พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - บทที่ 1704 สวีถังหรานกดดันมาก
เหมียวอี้งงไปชั่วขณะ จากนั้นก็รีบลุกขึ้นต้อนรับ เดินออกไปนอกประตูแล้วถามอย่างร่าเริง “ฮูหยินจะมาทำไมไม่บอกกันก่อน?”
หลังจากอวิ๋นจือชิวนำกลุ่มสตรีย่อเข่าคำนับ ถึงได้ตอบพร้อมรอยยิ้มว่า “ข้าบอกเจาชิงไว้แล้ว ได้ยินว่าเจ้ากำลังเก็บตัวฝึกวิชา แล้วข้าก็ไม่รู้ด้วยว่าจะมาถึงเมื่อไร เลยไม่ได้ให้เขารบกวนเจ้า ดูท่าวันนี้นายท่านจะอารมณ์ร้อนไม่เบา เจาชิงไม่ทันได้รายงานน่ะสิ!”
“ฮูหยินลำบากมาตลอดทาง พักผ่อนสักหน่อยก็ได้นะ” เหมียวอี้ตอบกลั้วหัวเราะ
“ไม่รีบ!” อวิ๋นจือชิวหันกลับมามบอกผู้คุ้มกันสองคนที่ติดตามมาด้วย “ขอบคุณทั้งสองท่านที่มาส่งตอลดทาง พักผ่อนที่ตลาดผีสักสองสามวันก็ได้ ให้ข้าแสดงไมตรีเจ้าบ้านให้เต็มที่” สองคนนี้คือยอดฝีมือที่จวนตระกูลโค่วส่งมาคุ้มกัน ถึงแม้เหมียวอี้จะแสดงท่าทีชัดเจนแล้ว แต่ถึงอย่างไรอวิ๋นจือชิวก็ได้ชื่อว่าเป็นบุตรสาวบุญธรรมของโค่วหลิงซวี ย่อมปล่อยให้เกิดเรื่องกับอวิ๋นจือชิวระหว่างทางไม่ได้อยู่แล้ว การส่งคนมาคุ้มกันก็นับเป็นเรื่องที่สมเหตุสมผล
“ขอบคุณเจตนาดีของคุณหนูเจ็ด พวกเราสองคนต้องรีบกลับไปรายงานผลงการปฏิบัติงาน ไม่กล้ารบกวน ขอกล่าวอำลาตรงนี้” ทั้งสองกุมหมัดคารวะ
อวิ๋นจือชิวพยักหน้า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ก็ไม่ฝืนใจกันแล้ว หากทั้งสองว่าง วันหลังข้าจะขอบคุณอีกที เจาชิง ไปส่งแทนข้าหน่อย ตอนกลับมาถือโอกาสพาคนข้างนอกเข้ามาด้วย”
“ขอรับ!” หยางเจาชิงก้าวขึ้นมายื่นมือเชิญทันที “เชิญขอรับ!” จากนั้นพาทั้งสองออกไป
“ข้างนอกยังมีคนอีกเหรอ เป็นใครกัน? ทำไมไม่พาเข้ามาโดยตรงเลย?” เหมียวอี้กลับถามอย่างแปลกใจ
“ผู้คุ้มกันไม่รู้จักพวกเขา พิสูจน์ตัวตนไม่ได้ ข้าก็เลยให้พวกเขารออยู่ข้างนอกชั่วคราว พอได้รับอนุญาตจากนายท่านแล้วค่อยเข้ามาก็ยังไม่สาย” คำพูดถัดจากนั้นก็เหมือนจะพูดให้ทุกคนคนที่อยู่ตรงนั้นฟัง อวิ๋นจือชิววางมือสองข้างตรงหน้าท้อง ดวงตางามกวาดมองทุกคน แล้วกล่าวเสียงต่ำด้วยท่าทางภูมิฐาน “กฎก็คือกฎ จะทำลายกฎไม่ได้ ในเมื่อกำหนดไว้แล้วว่าผู้ที่ไม่เกี่ยวข้องห้ามเข้าจวนแม่ทัพภาคโดยพลการ เช่นนั้นก็เฝ้าประตูไว้ให้ดี อย่านำคนเข้ามาซี้ซั้ว”
ทุกคนที่อยู่ตรงนั้นหัวใจกระตุกวูบ ต่างก็ฟังออกแล้วว่าในคำพูดของฮูหยินซ่อนเข็มเอาไว้ กำลังเตือนทุกคนว่าให้เคารพกฎ
ทุกคนไม่ได้พบกันนานแล้ว เดิมทีการได้มาพบกันอีกครั้งก็ถือเป็นเรื่องน่ายินดี ผลปรากฏว่าพอมาถึงก็อาศัยฐานะตัวเองโอ้อวดบารมี ฮูหยินคนนี้ของตนช่างทำให้คนพูดไม่ออกจริงๆ เหมียวอี้เอามือลูบจมูก
ผ่านไปไม่นาน หยางเจาชิงก็นำคนกลุ่มหนึ่งเข้ามาพร้อมใบหน้าเจือรอยยิ้ม มีสิบกว่าคน ล้วนเป็นคนที่คุ้นหน้าคุ้นตากัน บัณฑิต พ่อครัว ช่างหิน ช่างไม้ ผีจวินจื่อและคนอื่นๆ ล้วนมาด้วย
“ได้ยินว่า ‘โถงชุมนุมอัจฉริยะ’ ของนายท่านกำลังรับคน ระหว่างทางข้าก็เลยแวะเลี้ยวเปลี่ยนทางสักหน่อย ถือโอกาสพาลูกน้องคนสนิทมาด้วย” อวิ๋นจือชิวหันกลับมาบอกสวีถังหราน “รองหัวหน้าภาคสวี เมื่อครู่นี้ตอนอยู่ตรงประตูข้าได้ยินนายท่านบอกว่าให้เจ้ารับผิดชอบเรื่องรับคนเข้าโถงชุมนุมอัจฉริยะ เจ้าช่วยตั้งใจดูให้หน่อย ดูว่าคนที่ข้าพามาเหมาะสมจะเข้าร่วม ‘โถงชุมนุมอัจฉริยะ’ หรือเปล่า?”
“เอ่อ…” สวีถังหรานอึ้งไปชั่วขณะ ยังไม่รีบตอบอะไร ชำเลืองปฏิกิริยาของเหมียวอี้ก่อน เสร็จแล้วถึงได้รีบตอบว่า “เหมาะสมๆ เหมาะสมแน่นอนขอรับ ลูกน้องคนสนิทของฮูหยินย่อมเหมาะสมที่สุดอยู่แล้ว โถงชุมนุมอัจฉริยะต้องเหมือนเสือติดปีกแน่นอน!”
เหมียวอี้ตะลึงงันพูดไม่ออก บัณฑิต พ่อครัว ช่างหิน ช่างไม้และคนอื่นๆ พากันมองมาที่เขา บางก็ยิ้มบางๆ บ้างก็ยิ้มเจ้าเล่ห์ บ้างก็หัวเราะร่า
ขณะมองใบหน้าคุ้นตาทั้งหลายที่อยู่ตรงหน้า เขาก็รู้สึกราวกับได้ย้อนวันวานที่ทะเลทรายม่านเมฆา เหมือนได้กลับไปอยู่ในโรงเตี๊ยมเมฆาวายุอีกครั้ง เขาอดไม่ได้ที่จะทอดถอนใจ ที่แท้ชั่วพริบตาเดียวก็ผ่านไปนานขนาดนี้แล้ว แต่รอยยิ้มของคนพวกนี้ยังไม่เปลี่ยน ยังเป็นเหมือนเคย
ตอนที่โถงชุมนุมอัจฉริยะกำลังก้าวเดินอย่างยากลำบาก ตอนที่ไม่มีใครเข้ามาสมัคร แต่จู่ๆ อวิ๋นจือชิวก็นำคนพวกนี้มา อาจไม่นับว่ามีกำลังเยอะเท่าไร แต่การสนับสนุนนี้กลับทำให้เหมียวอี้รู้สึกอบอุ่นในใจ
เขาผ่านตำแหน่งมามากมาย เคยเป็นผู้นำของลูกน้องมากมาย แต่หลายคนที่เคยติดตามเขาก็หายไปแล้ว ส่วนคนตรงหน้าพวกนี้กลับทำให้เหมียวอี้จำต้องยอมรับ ว่าในด้านการคุมคนอวิ๋นจือชิวเก่งกว่าเขามาก ต้องทราบไว้ว่าคนพวกนี้เดิมทีไม่ใช่พวกเดียวกัน มีลัทธิมารกับลัทธิอู๋เลี่ยง ได้อวิ๋นจือชิวเก็บพวกเขาไว้ที่ทะเลทรายท่านเมฆา คนมากหน้าหลายตาปะปนกัน แต่หลังจากติดตามอวิ๋นจือชิวแล้ว ไม่ว่าอวิ๋นจือชิวจะผ่านเหตุการณ์เปลี่ยนแปลงอะไร คนพวกนี้ก็ล้วนติดตามอวิ๋นจือชิวมาตลอดด้วยความจงรักภักดี ต่อให้บุกน้ำลุยไฟก็ตาม
เขาเห็นกับตาตัวเองที่โรงเตี๊ยมเมฆาวายุ ว่าอวิ๋นจือชิวทั้งด่าทั้งตีคนพวกนี้ แต่คนพวกนี้เวลาโดนตีก็ไม่มีใครบ่นด่าสักคน ยังทำหน้าทะเล้นยินยอมต่อไป เหมียวอี้ยอมรับว่าอย่างน้อยตัวเองก็ไม่มีความสามารถนี้ สวีถังหรานเองก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น
“เจาชิง หาที่พักให้พวกเขาก่อนก็แล้วกัน” อวิ๋นจือชิวเอ่ยสั่ง
หยางเจาชิงเอ่ยรับคำสั่ง แล้วเขากับหลินผิงผิงก็เรียกคนกลุ่มนี้ออกไป
หลังจากต่างคนต่างอาบน้ำแต่งตัวเก็บของเข้าที่พักแล้วเฟยหง เชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์ก็ออกมาจากห้องส่วนตัวของท่านแม่ทัพภาค ไม่นานคนที่เดินผ่านข้างนอกก็ได้ยินเสียงหยอกล้อของคู่รักดังแว่วมาจากข้างใน…
“เฮ้อ! ผ่อนคลายจัง ไม่เจอกันนาน ฝีมือฮูหยินพัฒนาขึ้นนะเนี่ย!”
“เชอะ! น่าไม่อาย บอกมาซะดีๆ ตอนที่ข้าไม่อยู่ ได้ออกไปแหวกหญ้ารดน้ำดอกไม้บ้างรึเปล่า”
“ข้าเป็นคนประเภทนั้นเหรอ?”
“โถ่! งั้นคนที่อยู่ตำหนักดาวกลางนั่นน่ะ เจ้าช่วยอธิบายหน่อยสิว่ามันคืออะไร”
“…”
แดนอเวจี ดาวอู๋เลี่ยง ในตึกศาลา หยางชิ่งที่เพิ่งจะได้ผ่อนคลายเอนกายอยู่บนเก้าอี้นอน ในมือถือระฆังดาราออกมาอันหนึ่ง
จากเบาะแสของแต่ละฝ่าย คำพูดของตระกูลโค่วเหมือนจะได้ผลจริงๆ คลื่นลมเรื่องออกล่าที่น้ำพุวังเวงเหมือนจะผ่านไปแล้ว วิเคราะห์ตามข่าวที่ได้รับมา การที่คลื่นลมของเรื่องนี้ผ่านไป ก็ยังมีอีกหลายจุดที่ทำให้หยางชิ่งคิดไม่ตก ไม่น่าเชื่อว่าหลังจากจบเรื่องแล้วก็ไม่มีใครมาหาเหมียวอี้อีก สิ่งนี้เหนือความคาดหมายของเขาจริงๆ เหมือนจะมีมือที่มองไม่เห็นมากลบช่องโหว่ทุกอย่างจนหมด ในระหว่างนั้นเกิดเรื่องอะไรที่ตนไม่รู้หรือเปล่า เขาเองก็ไม่รู้ว่าจะเริ่มตัดสินจากตรงไหน
ในที่สุดสถานการณ์ก็สงบลงแล้ว หยางชิ่งโล่งใจชั่วคราว ในที่สุดก็ได้เดินออกจากสวนตะวันตกแล้ว
ถึงแม้คลื่นลมเรื่องออกล่าที่น้ำพุวังเวงจะผ่านไปแล้ว แต่เหมียวอี้ก็ดันทำเรื่อง ‘โถงชุมนุมอัจฉริยะ’ ขึ้นมาอีก เขาติดตามเรื่องนี้ผ่านคนของหกลัทธิที่ตลาดผีมาตลอด การตัดสินใจนี้เหมียวอี้ไม่ได้บอกเขาล่วงหน้า เขาเองก็ไม่สะดวกจะบอกว่าเหมียวอี้ทำผิดไปแล้วหรือเปล่า เหมียวอี้อาจจะมีแผนสำรองอะไรหรือเปล่าก็ไม่รู้ ดังนั้นจึงทำได้เพียงจับตาดูเงียบๆ
วิธีการอยู่ร่วมกับเหมียวอี้ในปัจจุบัน ทำให้เขาเองก็เปลี่ยนแปลงตัวเองไปเยอะเช่นกัน เวลาไหนที่ข่มใจได้ก็พยายามข่มใจ เขาพบว่ามีเรื่องมากมายที่เมื่ออยู่บนตัวเหมียวอี้แล้วจะใช้หลักการเหตุผลตามปกติมาตัดสินไม่ได้ ก็เหมือนเรื่องล่าสัตว์ที่น้ำพุวังเวงครั้งนี้ หลายเรื่องที่เขาคาดเดาว่าจะเกิดขึ้นก็ไม่เกิดขึ้นเลยสักเรื่อง เขาพบว่าเหมียวอี้ดวงดีจนน่าประหลาด ขนาดทำแบบนี้ก็ยังผ่านด่านได้งั้นเหรอ?
หลังจากรอไปครึ่งปีกว่า ก็ยังไม่เห็น ‘โถงชุมนุมอัจฉริยะ’ มีความคืบหน้าอะไร เขาถึงได้แน่ใจว่าเหมียวอี้อาจจะไม่มีแผนสำรองอะไร คาดว่าคงเป็นเรื่องที่คิดขึ้นมาได้ชั่วขณะนั้น
แต่เขาก็ไม่รีบ กำลังรออยู่ และกำลังครุ่นคิดแผนรับมือเช่นกัน
จนกระทั่งตอนนี้ พอได้ยินว่าอวิ๋นจือชิวกลับจวนแม่ทัพภาคตลาดผีแล้ว ก็รู้ว่าผู้หญิงที่สามารถคุมเหมียวอี้ให้สงบกลับมาแล้ว เขาถึงได้หยิบระฆังดาราออกมาติดต่อหยางเจาชิงและถามเรื่อง ‘โถงชุมนุมอัจฉริยะ’
หลังจากติดต่อได้ก็ถามว่า : เรื่องรับสมัครคนเข้าโถงชุมนุมอัจฉริยะเป็นยังไงบ้างแล้ว?
หยางเจาชิงตอบอย่างจนใจ : ตอนนี้ยังไม่มีใครสักคน เมื่อไม่นานก่อนหน้านี้โดนนายท่านตำหนิไปยกหนึ่ง ตอนนี้นายท่านโยนเรื่องนี้ให้สวีถังหรานมีอำนาจจัดการทั้งหมด ให้เวลาสวีถังหรานสิบปี ถ้าไม่เห็นประสิทธิภาพงานก็จะเอาเรื่องเขา
หยางชิ่ง : นายท่านยังตามีแวว เรื่องนี้ควรจะให้สวีถังหรานจัดการ เจ้าหมอนั่นทำมาหากินที่พิภพใหญ่มานานนับว่าไม่เสียแรงเปล่า งูมีเส้นทางของงู หนูมีเส้นทางของหนู วิธีการที่ผิดศีลธรรมมีมากมาย ขอเพียงนายท่านยอมกดดันเขา เขาย่อมมีวิธีการอยู่แล้ว ให้เขาหาคนคงจะไม่มีปัญหา ปัญหาเดียวก็เกรงว่าคนที่เขาเรียกมาจะมีทั้งดีเลวปะปนกัน
หยางเจาชิงได้ยินแล้วขำ รู้สึกว่าเรื่องราวเหมือนจะเป็นอย่างนี้ จึงถามอย่างกังวลตามไปด้วยเช่นกัน : แล้วจะทำยังไงดีล่ะ? ถ้าได้สายลับแต่ละตระกูลมาก็จะยุ่งแล้ว
หยางชิ่ง : ได้ยินว่าลูกน้องเก่าที่โรงเตี๊ยมเมฆาวายุของฮูหยินก็มากันหมดแล้วเหรอ?
หยางเจาชิง : ใช่แล้ว
หยางชิ่ง : เป็นอย่างที่คาดไว้ ตอนนี้ฮูหยินพาคนพวกนี้มา คงจะยัดเข้าโถงชุมนุมอัจฉริยะหมดแล้วล่ะสิ?
หยางเจาชิงยอมเจ้าหมอนี่แล้ว ชอบทำตัวราวกับเป็นเทพเจ้า มีหลายเรื่องที่เดาถูกแล้วถูกอีก แซ่เดียวกันแท้ๆ แต่ทำไมแตกต่างกันมากขนาดนี้นะ เขาตอบว่า : ใช่แล้ว พอฮูหยินมาถึงก็ยัดคนพวกนี้เข้าโถงชุมนุมอัจฉริยะหมด
หยางชิ่ง : งั้นก็ไม่ต้องห่วงแล้ว ตอนนี้ในมือฮูหยินยังไม่มีงานอื่นให้ทำพอดี ด้วยฐานะลูกสาวบุญธรรมของอ๋องสวรรค์โค่ว จะไปทำการค้าขายก็ไม่สะดวก ไม่เมื่อจับลูกน้องคนสนิทยัดเข้าโถงชุมนุมอัจฉริยะหมดแล้ว ฮูหยินก็ไม่มีทางนิ่งดูดาย คงเป็นฝ่ายเสนอตัวแบ่งเบาภาระนายท่านเรื่องโถงชุมนุมอัจฉริยะ ส่วนสายลับที่อาจจะหลุดเข้ามาก็เลี่ยงไม่ได้ แต่มีฮูหยินจับตาดูเองน่าจะไม่เกิดปัญหาใหญ่อะไร ฮูหยินมีวิธีการใช้คนอยู่แล้ว อาจจะจัดการเรื่องโถงชุมนุมอัจฉริยะได้เหมาะสมกว่านายท่านเสียอีก
ทั้งสองคุยกันอีกนิดหน่อยแล้วก็หยุดการติดต่อแล้ว
เรื่องจริงได้พิสูจน์แล้วว่าหยางชิ่งเดาไม่ผิด ไม่กี่วันหลังจากนั้น หยางเจาชิงก็พบว่าอวิ๋นจือชิวให้ความสนใจกับโถงชุมนุมอัจฉริยะแล้ว เรียกสวีถังหรานไปถามเป็นระยะ ถามเขาว่ามีแผนอะไรกับโถงชุมนุมอัจฉริยะบ้าง มักจะถามจนสวีถังหรานเหงื่อกาฬซึมหน้าผาก รู้สึกกดดันมาก
ที่จริงสำหรับสวีถังหรานแล้ว การเผชิญหน้ากับอวิ๋นจือชิวทำให้เขากดดันกว่าเผชิญหน้ากับเหมียวอี้อีก ประการแรกเป็นเพราะอวิ๋นจือชิวมีอิทธิพลต่อเหมียวอี้มาก ส่วนใหญ่มีอำนาจตัดสินใจแทนเหมียวอี้ ตัดสินอนาคตของเขาได้เหมือนกัน ประการต่อมาคือเขาเข้าใจนิสัยเหมียวอี้แล้วจึงรับมือได้อย่างชำนาญ แต่ฮูหยินแม่ทัพภาคท่านนี้มักจะกึ่งยิ้มกึ่งไม่ยิ้มกับคำพูดประจบสอพลอของเขา ทำเอาสวีถังหรานกินปูนร้อนท้องมาก เขาถึงได้ยุให้เสวี่ยหลิงหลงเมียของเขาไปสานสัมพันธ์กับอวิ๋นจือชิวบ่อยๆ
ครั้งนี้เห็นกับตาอีกแล้วว่าสวีถังหรานเดินปาดเหงื่อออกไปจากโถงใหญ่ หยางเจาชิงแอบขำอย่างอดไม่ได้
อวิ๋นจือชิวที่ออกจากโถงใหญ่กลอกตามอง สายตาไปหยุดอยู่ที่หยางเจาชิง แล้วพูดหยอกว่า “เอ หลินผิงผิงกลับมาครั้งนี้คงทำให้เจาชิงของพวกเราดีใจล่ะสิ อยู่ดีๆ ก็แอบยืนหัวเราะอยู่คนเดียว”
พอพูดอย่างนี้ เชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์ที่ยืนอยู่ซ้ายขวาก็เม้มปากหัวเราะ ล้วนเป็นคนที่มีประสบการณ์ทั้งนั้น ฟังเข้าใจความหมายแล้ว
หยางเจาชิงทำสีหน้าอึดอัดเห้อเขินทันที แล้วทำความเคารพ “ฮูหยิน!”
อวิ๋นจือชิวกล่าวด้วยใบหน้าอมยิ้ม “นายท่านกำลังเก็บตัวฝึกวิชา ถ้าเจ้าสะดวก มีเรื่องอะไรก็เล่าให้ข้าฟังได้”
หยางเจาชิงลองนึกดู แล้วสุดท้ายก็รายงานสิ่งที่หยางชิ่งบอก เขาไม่ได้คิดจะปิดบัง ไม่ใช่เรื่องสำคัญเร่งด่วนอะไร เดิมทีเตรียมจะรอให้เหมียวอี้โผล่มาก่อนแล้วค่อยบอก ตอนนี้ในเมื่ออวิ๋นจือชิวถามแล้ว เขาก็ตอบไปโดไยม่คิดอะไรมากเช่นกัน
อวิ๋นจือชิวเงียบไปพักหนึ่ง จากนั้นก็ถอนหายใจเบาๆ เหมือนจะปลงนิดหน่อย จากนั้นก็เหมือนนึกอะไรขึ้นได้อีก ดวบตางามวูบไหว ถามซักไซ้ว่า “เรื่องโถงชุมนุมอัจฉริยะ นายท่านไม่ได้ปรึกษากับหยางชิ่งเหรอ?”
หยางเจาชิงงงนิดหน่อย แล้วตอบว่า “ไม่ทราบขอรับ แต่ฟังจากที่หยางชิ่งบอกก็เหมือนจะไม่ได้ปรึกษานะ”
…………………………