พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - บทที่ 1700 เผยโม่ ท่านบุรุษ
ซ่างกวนชิงกำลังจ้องซือหม่าเวิ่นเทียนที่ก้มหน้าก้มตาพลางครุ่นคิด เรื่องบางเรื่องฝ่าบาทตัวอยู่ในสถานการณ์จึงมองไม่กระจ่าง แต่เขาเฝ้าดูวังสวรรค์มานานขนาดนี้ ทำให้รู้แจ้งเห็นจริงว่าสถานการณ์ระหว่างขุนนางทั้งข้างล่างข้างบนเป็นอย่างไร ที่จริงผู้ที่รายงานข่าวได้ถูกรสนิยมฝ่าบาทก็คือเกาก้วนของหน่วยตรวจการขวา แบบนี้ไม่สอดคล้องกับลักษณะการทำงานของซือหม่าเวิ่นเทียนของหน่วยตรวจการซ้าย ปกติแล้วข่าวประเภทนี้ล้วนถูกซือหม่าเวิ่นเทียนกดเอาไว้หมด ทำไมครั้งนี้ถึงรายงานขึ้นมาแล้วล่ะ?
ไม่นานเขาก็ตระหนักอะไรบางอย่างได้ กวาดสายตามองเศษฝุ่นบนพื้นที่เกิดขึ้นหลังจากประมุขชิงบีบแผ่นหยก นึกถึงรายงานสองฉบับที่ส่งขึ้นมาพร้อมกัน ในดวงตาฉายแววแดกดันเล็กน้อย นี่เป็นการยื่นลูกท้อยื่นลูกสาลี่ชัดๆ[1]!
ในขณะนี้เอง คำพูดของโพ่จวินก็กระแทกออกมา ราวกับเสียงฟ้าผ่าทะลุหู ทำให้เขางงเป็นไก่ตาแตก มองโพ่จวินอย่างตะลึงงัน พร้อมด่าในใจว่า ตาแก่นี่จะปล่อยให้ฝ่าบาทดีใจสักหน่อยไม่ได้เหรอ? เจ้าไม่ต้องอยู่ข้างกายฝ่าบาทนานๆ นี่ แต่พวกเราต้องอยู่ข้างกายฝ่าบาทตลอด ถ้าฝ่าบาทอารมณ์ไม่ดีขึ้นมา เจ้ารู้มั้ยว่ารสชาติจะเป็นอย่างไร? ตาแก่เวรตะไลที่สมควรโดนฟันพันดาบ!
ซือหม่าเวิ่นเทียนมุมปากกระตุกเล็กน้อย เอียงหน้ามองโพ่จวินเช่นกัน เจ้าเฮงซวยนี่อุดปากตัวเองไม่อยู่อีกแล้ว!
โพ่จวินโยนแผ่นหยกให้อู๋ฉวี่ที่อยู่ข้างกันอย่างดูถูกเหยียดหยาม ทำเหมือนเป็นของสกปรกอะไรสักอย่าง
อู๋ฉวี่รับของมาอย่างปวดประสาท ขณะที่ร่ายอิทธิฤทธิ์ตรวจอ่านเนื้อหาในแผ่นหยก ก็เหล่ตามองโพ่จวินไปด้วย ในใจแอบทอดถอนใจ ทำไมตาแก่เจ้าอารมณ์นี่ต้องหาเรื่องลำบากใส่ตัว!
เมื่อมองปฏิกิริยาของประมุขชิงอีกครั้ง ก็เป็นอย่างที่คาดไว้ สีหน้าประมุขชิงดำมืดลงแล้ว ระเบิดอารมณ์อย่างฉับพลัน ชี้หน้าโพ่จวินพร้อมแหกปากด่า “ตาแก่น่าตาย คนที่สละชีวิตทำงานให้ข้าเป็นขุนนางโฉดกันหมด ในใต้หล้ามีเจ้าคนเดียวที่เป็นขุนนางจงรักภักดีหรือไง?”
เพิ่งจะได้เห็นพฤติกรรมเกาก้วนที่จวนตระกูลโค่ว เรียกได้ว่าฉีกหน้าโค่วหลิงซวีได้ถึงอกถึงใจ แสดงอำนาจบารมีของประมุขชิงเต็มที่ ทำให้อารมณ์อัดอั้นตันใจเนื่องจากแผนที่เปลี่ยนแปลงของเขาดีขึ้นไม่น้อย ใครจะคิดว่ายังไม่ทันได้ดีใจ ก็ถูกน้ำเย็นสาดใส่หน้าเสียแล้ว รสชาตินั้นช่าง…
โพ่จวินยืดคอเถียงกลับทันที “ตอนนี้สถานการณ์อ่อนไหว ควรจะคำนึงถึงสถานการณ์โดยรวมของฝ่าบาท แต่เกาก้วนกลับยอมทำเรื่องที่กระตุ้นความขัดแย้งเพื่อสายลับคนเดียว บางทีอาจจะแค่เพื่อเอาใจฝ่าบาท แต่กลับมีโอกาสทำให้ใต้หล้ามีเลือดนองกลายเป็นแม่น้ำได้ ทำให้ใต้หล้าที่ฝ่าบาทลำบากไขว่คว้ามาเกิดความวุ่นวายใหญ่โต แบบนี้ไม่เรียกว่าขุนนางหน้าซื่อใจคดหรอกหรือ? แค่เอาใจฝ่าบาทเป็นก็ถือเป็นขุนนางจงรักภักดีกันหมดแล้วหรือไง!”
พอประมุขชิงเจอกับคำพูดของเจ้าหมอนี่ก็ข่มไฟโกรธไม่ไหวทันที ตะคอกอย่างเดือดดาลว่า “เสี่ยงชีวิตไปทำเรื่องนี้ ในสายตาเจ้าเป็นแค่การเล่นละครเอาใจข้างั้นเหรอ? อีกฝ่ายเอาตัวเองเข้าไปเสี่ยงอันตรายเพื่อคนในหน่วยงานตัวเอง แต่ปากเจ้ากลับพูดซะแย่ขนาดนี้! ข้าถามเจ้าหน่อย ในปีนั้นตอนเจ้าปกป้องหนิวโหย่วเต๋อก็กำลังเล่นละครเหมือนกันใช่มั้ย?”
โพ่จวินตอบว่า “สองเรื่องนี้ไม่อาจนำมาเทียบกันได้เลย ฝ่าบาทแต่งงานรับจ้านหรูอี้เป็นสนมสวรรค์ ที่บอกว่าคำนึงถึงสถานการณ์โดยรวมอะไรนั่นล้วนเป็นคำพูดเหลวไหล สุดท้ายก็กลายเป็นความปรารถนาส่วนตัวอยู่ดี หนิวโหย่วเต๋อด่าได้ถูกต้อง ข้างกายฝ่าบาทขาดคนที่กล้าพูดความจริง ถ้าเขาตายไปจะไม่น่าเสียดายหรอกหรือ! พอพูดถึงเรื่องนี้ ข้าน้อยก็จำเป็นต้องพูด ฝ่าบาท ท่านน่ะอยู่ในวังมานาน ถ้าข้างกายไร้คนจริงใจก็จะถูกตบตาได้ง่าย ทุกคนล้วนเอาใจฝ่าบาท ไม่มีใครกล้าพูดความจริงสักคน ถ้าเป็นอย่างนี้นานไปจะไม่แย่หรอกหรือ? ฝ่าบาทตำแหน่งสูงสุดในใต้หล้า มีคนประจบสอพลอเยอะเกินไป ทำให้เลอะเลือนได้ง่าย! ในวังหลังต้องมีผู้หญิงที่ช่วยเบิกเนตรฝ่าบาทจริงๆ สักคน เป็นคนที่สามารถโน้มน้าวฝ่าบาทได้ ไม่ทำให้ฝ่าบาทคิดเองเออเอง ผู้หญิงที่ยึดมั่นใจปณิธานตัวเอง เป็นผู้หญิงที่สามารถดึงสติฝ่าบาทได้ทุกเมื่อ เป็นผู้หญิงที่พูดจาไม่น่าฟังแต่หวังดีต่อฝ่าบาทเสมอ ไม่ใช่ผู้หญิงที่อาศัยแต่น้ำเสียงกับสีหน้าทำให้ฝ่าบาทสำราญ…”
เมื่อได้ยินคำว่าคิดเองเออเอง ยึดมั่นใจปณิธานตัวเอง ประมุขชิงก็เบิกตาโพลง แบบนี้เท่ากับด่าเขาต่อหน้าธารกำนัล เขามองซ้ายมองขวา รอบข้างกลับว่างเปล่า หาของอะไรมาทุ่มใส่คนไม่ได้ สุดท้ายจึงชี้หน้าโพ่จวินตัดบทให้เลิกพูดพล่อย แล้วคำถามเสียงดังอย่างเกรี้ยวกราด “ไสหัวไป!”
โพ่จวินยังไม่ยอมหุบปาก อู๋ฉวี่ที่อยู่ข้างกันจึงลงมือห้ามโพ่จวิน กอดโพ่จวินที่ยืนตรงให้เดินไป เพราะวันนี้ด่าเกินไปแล้วจริงๆ ถ้าปล่อยให้อยู่ต่อไปประมุขชิงอาจจะชักดาบออกมาฟันได้
“ตาแก่ปัญญาทึบ! ตาแก่น่าตาย…” ประมุขชิงชี้เขาที่ถูกรวบตัวไปพร้อมด่าไม่หยุด โมโหจนหน้าแดงแล้ว
ซือหม่าเวิ่นเทียนกับซ่างกวนชิงปาดเหงื่อ นี่ก็คือโพ่จวิน ถ้าเปลี่ยนเป็นคนอื่นมาด่าฝ่าบาทอย่างนี้ เกรงว่าคงโดนฟันหัวหลุดแล้ว เดชานุภาพสวรรค์จะถูกจาบจ้วงได้ง่ายๆ ได้อย่างไร โพ่จวินสามารถรอดไปได้ครั้งแล้วครั้งเล่าก็นับว่าเป็นเรื่องอัศจรรย์
หลังจากผ่านไปพักใหญ่ ประมุขชิงที่โมโหกระฟัดกระเฟียดถึงได้สงบลง แล้วแสยะยิ้มบอกว่า “ซ่างกวน ทำป้ายคำสั่ง ‘บัญชาใต้หล้า’ ขึ้นมา ข้าจะแจกให้เกาก้วนต่อหน้าทุกคนตอนประชุมราชสำนัก!”
ซือหม่าเวิ่นเทียนกับซ่างกวนชิงสบตากันแวบหนึ่ง นับว่าเข้าใจแล้ว ว่าฝ่าบาททำแบบนี้เพราะ ‘โค่วหลิงซวีบอกว่าคำสั่งนี้เป็นคำพูดปากเปล่าของทูตขวาเกา’
ซ่างกวนยังดีหน่อย คิดเพียงว่าวิธีการของเกาก้วนได้ใจราชันสวรรค์ไปอย่างลึกซึ้ง ได้อำนาจเพิ่มขึ้นอีกขั้น เกรงว่าในการสืบคดีต่อจากนี้จะไร้ความเกรงกลัวยิ่งกว่าเดิมแล้ว
ซือหม่าเวิ่นเทียนกลับแอบร้องในใจอย่างขื่นขม การที่ตัวเองยื่นหมู่ยื่นแมว ทำไมกลายเป็นทุ่มหินใส่เท้าตัวเองไปเสียแล้วล่ะ ตอนนี้สมมติถ้าเกาก้วนจะบุกหน่วยตรวจการซ้ายของตน ตนยังจะหาข้ออ้างอะไรมาขัดขวางได้อีก หลังจากนี้ถ้าเกาก้วนถือป้ายคำสั่งฝืนบุกเข้ามา ตัวเองยังจะมีความสามารถหรือความกล้าใดขัดขวางอีก? อีกทั้งยังเหมือนกดหน่วยตรวจการซ้ายไม่ให้โดดเด่นด้วย
สำหรับประมุขชิง กลับคำนึงถึงอีกอย่าง ในเมื่อเป็นดาบดี ก็ต้องลับให้คมแล้วใช้งาน โดยเฉพาะภายใต้สถานการณ์อย่างนี้!
ภูเขาเขียวน้ำใส ทิวทัศน์ธรรมชาติงดงาม คฤหาสน์กำแพงแดงกระเบื้องน้ำเงินหลังหนึ่ง
สายฝนพรำกระทบใบกล้วยนอกหน้าต่างไม่ขาดสาย เผยโม่เอนกายอยู่บนเก้าอี้นอน บนตัวห่มผ้าห่มผืนบาง กำลังมองทิวทัศน์ด้านนอก ฟังเสียงเม็ดฝนหยดบนชายคา ได้อารมณ์ไปอีกแบบ
บนบันไดไม้มีเสียงฝีเท้าเดินขึ้นมา เขาไม่ได้สนใจ นึกว่าเป็นลูกน้องที่คอยปรนนิบัติ หลังจากถูกช่วยชีวิตกลับมาจากตระกูลโค่ว เขาก็ถูกหน่วยตรวจการขวาส่งตัวมาพักรักษาตัวอย่างสงบที่คฤหาสน์ในโลกมนุษย์ ที่นี่มีแต่มนุษย์ธรรมดา ไม่มีใครรู้ถึงตัวตนของเขา ถึงแม้สภาพแวดล้อมจะไม่ได้งดงามเหมือนแดนสวรรค์ แต่ดีที่สงบเงียบไร้การยินดียินร้ายในลาภยศ ทำให้คนอารมณ์สงบได้ง่าย เหมาะสมกับการพักผ่อนรักษาบาดแผลเป็นพิเศษ
เงาคนที่ปรากฏตรงหน้าบังสายตาของเขาที่กำลังมองไปนอกหน้าต่าง ไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นชายเคราหยิกคนหนึ่ง มนุษย์ธรรมดาอาจมองไม่ออก แต่นักพรตแค่มองใบหน้าที่ไร้ชีวิตชีวาและเลือดเนื้อปราดเดียวก็รู้แล้วว่าอีกฝ่ายสวมหน้ากากปลอม
“หา! ท่านบุรุษ ท่านมาได้ยังไง…” เผยโม่ตกใจ แล้วพยายามลุกขึ้นทันที
ชายเคราหยิกยกฝ่ามือกด พลังอิทธิฤทธิ์กลุ่มหนึ่งกดเขาให้นอนกลับลงไป แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงแหบพร่า “เจ้าบาดเจ็บสาหัส ไม่ต้องมากพิธี นอนลงเถอะ เรื่องในครั้งนี้อันตรายมาก ให้เจ้าเสี่ยงชีวิตไปทำ จนเจ้าบาดเจ็บสาหัสขนาดนี้ ลำบากเจ้าแล้ว”
เผยโม่รีบบอกว่า “บาดเจ็บเล็กน้อยไม่เป็นอุปสรรคมากมาย บำรุงไม่นานเดี๋ยวก็ฟื้นฟูแล้ว เพียงแต่ครั้งนี้โชคดีพ้นเคราะห์มาได้ ก็เพราะทูตตรวจการขวาเกาก้วนปรากฏตัวทันเวลา ถ้าไม่ใช่เพราะเขามาทวงคนที่จวนตระกูลโค่วด้วยตัวเอง ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจวนตระกูลโค่วจะไว้หน้าหน่วยตรวจการขวาปล่อยผู้น้อยหรือไม่ เกรงว่าผู้น้อยคงไม่มีโอกาสมาเจอท่านบุรุษอีกแล้ว ในจุดนี้ ผู้น้อยจำเป็นต้องยอมรับ ว่าเกาก้วนปฏิบัติต่อพี่น้องหน่วยตรวจการขวาดีจริงๆ ทุกคนยอมศิโรราบเขาแล้ว เรื่องที่ท่านบุรุษฝากฝัง ข้าว่าใกล้จะสำเร็จแล้ว พอข้าพูดสิ่งที่ท่านบุรุษชี้แนะได้ไม่นาน ถังเฮ่อเหนียนก็ปรากฏตัวแล้ว ข้าเห็นปฏิกิริยาของเขา เหมือนจะได้ยินแล้ว คาดว่า…”
ชายเคราหยิกโบกมือตัดบท “ไม่ต้องพูดรายละเอียดแล้ว ข้ารู้เรื่องนี้หมดแล้ว ครั้งนี้เจ้าทำได้ดีมาก”
รู้แล้วเหรอ? เผยโม่แอบตกใจ ท่านนี้เป็นใครกันแน่?
เขาข่มกลั้นความสงสัยไว้ในใจ “ท่านบุรุษมีอะไรจะกำชับ แค่ใช้ระฆังดาราติดต่อมาโดยตรงก็ได้ ไม่จำเป็นต้องมาด้วยตัวเอง ถ้าถูกคนจับได้เกรงว่าจะส่งผลต่อความปลอดภัยของท่านบุรุษ”
ชายเคราหยิกถอนหายใจ “ที่ข้าเผยตัวมาครั้งนี้ก็เพราะตั้งใจมาเยี่ยมเจ้า เรื่องที่ข้าสั่งให้เจ้าทำครั้งนี้ ในใจข้ารู้สึกผิดจริงๆ เรื่องราวเร่งด่วนถึงได้เกิดกลยุทธ์ชั้นต่ำขึ้นเพราะไม่มีทางเลือก” ขณะที่พูดก็วางกำไลเก็บสมบัติวงหนึ่งบนหน้าอกเผยโม่ “ทรัพยากรฝึกตนเล็กน้อยเพื่อแทนคำขอโทษ”
เผยโม่รีบปฏิเสธ “ไม่ต้องขอรับๆ ครั้งก่อนที่ท่านบุรุษให้ก็เพียงพอให้เผยโม่ใช้ได้นานแล้ว ไม่ต้องสิ้นเปลืองอีกแล้ว”
ชายเคราหยิกดันกลับไป “ข้างในมีของวิเศษชิ้นหนึ่ง ยามหน้าสิ่วหน้าขวานสามารถช่วยปกป้องชีวิตเจ้าได้ เก็บไว้เถอะ ไม่ต้องปฏิเสธอีก ข้ายังมีธุระ ไม่สะดวกจะอยู่นาน บอกลากันตรงนี้ เจ้ารักษาตัวอย่างสงบใจเถอะ”
เผยโม่กำลังจะลุกขึ้นนั่งเพื่อน้อมส่ง แต่ชายเคราหยิกยื่นมือกดบ่าให้เขานอนลง แล้วเงาร่างก็ถลันหายไปท่ามกลางม่านฝนนอกหน้าต่างราวกับสายลม
เผยโม่ถือกำไลเก็บสมบัติอึ้งอยู่นานมาก…
“ในที่สุดก็ถอนทัพแล้วเหรอ?”
ตลาดสวรรค์ ผู้จัดการร้านคนหนึ่งคว้าแขนคนงานที่วิ่งเข้ามารายงานสถานการณ์
พนักหน้าพยักหน้าซ้ำๆ “ใช่แล้วขอรับ ทัพที่ตั้งอยู่ตรงประตูดวงดาวถอนออกไปแล้ว บอกว่าฝึกกำลังพลเสร็จแล้ว ต้องกลับแล้ว”
“งั้นก็ดี งั้นก็ดี ถ้าฝึกกำลังพลจริงๆ ก็ดี ทำเอาข้านึกว่าจะมีการก่อกบฏ ถ้าเกิดภาวะสงครามขึ้นมา อย่าว่าแต่การค้าขายเลย ไม่ว่าเรื่องอะไรก็มีโอกาสเกินได้ทั้งนั้น ในปีนั้นที่บุกยึดใต้หล้าก็ไม่รู้ว่ามีคนเข้าไปเกี่ยวข้องตั้งเท่าไร ได้ยินว่ามีคนตายนับไม่ถ้วน” ผู้จัดการร้านเอามือตบอกถอนหายใจแรง
“ถอนทัพแล้ว ถอนทัพแล้ว การฝึกจบลงแล้ว”
ในอดีตรุ่งเรืองไร้ที่เปรียบ ตอนนี้กลายเป็นถนนที่ซบเซาแล้ว แต่ก็มีคนวิ่งมาร้องตะโกนด้วยความดีใจอีก
ไม่นานเสียงหัวเราะพูดคุยบนถนนก็ดังเป็นแถบ ส่วนใหญ่เป็นคนของร้านค้าต่างๆ เพราะบนถนนไม่มีแขก
พลทหารที่เฝ้าอยู่บนกำแพงเมืองโล่งอกมาก เอนกายลงกับพื้นทั้งๆ ที่สวมเกราะรบ ถอนหายใจแล้วบอกว่า “ข้าตกใจแทบตายแล้ว”
ทหารสวรรค์ที่เข้ามาล้อมรอบกายพากันนั่งลงแล้วหัวเราะลั่น ตอนนี้ตลาดสวรรค์ถูกควบคุมโดยตำหนักสวรรค์ ถ้าเกิดกบฏจริง ทหารตัวเล็กตัวน้อยในตลาดสวรรค์อย่างพวกเขาก็ไม่รู้ว่าจะมีจุดจบเป็นอย่างไร สรุปก็คือไม่ว่าตลาดสวรรค์จะถูกควบคุมโดยตำหนักสวรรค์หรืออำนาจท้องถิ่น ถ้าเกิดเหตุวุ่นวายขึ้นพวกเขาก็ไม่ได้ประโยชน์อะไร ล้วนเป็นเป้าหมายให้ฝ่ายตรงข้ามปล้นฆ่า
ตลาดผี หลังจากได้ยินข่าวเกาก้วนจากอวิ๋นจือชิวส่ง เหมียวอี้ก็ถอนหายใจอย่างตกตะลึง เจ้าเวรเกาก้วนนี่ช่างเป็นสุนัขรับใช้ของประมุขชิงจริงๆ เจ๋งเกินไปแล้ว ทำเรื่องแบบนี้ได้เป็นปกติเกินไป ไม่ต้องแปลกใจเท่าไรเลย สาเหตุที่เขาทึ่งจริงๆ ก็คือนึกไม่ถึงว่าเกาก้วนจะกล้าฉีกหน้าโค่วหลิงซวีอย่างนี้ ขนาดอยู่ในสถานการณ์อย่างนั้นยังไม่กลัวตายอีก
เขาไม่เก็บเรื่องแบบนี้มาใส่ใจ เขามีอีกเรื่องต้องทำ เขามาที่ตึกศาลาสัตยพรต เป็นฝ่ายมาขอดื่มน้ำชากับเฉาหม่าน
…………………………
[1] ยื่นลูกท้อยื่นลูกสาลี่ 投桃报李 หมายถึงแลกเปลี่ยนผลประโยชน์กัน