พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - บทที่ 1707 ต้องขอความร่วมมือจากเจ้า
ออกจากโถงใหญ่มาได้ไม่นาน มู่หรงซิงหัวก็เจอคนสนิทเก่าในลานบ้าน สวีถังหราน!
“มู่หรง?” สวีถังหรานอึ้งไปชั่วขณะ “เป็นเจ้าจริงเหรอ? เจ้ามาได้ยังไง?”
เขาไม่รู้ว่ามู่หรงซิงหัวมาแล้ว เขามีธุระมารายงานเหมียวอี้ นับว่าบังเอิญเจอกันแท้ๆ
เป็นเพราะอยู่ในตลาดผีอย่างสงบไม่ได้แล้ว ถ้าทำทุกอย่างได้ดั่งใจก็ไม่มีใครอยากยุ่งยาก แต่เหมียวอี้โยนเรื่องรับสมัครคนเข้าโถงชุมนุมอัจฉริยะให้เขาแล้ว กดดันให้เขาต้องครุ่นคิดให้ดี ตอนนี้ฝั่งเหมียวอี้เจออุปสรรคแล้ว เขาเองก็รู้ว่าตอนนี้เรื่องกำลังพลสำคัญมาก เหมียวอี้ส่งมอบภารกิจสำคัญขนาดนี้ให้เขา ถ้าทำพังขึ้นมาเขาก็รู้ว่าจะมีผลกระทบเยอะมาก ยิ่งไปกว่านั้นงานที่เหมียวอี้เคยส่งให้เขาทำ จนกระทั่งตอนนี้ยังไม่เคยทำพังมาก่อนเลย เรื่องร้านค้าที่ตลาดผีก็โทษเขาไม่ได้
ส่วนข่าวลือต่างๆ ข้างนอก ถึงแม้จะสอดคล้องกับความจริง แต่เขาก็ไม่ได้คิดแบบนี้ ตอนแรกกังวลว่าเหมียวอี้จะก้าวผ่านด่านขุนนางใหญ่ของตำหนักสวรรค์ไม่ได้ แต่พอมาดูตอนนี้แล้ว ถึงแม้สถานการณ์จะไม่ค่อยดี แต่ขนาดด่านยากอย่างขุนนางใหญ่ตำหนักสวรรค์ยังผ่านไปได้เลย เขามีส่วนร่วมอยู่ในนั้นด้วย จึงรู้ว่าเหมียวอี้ใช้อุบายบางอย่างอยู่เบื้องหลังถึงได้ผ่านด่านอันตรายนี้ไปได้ ขนาดด่านยากอย่างนั้นยังผ่านไปได้ แล้วนับประสาอะไรกับด่านยากตรงหน้าล่ะ?
ดังนั้นเขาจึงมั่นใจในตัวเหมียวอี้มาก ถ้าตัวเองจัดการเรื่องที่มีความสำคัญในครั้งนี้ได้ดี ก็จะได้สร้างผลงานใหญ่อีกชิ้น ส่วนเหมียวอี้ที่ได้อำนาจอิทธิพล เขาเองก็จะเหมือนเรือที่ขึ้นสูงตามน้ำไปด้วย ดังนั้นเขาจึงอยากจัดการงานในครั้งนี้ให้ดี แต่ถ้าจะให้เขานั่งรอคนอยู่ที่นี่ ก็ไม่มีใครเข้ามาสมัครอยู่ดี ภายใต้ความจนใจ เขาจึงติดต่อหวงเสี้ยวเทียนที่อยู่ทางตลาดมืดแล้ว รองแม่ทัพภาคตลาดผีท่านนี้เตรียมจะออกโรงรับสมัครคนเข้าโถงชุมนุมอัจฉริยะด้วยตัวเอง เวลาสิบปีจะว่าช้าก็ช้า จะว่าเร็วก็เป็นเรื่องเพียงชั่วพริบตาเดียวเท่านั้น ไม่รีบไม่ได้หรอก
สำหรับท่านนี้ มู่หรงซิงหัวก็ไม่รู้ว่าควรจะนับถือหรือจะอิจฉาดี ตอนแรกม่คนมากมายที่ไม่อยากติดตามนายท่านไป แม้แต่พวกฝูชิงก็ยังไม่ไปเลย มีเพียงเขาคนนี้ที่ตามติดนายท่านมาตลอด กอดขานายท่านแน่นไม่ยอมปล่อย กลายเป็นสุนัขวิ่งเต้นที่โด่งดังที่สุดข้างกายนายท่าน ผลก็คือตอนอยู่ตลาดสวรรค์เลื่อนจากผู้บัญชาการเป็นรองผู้บัญชาการใหญ่ เลื่อนจากผู้บัญชาการใหญ่เป็นรองแม่ทัพภาค ได้ยินว่ายศถึงเกราะม่วงสามแถบแล้ว ยศสูงกว่านายท่านเสียอีก ใช้เวลาเพียงไม่กี่ปีก็เลื่อนยศได้เร็วจนเหลือเชื่อ ส่วนนางในตอนนี้ก็เป็นเพียงรองผู้บัญชาการใหญ่คนหนึ่งเท่านั้น เมื่อได้พบกันอีก ระดับของทั้งสองก็แตกต่างกันขนาดนี้แล้ว ช่างทำให้คนรู้สึกสะท้อนใจจริงๆ
“นายท่านสวี ได้ยินว่า ได้ยินว่าเลื่อนขั้นเป็นรองแม่ทัพภาคแล้ว ขอแสดงความยินดีกับอนาคตไว้ตรงนี้”มู่หรงซิงหัวทำความเคารพ
คำพูดนี้เกาถูกจุดที่สวีถังหรานคันพอดี ฟังแล้วสบายใจ นี่ก็คือเรื่องที่เขาภาคภูมิใจที่สุดในหลายปีมานี้ ในปีนั้นคนพวกนี้อยู่ที่ตลาดสวรรค์ต่อ ส่วนใหญ่ยังย่ำอยู่ที่เดิม ถึงอย่างไรก็ผ่านไปหลายปีแล้ว อยู่ที่ตำหนักสวรรค์หลายพันปีหมื่นปีกว่าจะได้เลื่อนขั้นสักครั้งเป็นเรื่องปกติมาก ที่มากกว่านั้นคือทั้งชีวิตอาจจะไม่มีโอกาสเลื่อนขั้นเลย อย่างไรเสียยิ่งตำแหน่งสูงก็ก็ยิ่งมีน้อยลงเรื่อยๆ เป็นไปไม่ได้ที่จะให้ทุกคนเลื่อนขั้นทั้งหมดได้ แต่สวีถังหรานล่ะ ผ่านไปไม่เท่าไรเอง เลื่อนขั้นไปแล้วตั้งกี่ครั้ง?
สำคัญที่สุดก็คือ เขาได้มหาเคล็ดวิชารวมศูนย์แล้ว!
แน่นอน ปากเขายังคงพูดถ่อมตัว กอปรกับรู้ว่าอีกฝ่ายมาเพราะเหมียวอี้ จึงกล่าวอย่างสุภาพว่า “มู่หรง เจ้าเป็นสหายเก่าของข้า พูดอะไรพวกนี้เหมือนเป็นคนนอกแล้ว ตำแหน่งรองแม่ทัพภาคแค่ฟังดูดีเฉยๆ หรอก เบื้องล่างมีลูกน้องไม่เท่าไรเอง เทียบเจ้าไม่ติดเลย เออใช่ แล้วนี่เจ้ามาได้ยังไง?”
ต่อให้มู่หรงซิงหัวจะรีบกลับสักแค่ไหน แต่ในเมื่อเจอกันแล้วก็จะต้องรำลึกวันเก่าๆ กับเขาสักหน่อย ทั้งสองจึงยังไม่รีบร้อนไปไหน เลี่ยงไม่ได้ที่จะพูดคุยกันสักหน่อย
ส่วนอวิ๋นจือชิวพอรอแขกออกไปแล้ว ก็ติดต่อกับฝั่งลัทธิมารลับหลังเหมียวอี้ทันที ให้คนไปตรวจสอบทันทีว่ามู่หรงซิงหัวพูดจริงหรือไม่ ที่สำคัญคือเวลาที่นางเลิกกับเฉาว่านเสียง ถ้าเลิกกันนานแล้วก็ยังดีหน่อย แต่ถ้าเพิ่งเลิกได้ไม่นาน เช่นนั้นนางก็ต้องเคลือบแคลงในอยู่บ้าง สงสัยว่ามีคนอยากจะแทรกสายลับเข้ามาหรือเปล่า เพราะเหตุผลนี้นางจึงต้องตรวจสอบ
สวีถังหรานต้องการออกโรงรัยสมัครคนเข้าโถงชุมนุมอัจฉริยะด้วยตัวเอง เหมียวอี้ปลื้มอกปลื้มใจมาก ยอมยอมทุ่มเทความพยายามเพื่อทำงานก็ดี เหมียวอี้อนุญาตแล้ว แต่ต้องจัดการค่าใช้จ่ายทุกอย่างด้วยตัวเอง
สวีถังหรานจนใจมาก ให้ตนควักกระเป๋าตัวเองเพื่อทำงานอีกแล้ว โชคดีที่หลายปีมานี้กอบโกยได้ไม่น้อย ไม่อย่างนั้นคงจ่ายไม่ไหวแน่นอน…
ส่วนแผนเด็ดของหยางชิ่ง ต่อให้เด็ดแค่ไหนก็ต้องให้คนไปปฏิบัติการ หลังจากเหมียวอี้ครุ่นคิดได้สองสามวัน สุดท้ายก็ตัดสินใจได้แล้ว ติดต่อผังก้วนเทพประจำดาวฟ้าเถาะแล้ว
พอเอ่ยปากก็ย่อมต้องทักทายก่อน : เทพประจำดาว เรื่องลูกชายเจ้าน่ะ ได้โปรดระงับความเศร้าใจเถิด
ผังก้วนไม่พูดคุยกับเขาเรื่องนี้ : ไม่มีทางที่เจ้าจะติดต่อข้ามาโดยไม่มีธุระอะไร ว่ามาเถอะ พูดมาเถอะ มีเรื่องอะไร? แต่ข้าขอบอกไว้ก่อนเลยนะ เรื่องรับคนเข้าโถงชุมนุมอัจฉริยะของเจ้า ข้าช่วยเจ้าไม่ได้หรอก ไม่มีทางออกหน้าช่วยเจ้าได้ด้วย
เหมียวอี้ : เรื่องนี้ข้าพอจะเข้าใจได้ ข้าแค่อยากจะถามสักหน่อย ว่าเมื่อไรข้าจะเข้าไปที่แดนมรณะดึกดำบรรพ์ได้อีก?
เจ้าคิดว่าข้าไม่อยากเหรอ? ผังก้วนตำหนิตอบว่า : ตอนนี้เจ้าสะดุดตาเกินไป ตอนนี้ยังไม่ใช่เวลา ข้าว่าเจ้าหยุดพักสักหน่อยได้มั้ย? ทำไมเอาแต่ก่อเรื่องครั้งแล้วครั้งเล่า? มีคนจับตาดูเจ้าเยอะขนาดนั้น ตอนนี้ต่อให้เจ้าอยากจะเข้าแดนมรณะดึกดำบรรพ์แต่ก็ไม่มีทางแล้ว
เหมียวอี้แอบด่าในใจ แบบนี้ก็ถูกแล้วไง ก็ต้องดึงเจ้าลงมาด้วย ถ้าไม่มีเรื่องอะไรเกี่ยวข้องกับข้าแล้ว เจ้าสามารถเอาสมบัติจากแดนมรณะดึกดำบรรพ์ได้อย่างราบรื่น เกรงว่าเจ้าจะเป็นคนแรกที่ปิดปากข้าล่ะสิ? แน่นอนว่าเขาพูดอะไรแบบนี้ออกมาไม่ได้ ทำได้เพียงตอบอย่างจนใจ : ข้าก็ไม่อยากเหมือนกัน แต่ชอบมีคนบีบให้ข้าตายนี่สิ! เทพประจำดาว ข้ามีเรื่องบางอย่างจะสืบจากเจ้า
เรื่องแดนมรณะดึกดำบรรพ์เป็นข้ออ้างทั้งนั้น ประโยคสุดท้ายต่างหากที่เป็นประเด็นหลัก
ผังก้วน : มีเรื่องอะไร?
เหมียวอี้ : นอกจากการประชุมราชสำนักที่ตำหนักสวรรค์ ช่วงนี้ยังมีงานอะไรที่ขุนนางใหญ่ของตำหนักสวรรค์จะมารวมตัวกันมั้ย? ยกตัวอย่างเช่นจัดที่อุทยานหลวง
ผังก้วน : เจ้าถามเรื่องนี้ทำไม? คงไม่ก่อเรื่องอะไรอีกใช่มั้ย?
เหมียวอี้ : ด้วยสถานการณ์ในตอนนี้ ถ้าทุกคนปล่อยข้าไปได้ ข้ายังจะไม่ดีใจอีกเหรอ นอกเสียจากจะเบื่อหน่ายการมีชีวิตอยู่แล้วข้าถึงจะหาเรื่องใส่ตัว
ผังก้วนเงียบไปพักหนึ่ง ก่อนจะตอบว่า : ตอนนี้น่าจะไม่มีงานอย่างนั้น ที่ยืนยันได้ก็คืองานเลี้ยงอุทยานหนึ่งพันปีครั้งหน้าแล้ว แต่หลังจากนี้อีกสองปียังมีโอกาสอีกครั้ง แต่ข้าก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน
งานเลี้ยงอุทยานที่จัดหนึ่งพันปีต่อครั้งนานเกินไปแล้ว ตระกูลโค่วไม่มีทางรอนานขนาดนั้นถึงถอนกำลังออกไป อีกสองปีหลังจากนี้ยังพอพิจารณาได้ จึงถามซักไซ้ว่า : อีกสองปีหลังจากนี้ยังมีโอกาสอะไร?
ผังก้วน : ถ้าจำไม่ผิด อีกสองปีหลังจากนี้น่าจะเป็นวันเกิดครบห้าแสนปีของเซี่ยโห้วท่า พอฉลองวันเกิดเซี่ยโห้วท่าผ่านไปแล้ว ถ้ายังไม่มีทางบรรลุถึงระดับวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ได้ คาดว่าคงไม่มีโอกาสจัดงานวันเกิดอีกหนึ่งแสนปีข้างหน้าแล้ว มีความเป็นไปได้ว่าฝ่าบาทจะจัดงานเลี้ยงให้เซี่ยโห้วท่าที่อุทยานหลวง ถึงตอนนั้นขุนนางใหญ่ของตำหนักสวรรค์น่าจะมากันหมด แต่สี่อ๋องสวรรค์จะปรากฏตัวหรือไม่ก็ไม่ใจแล้ว
งานวันเกิดเซี่ยโห้วท่า? เหมียวอี้ทำสีหน้าครุ่นคิด
หลังจากนั้นหลายวัน เหมียวอี้ที่ยืนยันจากข่าวแล้วเห็นด้วยกับการคาดเดาของผังก้วน จึงปรึกษารายละเอียดกับหยางชิ่งอีกพักหนึ่ง
ถึงแม้แผนการจะเด็ด แต่การปฏิบัติคือกุญแจสำคัญ ถ้าลงมือไม่ได้ต่อให้แผนเด็ดขนาดไหนก็ไร้ประโยชน์ ถ้าเปลี่ยนเป็นคนทั่วไปหยางชิ่งก็ไม่กล้านำแผนนี้มาใช้เลยจริงๆ แต่ถ้าเปลี่ยนให้เหมียวอี้ลงมือแผนนี้แล้ว เขาก็ยังมีความมั่นใจมากว่าจะสำเร็จ ประการแรกเป็นเพราะเหมียวอี้แก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าเก่งมาก ประการต่อไปมาเป็นเพราะเหมียวอี้กล้าหาญเกินใคร และกุญสำคัญข้อสุดท้ายก็คือ ความแค้นระหว่างเหมียวอี้กับขุนนางใหญ่ตำหนักสวรรค์ต่างหากที่เป็นกุญแจสำคัญต่อความสำเร็จของเรื่องนี้
หลังจากทั้งสองกำหนดรายละเอียดทีละขั้นตอนเรียบร้อยแล้ว เหมียวอี้ก็ออกจากตลาดผี โดยพาเฟยหงไปด้วยกัน พาฟยหงวนเที่ยวชมธรรมชาติบนดาวเคราะห์ที่งดงามดวงหนึ่ง
เฟยหงอารมณ์ดีมีความสุข เรียกได้ว่าคนงดงามกว่าบุปผา ขั้นตอนชีวิตอันสุขสำราญระหว่างนางกับเหมียวอี้ก็ย่อมไม่ต้องพูดถึง
เมื่อเที่ยวเล่นได้ไม่กี่วัน ทั้งสองก็มาถึงทะเลทรายแห่งหนึ่งที่ไร้มนุษย์ดำรงชีวิต ยืนดูพระอาทิตย์ตกดินกับนางบนเนินทราย
บนเนินทรายกว้างใหญ่ไร้ขอบเขตที่สูงต่ำไม่เสมอกันย้อมด้วยสีทองระยิบระยับ ทั้งสองชื่นชมบรรยากาศเงียบๆ ทิวทัศน์งดงามเช่นนี้ทำให้เฟยหงมีสีหน้าเคลิบเคลิ้ม
ขณะลำแสงระยิบระยับค่อยๆ หายไปจากทะเลทรายอันกว้างใหญ่ เหมียวอี้ถอนหายใจเบาๆ “เฟยหง!”
“คะ!” เฟยหงหายเหม่อลอยแล้วหันกลับมามองเขา
“มีเรื่องบางอย่างอาจต้องให้เจ้าช่วย” เหมียวอี้กล่าว
“เหตุใดนายท่านพูดเช่นนี้ มีเรื่องอะไรก็กำชับข้าได้เลยค่ะ” เฟยหงกล่าวพร้อมรอยยิ้ม
“ข้ากลัวเจ้าจะเข้าใจผิดว่าข้ากำลังหลอกใช้เจ้า ข้าเลยไม่รู้ว่าควรจะเอ่ยปากยังไง” เหมียวอี้บอก
“นายท่านคิดมากไปแล้ว ด้วยสถานการณ์ของเฟยหงในตอนนี้ การมีค่าให้นายท่านหลอกใช้ได้ การช่วยเหลือนายท่านได้ต่างหากคือสิ่งที่เฟยหงดีใจที่สุด ไม่อย่างนั้นเฟยหงก็รู้สึกว่าตัวเองเป็นเหมือนขยะที่ไร้ประโยชน์” เฟยหงกล่าว
เหมียวอี้โบกมือไปข้างหลัง วางเก้าอี้ยาวตัวหนึ่งบนเนินทราย แล้วจูงมือเรียวสวยของเฟยหงมานั่งลงด้วยกัน ก่อนจะกล่าวเสียงต่ำอย่างช้าๆ ว่า “ช่วงนี้ได้ข่าวมาข่าวหนึ่ง ว่าอีกสองปีหลังจากนี้จะเป็นงานวันเกิดห้าแสนปีของเซี่ยโห้วท่า มีความเป็นไปได้สูงว่าฝ่าบาทอาจจะจัดงานให้เซี่ยโห้วท่าที่อุทยานหลวง ถึงตอนนั้นข้าอยากจะไปที่อุทยานหลวง”
“นายท่านอยากจะไปอวยพรงานวันเกิดให้ท่านปู่สวรรค์เซี่ยโห้วเหรอคะ?” เฟยหงแปลกใจ
เหมียวอี้ส่ายหน้า “ไม่ใช่ ข้าเองก็หวังว่าถึงตอนนั้นจะได้โผล่หน้าไปอวยพรวันเกิด แต่ตอนนี้ข้าไม่ใช่แม่ทัพภาคอุทยานหลวงแล้ว แต่เป็นแม่ทัพภาคตลาดผี ไม่มีสิทธิ์เข้าอุทยานหลวงเลยตระกูลโค่วเองก็คงไม่มีทางพาข้าไปอีก พอคิดไปคิดมา มีแค่แม่เฒ่าลวี่เท่านั้นที่ทำให้ข้าเข้าไปได้อย่างราบรื่น เจ้าก็เลยต้องใช้ความพยายามกับแม่เฒ่าลวี่นิดหน่อย”
ยังนึกว่าเป็นเรื่องยากอะไรเสียอีก ที่แท้ก็เรื่องนี้นี่เอง เฟยหงกล่าวอย่างลังเล “ข้ากับแม่เฒ่าลวี่มีความสัมพันธ์ที่ไม่เลว ถ้านายท่านอยากเข้าไปที่อุทยานหลวงเฉยๆ แม่เฒ่าลวี่ก็ยังมีคนไว้หน้าอยู่บ้างนิดหน่อย ไม่ต้องรอให้ถึงวันงานเลี้ยงท่านปู่สวรรค์เซี่ยโห้วก็ได้”
เหมียวอี้ส่ายหน้าอีกครั้ง “เจ้าไม่เข้าใจความคิดของข้า ข้าเพียงอยากเข้าอุทยานหลวงในงานวันเกิดเซี่ยโห้วท่าเท่านั้น”
“เกรงว่าตอนนั้นอุทยานหลวงจะป้องกันเข้มงวดมาก เข้าไปไม่ได้ง่ายๆ แล้ว” เฟยหงลังเลนิดหน่อย
“จึงต้องขอความร่วมมือกับเจ้าได้” เหมียวอี้
“นายท่านจะให้ข้าทำอะไรคะ?” เฟยหงถาม
“ข้าจำที่เจ้าเคยบอกได้ ว่าทุกๆ ปีเจ้ากับแม่เฒ่าลวี่จะติดต่อกันหนึ่งครั้ง เพื่อไม่ให้คนสงสัย ตอนนี้ยังเหลือเวลาอีกสองปี เจ้าต้องปรับเวลาติดต่อสักหน่อย ติดต่อไปก่อนงานวันเกิดเซี่ยโห้วท่าสักระยะ เหลือเวลาว่างให้พวกเราไปอุทยานหลวง” เหมียวอี้กล่าว
“ทำอย่างนี้ได้เหรอคะ?” เฟยหงสงสัย
เหมียวอี้บอกว่า “กุญแจสำคัญก็คือเจ้าอยู่ในฐานะสายลับของหน่วยตรวจการซ้าย ตอนนี้ยังมีคนมากมายจับตาดูข้าอยู่ รวมทั้งหน่วยตรวจการซ้ายด้วย ดังนั้นหน่วยตรวจการซ้ายไม่ปล่อยให้เจ้าหมดบทบาทข้างกายข้าง่ายๆ ถ้าระหว่างข้ากับเจ้าเกิดรอยร้าวอะไร คนที่มีความสัมพันธ์ที่ดีที่สุดกับเจ้าก็คือแม่เฒ่าลวี่ ถึงตอนนั้นเมื่อเจ้ากับข้าไปเยี่ยมแม่เฒ่าลวี่อีกครั้ง มีการแทรกแซงจากหน่วยตรวจการซ้ายสักหน่อย การเข้าไปพักอุทยานหลวงก็ไม่น่าจะมีปัญหา!”
เฟยหงงงนิดหน่อย แต่เหมือนจะเข้าใจอะไรบางอย่างแล้ว ลองถามดูว่า “นายท่านต้องการให้ข้าได้รับความไม่ยุติธรรมนิดหน่อยเหรอคะ?”
เหมียวอี้มองนางพร้อมพยักหน้าเบาๆ “ลำบากเจ้าแล้ว”
เฟยหงพยักหน้าเบาๆ “ไม่เป็นไรค่ะ แค่แสดงละครเท่านั้นเอง กลัวก็แค่จะแสดงละครไม่ดีเท่านั้น นายท่านโปรดชี้แนะด้วยว่าจะควรจะทำยังไงไม่ให้ผิดพลาด”
เหมียวอี้บอกรายละเอียดทันทีว่าต้องทำอย่างไรบ้าง หลังจากเฟยหงฟังเข้าใจแล้วก็รู้สึกอบอุ่นในหัวใจ เอนกายซบอกเหมียวอี้อย่างช้าๆ นางเข้าใจแล้วจริงๆ ว่าเหมียวอี้ทำอย่างนี้ก็เพื่อปกป้องนาง เพื่อไม่ให้หน่วยตรวจการซ้ายรู้ว่านางถูกเปิดโปงแล้ว ไม่อย่างนั้นก็ไม่จำเป็นต้องวางแผนรอบคอบขนาดนี้ สามารถทำให้บรรลุเป้าหมายของเหมียวอี้ได้เลย ส่วนเฟยหงจะถูกเปิดโปงหรือไม่ก็ไม่เกี่ยวกันแล้ว
…………………………