พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - บทที่ 1708 กลับอุทยานหลวงอีกครั้ง (2)
แต่จะว่าไปแล้ว การที่เหมียวอี้สร้างชื่อเสียงแบบนี้ กลับเพิ่มความยากในการรับคนเข้าโถงชุมนุมอัจฉริยะให้สวีถังหรานมากขึ้นไปอีก คนนอกย่อมคิดว่า ทำไมต้องทำงานรับใช้คนแบบนี้ด้วย?
ตอนนี้ในใต้หล้ามีอีกเรื่องที่เริ่มร่ำลือกันจนคุ้นหูทุกคน งานเลี้ยงวันเกิดห้าแสนปีของท่านปู่สวรรค์เซี่ยโห้ว ราชันสวรรค์กับราชินีสวรรค์ต้องการจะจัดงานอวยพรวันเกิดให้ท่านปู่สวรรค์เซี่ยโห้วที่อุทยานหลวง
วันมหามงคลขนาดนี้ใกล้เข้ามาแล้ว เหมียวอี้ที่มักระบายอารมณ์เฟยหงก็เหมือนจะควบคุมตัวเองไม่ได้แล้ว ประกาศหย่ากับเฟยหงต่อทุกคนในจวนแม่ทัพภาค โชคดีที่ถูกอวิ๋นจือชิวห้ามไว้
จากนั้นก็ไม่รู้ว่าด้วยสาเหตุอะไร เหมียวอี้กับเฟยหงก็หายไปจากจวนแม่ทัพภาคตลาดผีพร้อมกันอีกครั้ง
จนกระทั่งทั้งสองปรากฏตัวที่น่านฟ้าใกล้เคียงวังสวรรค์และถูกตรวจสอบ เบาะแสของทั้งสองจึงถูกเปิดเผย ข่าวถึงได้ส่งกลับไปที่ตึกศาลาสัตยพรต
“อะไรนะ? ไปที่อุทยานหลวงเหรอ?” เฉาหม่านได้ยินข่าวแล้วงงนิดหน่อย จากนั้นก็ตกใจ ลุกพรวดขึ้นจากด้านหลังโต๊ะยาว “งานวันเกิดนายท่านกำลังจะมาถึง เจ้าบ้านั่นแกล้งบ้าแกล้งโง่มานานขนาดนี้ แต่จู่ๆ มาปรากฏตัวแถวอุทยานหลวงหมายความว่าอะไร?” เขารีบหยิบระฆังดาราออกมาติดต่อทางตระกูลเซี่ยโห้ว
งานวันเกิดเซี่ยโห้วท่า เขามีฐานะเป็นลูกชายแต่กลับไม่สามารถโผล่หน้าไปอวยพรวันเกิดอย่างเปิดเผยได้ แต่ก็ไม่อาจเห็นงานวันเกิดของบิดาตัวเองเกิดความวุ่นวายได้เช่นกัน หนิวโหย่วเต๋อมีนิสัยชอบก่อเรื่อง ยิ่งไปกว่านั้นเขาก็สงสัยมาตั้งแต่แรกแล้วว่าเหมียวอี้แกล้งโง่เพราะมีจุดประสงค์บางอย่าง จู่ๆ ก็ออกจากตลาดผีมาโผล่ที่อุทยานหลวงในเวลานี้ เขาจึงอดไม่ได้ที่จะเฝ้าระวัง เพื่อที่จะป้องกันเหตุไม่คาดคิด จึงต้องให้ทางฝั่งตระกูลเซี่ยโห้วเตรียมตัวไว้สักหน่อย
จวนท่านปู่สวรรค์เซี่ยโห้ว ในสวนต้องห้าม เซี่ยโห้วท่านั่งขัดสมาธิอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่สูงระฟ้า กำลังหรี่ตาฟังรายงานจากเว่ยซู
หลังจากฟังจบ ก็กล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบดุจน้ำไร้คลื่น “รู้แล้ว”
เว่ยซูเห็นเขาไม่สะทกสะท้าน จึงกล้าวเสริมว่า “ความเห็นของคุณชายสามก็คือ ให้ทางนี้รายงานไปที่ตำหนักนารีสวรรค์ทันที ให้ราชินีสวรรค์คิดหาทางไล่หนิวโหย่วเต๋อออกจากอุทยานหลวง จะได้ไม่ทำให้งานเลี้ยงของนายท่านเกิดเหตุไม่คาดคิดอะไร”
“เฮ้อ คิดมากไปแล้ว” เซี่ยโห้วท่าค่อยๆ ลืมตาขึ้น แล้วส่ายหน้าบอกว่า “แค่งานวันเกิดของตาแก่หนังเหนียวคนหนึ่งเท่านั้นเอง ผ่านบุญคุณความแค้นความขัดแย้งมาหลายปีขนาดนี้ ข้าจำเป็นต้องโอ้อวดอะไรอีกเหรอ? เป็นประมุขชิงที่อยากจะสร้างชื่อเสียงของตัวเอง ดึงดันจะสร้างความเคลื่อนไหวใหญ่โตขนาดนี้ มีคนอยากจะคึกครื้นก็ปล่อยให้คึกครื้นไปเถอะ อาศัยหนิวโหย่วเต๋อคนเดียวจะก่อเรื่องได้ใหญ่สักแค่ไหนเชียว นอกเสียงจากจะมีคนอื่นกระโดดออกมาช่วยเท่านั้นแหละ แบบนั้นกลับน่าสนุกด้วยซ้ำ พวกเราเฝ้ารอที่จะรู้จักมือผลักที่อยู่เบื้องหลังเขามาตลอดไม่ใช่เหรอ? แต่ช่วยไม่ได้ที่อีกฝ่ายซ่อนไว้ลึกเกินไป ถ้างานเลี้ยงนี้สามารถทำให้มือผลักที่อยู่เบื้องหลังเปิดเผยออกมาได้ เช่นนั้นก็คุ้มค่าเหมือนกัน ส่งข่าวบอกเจ้าสามว่าอย่าตื่นตูม ฟ้าไม่ถล่มหรอก ฝั่งนี้มีแผนการในใจแล้ว”
“ขอรับ!” เว่ยซูเอ่ยรับ แล้วตอบกลับระฆังดาราในมือ
“หนิวโหย่วเต๋อไปอุทยานหลวงแล้วเหรอ?” โค่วหลิงซวีที่อยู่ในจวนอ๋องสวรรค์โค่วได้ยินแล้วอึ้งชั่วขณะ ก่อนจะหันกลับมาถาม
“หนิวโหย่วเต๋อปรากฏตัวที่อุทยานหลวงเหรอ?” อิ๋งจิ่วกวงที่อยู่ในจวนอ๋องสวรรค์อิ๋งกำลังนั่งเล่นหมากล้อมกับตัวเอง พอได้ยินก็อดไม่ได้ที่จะเงยหน้าถามอย่างงุนงง
“หนิวโหย่วเต๋อไปโผล่ที่อุทยานหลวงได้ยังไง?” ฮ่าวเต๋อฟางที่นั่งทำงานอยู่ในจวนอ๋องสวรรค์ฮ่าวประหลาดใจ ถามซูอวิ้นอีกว่า “หรือว่าตระกูลโค่วพาเข้าไป?”
“อุทยานหลวง? ทำไมเขาถึงเข้าอุทยานหลวงได้? ตระกูลโค่วคงไม่ถึงขั้นทรยศสัญญาอย่างเปิดเผยหรอกมั้ง?” ก่วงลิ่งกงที่อยู่ในจวนอ๋องสวรรค์ก่วงก็ถามอย่างฉงนใจเช่นกัน
หลังจากเหมียวอี้โผล่หน้าที่อุทยานหลวงอย่างเปิดเผย พวกขุนนางใหญ่ของตำหนักสวรรค์ก็แทบจะทยอยกันได้รับข่าวภายในช่วงเวลาเดียวกัน
ทะเลเขียวชอุ่มของป่าไม้สูงระฟ้าในอุทยานหลวง ที่แห่งนี้มีชื่อว่าสวนกลางเขียวขจี เป็นที่พักของแม่เฒ่าลวี่นั่นเอง
ที่นี่มีเพียงกระท่อมมุงจากจำนวนหนึ่ง ไม่มีสิ่งปลูกสร้างใดๆ ที่ประดับตกแต่งสวยหรูฟุ่มเฟือย ส่วนใหญ่อาศัยโพรงของต้นไม้ใหญ่ทำเป็นที่พัก สภาพแวดล้อมรอบข้างเขียวชอุ่มงดงามเป็นพิเศษ เมื่อตัวอยู่ที่นี่ก็เหมือนทั้งร่างกายและจิตใจเต็มไปด้วยชีวิตชีวา
ใต้ต้นไม้โบราณขนาดใหญ่ต้นหนึ่ง เหมียวอี้กับเฟยหงไปคำนับแม่เฒ่าลวี่ด้วยกัน
แม่เฒ่าลวี่ที่กำลังถือไม้เท้ามองทั้งสองด้วยแววตาสับสน นางรู้ว่าเฟยหงเป็นสายลับของหน่วยตรวจการซ้าย ถ้าเหมียวอี้จะหย่ากับเฟยหง ที่จริงก็เป็นเรื่องดีกับเหมียวอี้เอง แต่นางกลับต้องออกหน้าไกล่เกลี่ย ไม่รู้เหมือนกันว่าเป็นการทำให้ทั้งสองปรารถนาหรือทำร้ายทั้งสอง
เหมียวอี้ต้องการจะทิ้งเฟยหง แต่อย่างไรเสียเฟยหงก็ยังมีครอบครัวในนามอยู่ ถ้าครอบครัวฝ่ายหญิงอ่อนแอถึงขั้นพูดอะไรต่อหน้าลูกเขยไม่ได้ เช่นนั้นก็ทำได้เพียงปล่อยให้ลูกเขยทำตามอำเภอใจ เพราะไม่ว่าบ้านไหนก็ต้องการคำชี้แจงทั้งนั้น ไม่ให้เจ้านึกจะแต่งก็แต่ง นึกจะเลิกก็เลิกตามใจชอบหรอก
“เจ้าต้องการจะเลิกกับลูกสาวข้าแล้ว ข้าก็ไม่เชิญเจ้าเข้ามานั่งก็แล้วกัน วันนี้คุยเรื่องนี้ให้ชัดเจนเถอะ” แม่เฒ่าลวี่กระทุ้งไม้เท้ากับพื้นจนเกิดเสียงหนักทึบ แล้วก็กวักมือเรียกเฟยหงเข้ามา ลูบศีรษะเฟยหง เฟยหงก็ได้แต่ก้มหน้ากัดปากเงียบๆ
ที่จริงแม่เฒ่าลวี่ก็ไม่อยากข้องเกี่ยวกับเรื่องนี้อีกต่อไปแล้ว แต่หน่วยตรวจการซ้ายบอกมา ว่าให้นางพยายามไกล่เกลี่ยสุดความสามารถ แต่ทุกวันนี้ท่าทีของหน่วยตรวจการซ้ายค่อนข้างคลุมเครือ เหมือนไม่อยากฝืนใจเช่นกัน ไกล่เกลี่ยได้ก็ไกล่เกลี่ย แต่ถ้าหมดหนทางแล้วเหมียวอี้ยังดึงดันจะเลิก ก็ให้เขาเลิกไปเสีย
ใครจะคิดว่าหลังจากเหมียวอี้ลังเลอยู่พักหนึ่ง กลับกุมหมัดคารวะบอกว่า “ระหว่างทางที่มาข้าก็ทบทวนตัวเองหลายครั้ง เฟยหงไม่ได้ทำอะไรผิด แต่เป็นตัวข้าเองที่ช่วงนี้สภาพจิตใจเกิดปัญหา หนิวโหย่วเต๋อขออภัยที่ก่อนหน้านี้ประพฤติไม่เหมาะสมกับเฟยหง รับรองว่าหลังจากนี้จะไม่ทำอีกแล้ว ขอคืนคำพูดเหลวไหลก่อนหน้านี้ ขอให้แม่เฒ่าและเฟยหงอภัยให้ข้าตรงนี้!”
“…” แม่เฒ่าลวี่ตะลึงค้างคาที่ คำพูดไกล่เกลี่ยที่เตรียมไว้เรียบร้อยจุกอยู่ในอก นึกไม่ถึงว่าเหมียวอี้จะยอมรับผิดทันทีที่เจอหน้ากัน
สาเหตุที่เหมียวอี้กลับคำอย่างไม่ลังเลแบบนี้ก็ย่อมมีเหตุผล เพราะตอนที่เฟยหงรายงานสถานการณ์ให้หน่วยตรวจการซ้ายรู้ ก็สังเกตได้เช่นกันว่าหน่วยตรวจการซ้ายไม่ได้มีท่าทีเห็นความสำคัญของเหมียวอี้เหมือนเมื่อก่อนอีกแล้ว ถ้าดีกันได้ก็ดีกัน ถ้าดีกันไม่ได้ อย่างมากก็แค่ให้เฟยหงกลับหน่วยตรวจการซ้ายไปใช้งานอย่างอื่น
เหมียวอี้ย่อมเข้าใจว่ามูลค่าของตัวเองเริ่มลดลงแล้ว เบื้องบนตั้งใจจะปล่อยเขา ไม่จำเป็นต้องลงทุนกับเขาอีก ถ้าตัวเองยังเสแสร้งต่อเจตนา แล้วแม่เฒ่าลวี่ยอมตอบตกลงขึ้นมา แบบนั้นก็จะกลายเป็นแสดงความโง่แล้วจริงๆ เกรงว่าคงจะถูกไล่ออกจากอุทยานหลวงในทันที แบบนั้นไม่เป็นประโยชน์ต่อแผนการในภายหลังของตน พอพบหน้ากันจึงต้องเรียกสติเสียเลย
แม่เฒ่าลวี่อ้าปากค้างไปครู่หนึ่ง นางพูดไม่ออกจริงๆ ทันใดนั้นก็สะบัดแขนสื้อ ในแขนเสื้อมีเถาวัลย์เขียวสะบัดออกมาเหมือนแส้ ฟาดไปบนตัวเหมียวอี้พักหนึ่ง ขณะเดียวกันก็ด่าสั่งสอนไปด้วย “ตัวเองอารมณ์ไม่ดีก็มาระบายกับผู้หญิงของตัวเองแล้วเหรอ ทั้งยังกล้าลงไม้ลงมืออีก เจ้ามันนับเป็นผู้ชายเสียที่ไหนกัน…”
เหมียวอี้ทำได้เพียงอดทนไว้ ยืนให้ฟาดอยู่อย่างนั้นโดยไม่ขยับไปไหน เสื้อผ้าถูกฟาดจนขาดหลุดรุ่ย บนตัวมีรอยเลือดหลายรอย
แม่เฒ่าลวี่กับเฟยหงเคยอยู่ด้วยกันที่สวนกลางเขียวขจีช่วงหนึ่ง เป็นตอนที่เหมียวอี้ถูกทำโทษให้เข้าแดนมรณะดึกดำบรรพ์ ทั้งสองอยู่ด้วยกันนับพันปีแล้ว
หลังจากพอจะเดาสาเหตุที่เฟยหงมาเป็นสายลับได้แล้ว ที่จริงนางก็สงสารเด็กสาวอย่างเฟยหงมาก รู้สึกว่าเด็กสาวคนนี้มีชะตาขื่นขม ไม่ว่าจะเป็นสายลับของหน่วยตรวจการซ้ายหรือไม่ แต่ถ้าในภายหลังยังถูกเหมียวอี้รังแกบ่อยๆ เช่นนั้นนางก็รู้สึกว่าให้เฟยหงหน่วยตรวจการซ้ายเร็วๆ หน่อยก็ยิ่งดี ที่นางใช้แส้ฟาดก็เพราะจะทดสอบปฏิกิริยาของเหมียวอี้ ถ้าเหมียวอี้ทนไม่ได้แม้แต่สิ่งนี้ เช่นนั้นนางจะอาศัยอะไรมาเชื่อว่าในภายหลังเหมียวอี้จะดีต่อเฟยหง? ไม่สู้รีบตัดขาดจะดีกว่า
เมื่อเห็นแสฟาดบนตัวเหมียวอี้ไม่หยุด สุดท้ายเฟยหงก็ทนมองไม่ได้แล้ว รีบมาจับแขนแม่เฒ่าลวี่เอาไว้ “ท่านแม่บุญธรรมดา เขาสำนึกผิดแล้ว ท่านให้อภัยเขาเถอะค่ะ”
แม่เฒ่าลวี่สะบัดแส้ขึ้นฟ้า แสงสีเขียวพลันหดกลับเข้าไปในแขนเสื้อ “ตึง” นางกระทุ้งไม่เท้ากับพื้นอีกครั้ง “หนิวโหย่วเต๋อ ข้าถามเจ้า เจ้ากลับเนื้อกลับตัวจากใจจริงหรือเปล่า?”
เหมียวอี้ที่ถูกตีจนเสื้อขาดหลุดรุ่ยและทั้งตัวเต็มไปด้วยรอยเลือดเอียงหน้ามองเฟยหง จากนั้นโค้งกายกุมหมัดคารวะด้วยสีหน้าจริงใจ “กลับเนื้อกลับตัวจากใจจริง โปรดอภัยด้วย ต่อไปนี้จะไม่ทำผิดอีกแล้ว!”
แม่เฒ่าลวี่มองไปที่เฟยหงอีก ถามว่า “เจ้าเต็มใจจะคืนดีกับเขาอีกครั้งหรือเปล่า?”
เฟยหงกัดริมฝีปากจ้องเหมียวอี้ สุดท้ายก็พยักหน้า แล้วก้าวเข้าไปประคองเหมียวอี้ที่กำลังโค้งตัวให้ยืนตรง ในดวงตาซ่อนความกังวลเอาไว้ ราวกับกำลังถามว่า บาดแผลไม่สาหัสใช่มั้ย?
นี่มันใช่เรื่องเหรอ? แม่เฒ่าลวี่กลอกตามองบน ตัวเองกลายเป็นผู้ร้ายไปโดยเล่าประโยชน์แล้ว นางสะบัดหน้าหนีอย่างกระฟัดกระเฟียดแล้วลอยกลับเข้าไปในโพรงไม้สูง
เฟยหงกับเหมียวอี้ส่งสายตาให้กัน จากนั้นเฟยหงก็หันตัวตามเข้าไปในโพรงไม้
เหมียวอี้ทั้งตัวเต็มไปด้วยบาดแผลและเสื้อผ้าขาดหลุดรุ่ยยืนนิ่งอยู่ที่เดิม
หลังจากรออยู่สงชั่วยามเต็มๆ จนฟ้ามืด ถึงได้เห็นเฟยหงเหาะลงมาจากโพรงไม้อีกครั้ง แล้วรีบสะบัดผ้าคลุมช่วยห่มให้เหมียวอี้ ขณะเดียวกันก็ถ่ายทอดเสียงขอโทษ “แม่เฒ่าลวี่ให้อภัยตั้งนานแล้ว แต่นางดึงข้าไว้ บอกว่าต้องการให้นายท่านยืนรับโทษอีกสักหน่อย”
เหมียวอี้ไม่เป็นอะไรเลย ถ้าเทียบกับความยากลำบากในอดีต นี่ไม่นับว่าเป็นเรื่องใหญ่อะไร ที่เหมียวอี้กังวลก็คือตัวเองจะสามารถอยู่ที่นี่ได้สักระยะหรือไม่ ในดวงตาฉายแววสอบถาม
เฟยหงพยักหน้าเบาๆ เพื่อบอกเป็นนัย ว่าจัดการทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว
…………………………