้มแย้ม “ไม่ผิด! สงสัยข้าจะตัดสินไม่ผิด เจ้ารู้จริงๆ ด้วย” นางแอบดีใจอย่างบ้าคลั่ง สงสัยสมบัติลับในตำนานจะมีอยู่จริง ไม่อย่างนั้นก็เป็นไปไม่ได้ที่หนิวโหย่วเต๋อจะพูดคำว่า ‘สมบัติลับ’ ออกมา
เหมียวอี้ส่ายหน้า เอามือนวดตรงหัวใจที่โดนนิ้วทิ่มเมื่อครู่นี้ แล้วเดินก้าวยาวไปข้างหน้า เดินอ้อมผ่านตัวอวี้หลัวช่าไป เดินตรงไปหาแท่นบันไดใต้พระพุทธรูปสูงใหญ่ตรงหน้า
อวี้หลัวช่าหันกลับมามอง ไม่รู้ว่าเขากำลังเล่นลูกไม้อะไร
ต่อหน้านาง เหมียวอี้ไม่ถึงขั้นเล่นลูกไม้อะไรหรอก แต่กลับอาศัยโอกาสนี้รีบครุ่นคิดหาวิธีการรับมือ
เขาพบว่าครั้งนี้หยางชิ่งวางแผนพลาดอีกครั้งแล้ว ไม่น่าเชื่อว่าอีกฝ่ายถึงขนาดยอมเลิกเป็นพุทธะหน้าหยกเพื่อที่ซ่อนสมบัตินั่น สถานการณ์โดยรวมระหว่างแดนพุทธกับตำหนักสวรรค์อะไรนั่นก็ใช้ไม่ได้ผลกับอีกฝ่ายเลย แต่พอคิดไปคิดมา ก็จะโทษหยางชิ่งไม่ได้เช่นกัน เพราะการวิเคราะห์ของหยางชิ่งนั้นไม่ได้ผิด ที่สำคัญคือมีเรื่องบางอย่างที่หยางชิ่งไม่รู้เลย ยกตัวอย่างเช่นคลังสมบัติที่สำนักหนานอู๋ทิ้งไว้ หยางชิ่งขาดข้อมูลไงล่ะ พอเกิดเรื่องขึ้นแล้วก็มีแต่ต้องโทษที่ตัวเองปิดบังหยางชิ่ง
พอพูดถึงสมบัติลับ เหมียวอี้ก็ค้นพบเช่นกันว่าเหมือนตัวเองจะคาดการณ์อะไรผิดไป มูลค่าของสมบัติลับนั่นสูงจนน่าตกใจ ควรค่าที่จะให้พุทธะหน้าหยกยอมแลกจริงๆ แต่จะว่าไปแล้ว คนที่อยู่ในระดับพุทธะหน้าหยก เหมือนว่าเงินทองจะไม่สำคัญเท่าไรแล้ว ตราบใดที่ครองตำแหน่งพุทธะนั่น อีกฝ่ายก็น่าจะไม่ขาดทรัพยากรฝึกตน ตอนนี้อีกฝ่ายบอกแล้วว่าถึงขั้นยอมเลิกเป็นพุทธะหน้าหยกเพื่อแลกกับสมบัติลับนั่น จะมีสิ่งใดที่สำคัญกว่าตำแหน่งพุทธะหน้าหยกล่ะ? ถ้ามองสูงขึ้นไปกว่านั้นก็มีแต่ตำแหน่งประมุขพุทธะแล้ว หรือว่าสมบัติลับนั่นยังซ่อนอะไรที่สามารถทำให้แทนที่ประมุขพุทธะได้อีก?
เหมียวอี้คิดไปคิดมาแล้วรู้สึกตกใจ พอนึกถึงคำพูดที่ผู้ซ่อนสมบัติทิ้งไว้ในคลังสมบัติ ก็พบว่าลึกลับซับซ้อนจริงๆ
เหมียวอี้เดินมาตรงหน้าแท่นบันไดแล้วเงยหน้ามองรูปปั้นประมุขพุทธะ จากนั้นหันตัวช้าๆ หย่อนก้นนั่งบนแท่นบันได แล้วตบแท่นบันไดที่อยู่ข้างๆ พร้อมบอกว่า “มีเรื่องอะไรค่อยๆ นั่งลงคุยกันก็ได้”
อวี้หลัวช่าไม่สนใจจะไปนั่งเสมอกับเขา นางเดินไปตรงหน้าเขา แล้วมองต่ำพร้อมบอกว่า “บอกมาแต่โดยดีเถอะ”
เหมียวอี้เงยหน้ามองนาง แล้วถามหยั่งเชิงว่า “ในสมบัติลับนั่นซ่อนของอะไรไว้กันแน่?”
อวี้หลัวช่ารู้สึกเหมือนโดนปั่นหัว ชั่วพริบตาเดียวเผยสีหน้าเดือดดาล
เหมียวอี้รีบอธิบาย “ข้ารู้ว่ามีสมบัติลับอยู่จริง แต่ไม่รู้ว่าในสมบัติลับมีอะไรกันแน่”
อวี้หลัวช่าสีหน้าอ่อนลง “เรื่องนี้เจ้าไม่จำเป็นต้องรู้ เจ้าแค่บอกมาก็พอว่าจุดซ่อนสมบัติอยู่ตรงไหน”
มารดาเจ้าเถอะ ดูจากท่าทางของเจ้าแล้ว ถ้าข้าบอกเจ้าไป ข้าจะยังมีชีวิตรอดอยู่เหรอ? เหมียวอี้พึมพำในใจ แต่ภายนอกกลับยิ้มเจื่อน “ข้าไม่รู้จริงๆ ว่าที่ซ่อนสมบัติอยู่ไหน…” เมื่อเห็นอีกฝ่ายกำลังจะเกิดโทสะอีก ก็รีบพูดเสริมว่า “แต่ข้าพบแผนที่ซ่อนสมบัติฉบับหนึ่งจากซากสำนักหนานอู๋ เพียงแต่จนกระทั่งตอนนี้ ข้ายังไม่มีโอกาสไปที่จุดซ่อนสมบัติก็เท่านั้นเอง”
“เจ้าพบแผนที่ซ่อนสมบัติจากซากสำนักหนานอู๋เหรอ?” อวี้หลัวช่าหรี่ดวงตางาม ถามเหมือนเคลือบแคลงว่า “เจ้ารู้ได้ยังไงว่าซากสำนักหนานอู๋มีแผนที่ซ่อนสมบัติ?”
เหมียวอี้ถอนหายใจ “ข้าค้นพบจากของที่อสุราอัคนีอาจารย์ข้าทิ้งไว้ให้ ที่จริงแผนที่ซ่อนสมบัติของสำนักหนานอู๋มีสองส่วน ส่วนหนึ่งคือสูตรหาสมบัติ อีกสูตรหนึ่งคือแผนที่ซ่อนสมบัติ สองส่วนนี้ขาดไม่ได้ ถ้ามีแค่สูตรแผนที่ซ่อนสมบัติอย่างเดียวก็ไม่มีประโยชน์ ถ้ามีแค่แผนที่ซ่อนสมบัติอย่างเดียวโดยไม่มีสูตรก็ไม่มีประโยชน์เช่นกัน จะต้องมีสองอย่างนี้ถึงจะหาจุดซ่อนสมบัติพบ ในขอที่อสุราอัคนีทิ้งไว้ให้มีสูตรนี้ ทำเครื่องหมายไว้ว่าในซากสำนักหนานอู๋มีที่ซ่อนสมบัติ ครั้งก่อนที่งานวันเกิดพระโพธิสัตว์หลันเย่ ข้ามีโอกาสไปที่ดาวพิษ ข้าก็เลยถือโอกาสนำแผนที่ซ่อนสมบัติออกมา เรื่องมันก็ง่ายๆ แค่นี้”
ฟังดูแล้วรู้สึกไม่ธรรมดา แบบนี้สิถึงจะสอดคล้องกับตำแหน่งของสมบัตินั้น ไม่อย่างนั้นทำไมแม้แต่พระปีศาจหนานโปก็ยังหาไม่เจอ? อีกทั้งตอนที่อสุราอัคนีวางอำนาจบาตรใหญ่ในใต้หล้า ก็มีโอกาสที่จะได้สิ่งนี้ไปจริงๆ! อวี้หลัวช่าฟังจนแววตาวูบไหวร้อนรน นางยื่นมือออกมา “ส่งแผนที่ซ่อนสมบัติมาให้ข้า?”
เหมียวอี้ก็ให้ความร่วมมือมากจริงๆ เพียงแต่ภายนอกทำท่าลังเลนิดหน่อย แล้วก็โยนลูกกลมโลหะสีแดงให้นาง
บนตัวเขาไม่มีแผนที่ซ่อนสมบัติ
แต่เขาพกแผนที่ไปสถานที่ผนึกพระปีศาจหนานโปติดตัวไว้ตลอดเวลา
ที่สำคัญคือของสิ่งนี้ ต่อให้คนอื่นเห็นแต่ก็อ่านไม่เข้าใจ ดังนั้นพกติดตัวเอาไว้ก็ไม่เป็นไร เพราะแผนที่ดาวบนนั้นไม่ใช่แผนที่ดาวแบบปกติ ครั้งแรกที่พวกอวิ๋นจือชิวได้แผนที่ประตูดวงดาวทางเข้าแดนอเวจีไป ก็มองไม่เข้าใจมาตลอด ถ้าไม่ใช่เพราะพวกอวิ๋นอ้าวเทียนปล้นอยู่ข้างนอกจนเผยประตูดวงดาวอีกแห่งมากำหนดจุดไว้ชัดเจน จนได้วิธีการทำความเข้าใจแผนที่ดาว ก็เกรงว่าเขาคงจะไม่มีวันรู้วิธีคลายปริศนาแผนที่เลยตลอดไป
เขาเองก็รู้สึกยอมแพ้ผู้ซ่อนสมบัติคนนั้นแล้วจริงๆ แผนที่ที่ทิ้งไว้ไม่มีฉบับไหนเลยที่ใช้วิธีการหาแบบปกติ ถ้าจะพูดให้ชัดก็คือ ขอเพียงไม่ใช่คนที่ผู้ซ่อนสมบัติเลือก ต่อให้ได้แผนที่มาก็เปล่าประโยชน์ เขาไม่เชื่อหรอกว่าอวี้หลัวช่าจะอ่านแผนที่ดาวที่ไร้ระเบียบฉบับนั้นออก และต่อให้มอบแผนที่ดาวฉบับนี้ให้อวี้หลัวช่าก็ไม่เป็นอะไร เพราะอวิ๋นจือชิวฮูหยินของเขาทำสำเนาไว้หลายฉบับแล้ว
เมื่อของมาถึงมือแล้ว อวี้หลัวช่าก็มองเหมียวอี้อย่างสงสัยแวบหนึ่ง เคลือบแคลงในว่าเจ้าหมอนี่ให้ความร่วมมือเกินไปหรือเปล่า แต่ดูจากร่องรอยภายนอกของสิ่งของที่อยู่ในมือ ก็ดูผ่านวันเวลามาเนิ่นนานแล้วจริงๆ สิ่งนี้ยากที่จะปลอมแปลงได้ โดยเฉพาะคนที่มีชีวิตอยู่มานานอย่างนาง เห็นของเก่าแก่มาเยอะเกินไป แค่มองของในมือปราดเดียวก็รู้แล้วว่าเป็นของเก่า
…………………………