พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - บทที่ 1694 โลหิตมารสวรรค์
ไม่ว่าจะเป็นของจริงหรือของปลอม ก็จะต้องดูสักหน่อยแน่นอน นางกรอกพลังอิทธิฤทธิ์เข้าไปตรวจดู สิ่งที่ปรากฏสู่สายตาคือแผนที่ดาว มีจุดแสงจุดหนึ่งกะพริบอยู่ท่ามกลางทะเลดาวอันกว้างใหญ่ไพศาล พอเข้าไปดูใกล้ๆ ด้านบนของดาวเคราะห์ดวงหนึ่งก็มีเครื่องหมายวัดแห่งหนึ่ง ในวัดมีภาพเงาคนที่คลุมเครือ
เหมียวอี้กำลังคิดว่าในสมบัติลับคงไม่ได้มีของอะไรที่ทำให้แทนที่ประมุขพุทธะได้จริงๆ หรอกมั้ง จึงถามหยั่งเชิง “อวี้หลัวช่า ในแผนที่นี้มีวัดแห่งหนึ่ง เงาคนเลือนรางในวัดหมายความว่าอะไร? อย่าบอกนะว่าพอเข้าวัดนี้แล้วจะกลายเป็นพุทธะ?”
เมื่อกล่าวคำนี้ออกมา ก็ทำให้อวี้หลัวช่าหัวใจเต้นรัว นางก็กำลังแปลกใจเช่นกันว่าเงาคนเลือนรางในวัดหมายความว่าอะไร คำพูดของเหมียวอี้ทำให้นางเห็นแสงสว่างทันที นางเก็บพลังอิทธิฤทธิ์กลับมาจากลูกกลมโลหะ “ข้าก็คือพุทธะอยู่แล้ว ยังต้องกลายเป็นพุทธะอีกเหรอ?”
ยิ่งปกปิดก็ยิ่งเห็นได้ชัด เหมียวอี้พึมพำในใจ ถ้าอีกฝ่ายไม่ตั้งใจอธิบายอย่างนี้ เขาก็จะครุ่นคิดไม่หยุด ทว่าตอนนี้ทำให้เขาแน่ใจการคาดเดาของตัวเองแล้ว แต่เขาก็สงสัยมากกว่าว่าผู้ซ่อนสมบัติมีเจตนาอะไร ถ้าที่ซ่อนสมบัติมีของดีจริงๆ แล้วทำไมต้องมอบให้คนอื่น?
เขาไม่มีเวลามาคิดมาก อวี้หลัวช่าเหมือนจะตระหนักอะไรบางอย่างได้ “เมื่อครู่เจ้าเรียกข้าว่าอะไรนะ?”
“อวี้หลัวช่า…”
“อวี้หลัวช่าใช่ชื่อที่เจ้าจะเรียกได้เหรอ?”
“ข้าเห็นเจ้าสาวเจ้าสวยขนาดนี้ ชื่อเรียกโบราณสูงวัยน่ะข้าเรียกไม่ไหวหรอก” พอพูดจบ ขนาดเหมียวอี้เองก็ยังรู้สึกสะอิดสะเอียนนิดหน่อย จู่ๆ ก็นึกถึงสวีถังหราน พบว่าที่จริงแล้วตัวเองกับสวีถังหรานก็ไม่ได้ต่างกันสักเท่าไร มองเห็นแต่สวีถังหรานประจบสอพลอ ตัวเองก็เป็นอย่างนี้เหมือนกันไม่ใช่หรือ
“เชอะ!” อวี้หลัวช่าทำเสียงฮึดฮัด ไม่รู้ว่าได้ยินคำประจบสอพลอแล้วสบายใจ หรือรู้สึกว่าตอนนี้ไม่จำเป็นต้องถือสาเหมียวอี้เรื่องนี้ นางใช้ฝ่ามือรองลูกกลมโลหะ “ข้าจะรู้ได้ยังไงว่าแผนที่ซ่อนสมบัติเป็นของจริงหรือเปล่า?”
เหมียวอี้ถอนหายใจ “ข้ายังพิสูจน์ไม่ได้ว่ามันเป็นของจริงหรือเปล่า ที่สำคัญคือต่อให้ข้ามอบแผนที่ซ่อนสมบัติให้เจ้าร้อยฉบับ เจ้าก็ยังสงสัยอยู่ดีว่าเป็นของจริงหรือเปล่า ลองตรวจสอบผลลัพธ์ว่าจริงหรือปลอม ดูว่าจะหาจุดซ่อนสมบัติเจอรู้เปล่า แค่นั้นก็รู้แล้ว”
ยังไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของ ไม่รู้เหมือนกันว่าจริงหรือปลอม อวี้หลัวช่าเก็บลูกกลมโลหะไว้เสียเลย แล้วทวงของอีก “สูตร มอบสูตรหาสมบัติมาให้ข้า”
“ตอนนี้ต่อให้มอบสูตรให้เจ้า เจ้าก็หาสมบัติลับไม่เจออยู่ดี ไม่อย่างนั้นก็ไม่ต้องรอให้เจ้ามาหาข้าหรอก ข้าคงไปขุดสมบัติลับออกมาตั้งนานแล้ว” เหมียวอี้กล่าว
“เพราะอะไร?” อวี้หลัวช่าถาม
เหมียวอี้ตอบว่า “จากสูตรสมบัติลับ อาณาเขตดาวที่ตั้งของจุดซ่อนสมบัติอยู่ท่ามกลางวงโคจร ทุกๆ หนึ่งพันปีถึงจะกลับเข้าที่หนึ่งครั้ง หรือพูดได้อีกอย่างว่าแผนที่ซ่อนสมบัตินี้จะแสดงประโยชน์เฉพาะในช่วงเวลาที่กำหนดเท่านั้น ไม่อย่างนั้นก็ไม่มีทางเทียบสถานที่เป้าหมายเจอได้เลย จากที่คำนวณ ยังเหลือเวลาอีกเก้าร้อยปีกว่าจะถึงเวลาค้นหาสมบัติครั้งต่อไป”
“พูดมากเป็นชุด อยากจะถ่วงเวลาสินะ?” อวี้หลัวช่าถามเสียงเย็น
เหมียวอี้ตอบว่า “ข้าไม่จำเป็นต้องถ่วงเวลา จะว่าไปแล้ว ไม่ว่าเจ้าจะเชื่อหรือไม่เชื่อ ตอนนี้ข้าก็ไม่มีทางมอบให้เจ้าหรอก ถ้าให้เจ้าตอนนี้ ข้าจะรอดชีวิตได้เหรอ? เจ้าไม่ต้องมองข้าอย่างนี้ ถ้าข้าปกป้องไม่ได้แม้แต่ชีวิตตัวเอง ต่อให้เจ้าจะทรมานข้ายังไงก็ไม่มีประโยชน์ ถึงแม้หนิวจะกลัวตาย แต่ก็ต้องดูสถานการณ์เหมือนกัน เวลาจะต้องดิ้นรนเอาชีวิตรอดก็ไม่เคยเลอะเลือน ก็เหมือนที่เจ้าบอก ขนาดพิธีรับสนมของราชันสวรรค์ข้ายังกล้าก่อเรื่องเลย เรื่องตัดหัวประหารข้าก็ไม่ได้ทำแค่ครั้งสองครั้ง เจ้าขู่ข้าไม่ได้ผลหรอก ถ้าอยากได้สมบัติลับ ก็รออีกเก้าร้อยปีหลังจากนี้สิ พวกเราไปด้วยกันสักรอบ ทุกอย่างย่อมกระจ่างว่าจริงหรือปลอม ข้าถ้าหลอกเจ้า ถึงตอนนั้นเจ้าค่อยสังหารข้าก็ยังไม่สาย แค่หนึ่งร้อยปีเอง แค่ดีดนิ้วก็ผ่านไปแล้ว ไม่ถึงขั้นรอไม่ไหวหรอกมั้ง?”
อวี้หลัวช่าบอกว่า “เรื่องน้ำพุวังเวงใหญ่ขนาดนั้น ข้ากลัวว่าจะรอได้ไม่ถึงเก้าร้อยปีแล้ว” ในดวงตาฉายแววดุร้าย
“นี่เป็นเรื่องของเจ้า ระดับของพวกเจ้าสูงเกินไป ข้าเอื้อมมือไปสอดไม่ไหว ช่วยเจ้าไม่ได้หรอก แต่ข้ามีเรื่องเรื่องหนึ่งที่ต้องให้เจ้าช่วย” เหมียวอี้กล่าว
“ลองว่ามา” อวี้หลัวช่ากล่าว
เหมียวอี้บอกว่า “ข้าไม่อยากให้คนรู้ว่าเรื่องที่น้ำพุวังเวงเกี่ยวข้องกับข้า แต่ตระกูลโค่วรู้แล้วว่าข้ากับสำนักหลัวช่าติดต่อกัน ก่อนที่ข้าจะมาที่นี่ โค่วเจิงก็เพิ่งออกจากจวนแม่ทัพภาคตลาดผี เพื่อที่จะปกป้องตัวเอง ข้าเลยจำเป็นต้องพูดเรื่องสมบัติลับสำนักหนานอู๋ แต่เจ้าวางใจได้ ข้ายังไม่ได้บอกใครเรื่องที่ข้าพูดเมื่อครู่นี้…” หลังจากพูดข้ามบทสนทนาทั้งหมดระหว่างตัวเองกับโค่วเจิง เหมียวอี้ก็บอกว่า “นี่ก็เป็นเหตุผลที่ข้ามาที่นี่ แม้จะรู้แจ่มแจ้งว่าคนของสำนักหลัวช่าจะมาหาข้า แต่ข้าก็ยังมาคนเดียว เพราะอยากจะรบกวนให้สำนักหลัวช่าให้ความร่วมมือสักหน่อย อย่าให้คนร่าเรื่องที่น้ำพุวังเวงเกิดขึ้นเพราะข้า ไม่อย่างนั้นตำหนักสวรรค์ไม่มีทางปล่อยข้าไปแน่”
อวี้หลัวช่าแววตาวูบไหว “ในเมื่อหวาดกลัวขนาดนี้ เหตุใดจึงต้องพัวพันอยู่ที่นี่ แค่หายตัวไปก็สิ้นเรื่องแล้ว เก้าร้อยปีข้าสามารถรอได้ เจ้าแค่ไปกับข้าก็พอ”
เหมียวอี้ตอบว่า “ฮูหยินของข้าอยู่ในมือตระกูลโค่ว ถูกกักบริเวณอยู่ในจวนอ๋องสวรรค์ ถ้าเจ้ามีความสามารถ ก็ช่วยฮูหยินของข้าออกมาจากมือตระกูลโค่วเพื่อรับประกันความปลอดภัยของนางสิ แล้วข้าจะไปกับเจ้าทันที ถ้าเจ้าทำไม่ได้ ก็อย่าพูดอย่างอื่นที่ไร้ประโยชน์ ข้าไม่มีทางตามเจ้าไปหรอก”
อวี้หลัวช่าแสยะยิ้ม “ก็แค่ผู้หญิงคนเดียวเองไม่ใช่เหรอ ไปกับข้า ไม่ว่าเจ้าจะอยากได้ผู้หญิงแบบไหน ข้าก็หาให้เจ้าได้ทั้งนั้น รับรองว่าแต่ละคนสวยกว่าฮูหยินของเจ้าแน่ มีให้เจ้าเล่นทุกวันไม่ซ้ำแบบ รสชาติศิษย์สำนักหลัวช่าของข้า รับรองว่าเจ้าจะติดใจไม่รู้ลืม”
“ศิษย์สำนักหลัวช่าแล้วยังไงล่ะ ต่อให้เจ้าสำนักมาปรนนิบัติด้วยตัวเอง ก็เทียบฮูหยินของข้าไม่ติดหรอก” เหมียวอี้กล่าว
คำพูดดูหมิ่นแบบนี้ไม่ได้ทำให้อวี้หลัวช่าขุ่นเคืองใจ เรื่องระหว่างชายหญิงไม่ได้สำคัญสำหรับนาง ถ้าทำให้นางโมโหได้ก็แปลกแล้ว นางได้ยินแล้วเงียบนิดหน่อย นางย่อมเคยได้ยินเรื่องที่น่านฟ้าระกาติงมาก่อน เพื่อผู้หญิงคนเดียว ไม่น่าเชื่อว่าเจ้าเวรนี่จะกล้าทำกำลังพลครึ่งธงพยัคฆ์ไปสู้กับทัพใหญ่หนึ่งล้าน ช่างไม่กลัวตายจริงๆ ความรักความห่วงใยแบบนี้สำหรับผู้หญิง ตอนที่นางได้ยินครั้งแรกก็ซาบซึ้งอยู่บ้างเหมือนกัน
แต่ถ้าจะให้นางพาตัวออกมาตอนนี้ เจ้าคิดว่าจวนอ๋องสวรรค์โค่วที่น่าเกรงขามนั่นตั้งไว้ประดับเฉยๆ เหรอ? ถ้ารอตอนหลังแล้วค่อยๆ วางแผน ตรงหน้านางมีด่านที่ต้องข้ามผ่านไปให้ได้
“แล้วข้าจะรู้ได้ยังไงว่าที่เจ้าพูดเป็นเรื่องจริงหรือเปล่า?” อวี้หลัวช่ากล่าวเสียงเรียบ ทว่าในดวงตามีสง่าราศีเป็นพิเศษ
“เจ้าจะให้ข้าพิสูจน์ยังไงล่ะ? เจ้าไม่เชื่อ…” เสียงพูดของเหมียวอี้ช้าลง มองนางอย่างตะลึงงัน ลมหายใจเริ่มปั่นป่วน
บนใบหน้างามเย็นชาดุจหยกสลักของอวี้หลัวช่าเริ่มเผยรอยยิ้ม เป็นยิ้มเดียวสะท้านใจอย่างแท้จริง นางแลบลิ้นออกมาเลียริมฝีปากเบาๆ นิ้วเรียวลูบไล้บนใบหน้าตัวเองอย่างช้าๆ ลงมาแหวกคอเสื้อออกบางส่วน เผยให้เห็นกระดูกไหปลาร้าขาวเนียนหมดจด บางครั้งริมฝีปากก็พึมพำบางสิ่งที่กระตุ้นให้คนใจสั่น
นางหยุดเพียงเท่านี้ ไม่ได้ทำอะไรเกินกว่านี้อีก แต่กลับทำให้เหมียวอี้รู้สึกแตกต่างออกไป ไม่น่าเชื่อว่าจะยั่วราคะและความเย้ายวนยิ่งกว่าเม่ยจีและบรรดาศิษย์ของสำนักหลัวช่าเสียอีก เหมือนกับอยู่ริมน้ำตกในป่าแล้วเห็นสาวน้อยที่งามเลิศในปฐพีคนหนึ่งกำลังถอดเสื้อผ้าเตรียมอาบน้ำ ความบริสุทธิ์ของฉากนั้นทำให้คนหวั่นไหวเช่นนี้ ราวกับชั่วพริบตาเดียวก็เข้ามาประทับในใจคนได้แล้ว และยิ่งกระตุ้นให้คนรู้สึกปรารถนาอยากครอบครองทำให้อดใจไม่ไหวอยากจะดึงเข้ามาไว้ในอ้อมกอด
เหมียวอี้ลุกขึ้นยืนโดยจิตใตสำนึก ในดวงตามีเพียงอวี้หลัวช่า และในขณะที่เขารู้สึกร้อนบริเวณท้องน้อยและกลืนน้ำลายอย่างกระหาย ความรู้สึกเย็นซาบซ่านก็แผ่จากแผ่นหลังเข้ามาในสมอง ตอนที่กล้วยไม้สำรวมใจที่กินไว้ล่วงหน้าเพิ่งออกฤทธิ์ เคล็ดวิชาอัคนีดาราในร่างกายกลับสัมผัสได้ก่อนแล้วหนึ่งก้าว เคล็ดวิชาโคจรด้วยตัวเอง สงบจิตสำรวมใจ ช่วยให้เขากลับมามีสติก่อนแล้ว
ชั่วพริบตานี้ เหมียวอี้ที่ได้สติกลับมาแอบตกใจ ตระหนักได้ทันทีว่าตัวเองตกหลุมพรางแล้ว พบว่าป้องกันไม่ชนะจริงๆ ไม่น่าเชื่อว่าผู้หญิงคนนี้จะไม่ต้องแต่งตัวเปิดเผยหรือเต้นระบำมารสวรรค์ยั่ว แค่ใช้สายตากับลีลานิดหน่อยก็ยั่วให้คนเหม่อลอยได้แล้ว พลังระดับนี้ตกใจจริงๆ เกรงว่าคงน่ากลัวว่าท่วงท่าระยำเย้ายวนใจเสียอีก ตอนนี้เขาพอจะเข้าใจแล้วว่าทำไมผู้หญิงคนนี้จึงไม่แต่งตัวเปิดเผยเหมือนลูกศิษย์ในสำนัก
เพียงแต่เหมียวอี้ได้สติกลับมาเพียงชั่วครู่เท่านั้น จากนั้นก็เข้าไปใกล้อวี้หลัวช่าอย่างช้าๆ ด้วยสีหน้ากระหายอยากครอบครอง
อวี้หลัวช่าทำท่ายั่วยวนเล็กน้อย หลังจากเหลือบไปเห็นในดวงตาเหมียวอี้ฉายแววตื่นตัว แววตาออดอ้อนของนางก็ค่อยๆ เย็นเยียบลง รอยยิ้มบนใบหน้าเริ่มหายไปทีละนิด หยุดทำท่ายั่วยวนแล้วเช่นกัน
ทั้งสองอยู่ไม่ห่างกันมาก ในที่สุดเหมียวอี้ก็เข้ามาใกล้แล้ว กางแขนสองข้างโน้มกอดอวี้หลัวช่า สูดดมคอที่ขาวหมดจดของนางราวกับหมูดุนอาหาร มือสองข้างก็ยิ่งลูบไล้ทั้งข้างล่างข้างบน หน้าอกและก้นย่อมไม่ปล่อยผ่าน เขาไม่เกรงใจ ออกแรงบีบนวดเต็มที่ เพราะไม่ต้องเสียเงินแลกมา สุดท้ายก็แหวกคอเสื้อของอวี้หลัวช่าลงมาเสียเลย
ใครจะคิดว่าตอนที่เพิ่งแหวกคอเสื้ออวี้หลัวช่าลงมาถึงหน้าอก ไหล่งามและหน้าอกขาวเพิ่งโผล่ออกมาได้ครึ่งเดียว ก็ถูกพลังบางอย่างสะเทือนออกมาแล้ว จากนั้นก็ตามติดด้วยเงาฝ่ามือ
เพี้ยะ! เสียงตบบ้องหูดังสนั่นหวั่นไหว ตามด้วยแสยะยิ้มของอวี้หลัวช่า “เล่นละครได้เนียนเชียวนะ!”
เหมียวอี้ที่โดนตบจนหน้าแดงเอามือปิดหน้า จู่ๆ ได้ยินนางพูดแบบนี้ เขารู้สึกอึ้งนิดหน่อย ตัวเองแสดงละครไม่เนียน โดนจับได้แล้ว เอามือลูบใบหน้าที่ร้อนผ่าวแล้วหัวเราะแห้งๆ “เหอะๆ! ระบำมารสวรรค์ร้ายกาจจริงๆ ข้าเกือบจะเอาไม่อยู่แล้ว โชคดีที่กินกล้วยไม้สำรวมใจล่วงหน้า เจ้ามองออกได้ยังไง?”
อวี้หลัวช่าดึงคอเสื้อขึ้นมา จัดเสื้อผ้าใหม่ให้เรียบร้อย “ยังต้องมองออกอีกเหรอ? แค่อยากจะทดสอบว่าเจ้าซื่อสัตย์หรือเปล่า ขนาดระบำมารสวรรค์ยังควบคุมเจ้าไม่ได้เลย แล้วยังจะควบคุมอะไรเจ้าได้? ตอนนี้พิสูจน์แล้วว่าเจ้าไม่น่าเชื่อถือจริงๆ ด้วย!”
มือยังติดกลิ่นหอม มือที่เหมียวอี้เคยลูบไล้มาก่อนค่อนข้างน่าอาย ขนาดตัวเองคิดแล้วยังอาย ไม่น่าเชื่อว่าจะได้ลวนลามพุทธะหน้าหยกแล้ว
แต่ไม่นานก็รู้สึกว่าตัวเองคิดมากไป สำหรับอีกฝ่าย บางทีอาจไม่นับเป็นเรื่องสำคัญอะไรเลย นึกถึงบทสนทนาระหว่างตานฉิงกับเสวี่ยอวี้ที่น้ำพุวังเวงชั้นห้า แขกที่เข้ามาใช้บริการอวี้หลัวช่าเหมือนมีเยอะจนนับไม่ถ้วน “เหอะๆ ถ้าปกป้องชีวิตตัวเองได้ก็ย่อมต้องระมัดระวังหน่อย”
“หึหึ!” อวี้หลัวช่าจัดเสื้อผ้าให้เรียบร้อยแล้วแสยะยิ้ม แล้วจู่ๆ ก็จีบนิ้วรูปดอกกล้วยไม้ตรงหน้าอก พลังอิทธิฤทธิ์ซัดกระเพื่อมพักหนึ่ง
เหมียวอี้ทำสีหน้าระแวดระวังทันที ไม่รู้ว่าผู้หญิงคนนี้ต้องการจะทำอะไร
จู่ๆ นิ้วที่จีบเป็นรูปดอกกล้วยไม้ก็กลายเป็นเงานิ้วแบบต่างๆ จีบนิ้วเป็นมุทราหลากหลายแบบจนคนตาลาย แล้วอวี้หลัวช่าก็อ้าปาก แลบลิ้นอ่อนสีแดงสดออกมา เงานิ้วหยุดชะงัก ปลายเล็บของนิ้วชี้วาดผ่านปลายลิ้นสีแดง วาดจนบาดลิ้น มีหยดเลือดสีแดงสดซึมออกมาเล็กน้อย
นิ้วชี้ตั้งตรงหน้าอก บนปลายนิ้วมีไข่มุกเลือดเปล่งแสงสีแดงอ่อนๆ ลิ้นที่ถูกเล็บบาดถูกเก็บกลับเข้าไปในปาก อวี้หลัวช่าจ้องเหมียวอี้อย่างเย็นเยียบ
เหมียวอี้ถอยหลัง แล้วกล่าวเสียงต่ำ “เจ้าอย่านึกนะว่าได้แผนที่ไปแล้วจะสามารถหาสมบัติลับเจอ”
พรึ่บ! เงาร่างของอวี้หลัวช่าแฉลบเข้ามาแล้วทะยานขึ้นฟ้า โบยบินราวกับดอกบัวขาว ฝ่ามือข้างหนึ่งกดลงมาจากฟ้า พลังอิทธิฤทธิ์ที่เรียบง่ายกดจนเหมียวอี้ราวกับแบกภูเขาใหญ่ไว้ กระดิกกระเดี้ยไม่ได้เลย
อวี้หลัวช่าที่เหาะถอยหลังลงจากฟ้ามีหยดเลือดอยู่บนปลายนิ้ว โจมตีโดนยอดศีรษะของเหมียวอี้อย่างรวดเร็ว แสงสีขาวสายหนึ่งกะพริบอยู่ระหว่างปลายนิ้วกับยอดศีรษะเหมียวอี้
เหมียวอี้ที่เจ็บลึกถึงกระดูกตัวสั่นทันที
หลังจากไข่มุกเลือดเข้าไปในกะโหลกเหมียวอี้แล้ว ลำแสงก็จางหายไป อวี้หลัวช่าถอนมือกลับมา แล้วหมุนตัวเหาะไปเหยียบลงพื้น
เหมียวอี้ทุเลาจากความเจ็บปวดมหาศาล ยกมือขึ้นลูบศีรษะ มือเต็มไปด้วยเลือด พอร่ายอิทธิฤทธิ์ตรวจภายใน ก็พบว่าเส้นเลือดฝอยในสมองเปล่งแสงสีแดงอ่อนๆ แต่แสงสีแดงก็หายไปเร็วมาก เหมียวอี้อดไม่ได้ที่จะหันกลับมามองอย่างโกรธแค้น “เจ้าทำอะไรกับข้า?”
อวี้หลัวช่าเอียงหน้ามองอย่างเย็นเยียบ “เจ้าจะให้ข้ารอเก้าร้อยปีไม่ใช่เหรอ? โลหิตมารสวรรค์หยดเดียวของข้า ไม่ใช่ว่าทุกคนจะได้มันไปหรอกนะ”
…………………………