พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - บทที่ 1710.2 เปลี่ยนแปลงกระทันหัน! (2)
ตอนนี้ไม่ใช่เหมียวอี้ที่กลัวจะเกิดเรื่อง แต่เป็นคนของตระกูลโค่วและตระกูลอิ๋งต่างหากที่กลัวจะเกิดเรื่อง เสียงตบฝ่ามือครั้งนี้ทำให้คนไม่น้อยหวาดระแวงกลัว
จากนั้น นอกตำหนักก็มีเพียงเสียงของคนคนหนึ่งดังขึ้น เห็นเพียงเหมียวอี้ชี้อิ๋งอู๋เชวียพร้อมตะคอกด่า “อิ๋งอู๋เชวีย เจ้าว่าใครนั่งผิดที่?”
อิ๋งอู๋เชวียอ้าปากกว้าง แต่กลับเปล่งเสียงไม่ออก ถูกตะคอกด่าจนโกรธหน้าแดงคอแห้ง ทำเอาเขาหาทางลงไม่ได้ เขาก็แค่พูดเหน็บแนมโดยไม่เอ่ยชื่อก็เท่านั้นเอง ใครจะคิดว่าจะยั่วโมโหจนเหมียวอี้เล่นใหญ่ขนาดนี้ มารดาเจ้าเถอะ นี่คือเลี้ยงวันเกิดที่ราชันสวรรค์และราชินีสวรรค์มาเยือนด้วยตัวเอง ทั้งยังมีขุนนางใหญ่นั่งเต็มงาน ถ้าเจ้าเบื่อหน่ายที่จะมีชีวิตอยู่แล้ว ก็อย่าดึงข้าลงน้ำไปด้วยสิ!
“หนิวโหย่วเต๋อ เจ้าทำอะไร?” โค่วฉินตะคอกเสียงต่ำ
โค่วเหมี่ยนเองก็ยื่นมือไปดึงแขนเสื้อเหมียวอี้เช่นกัน บอกใบ้ให้เขารีบนั่งลง
ในตำหนักมีคนไม่น้อยปล่อยพลังอิทธิฤทธิ์ออกมาสืบ ใครจะคิดว่าเหมียวอี้จะกล่าวสิ่งที่ทำให้คนสะดุ้ง ด่ากลับโดยไม่กล่าวชื่อแซ่เช่นกัน “ไม่เคยสร้างผลงานอะไร เศษสวะที่อาศัยแต่ร่มเงาของรุ่นพ่อรุ่นแม่ คู่ควรจะมาด่าข้าด้วยเหรอ?”
ประโยคนี้ทำให้คนอดทนไม่ไหวแล้ว ถ้าหดหัวก็เท่ากับยอมรับคำด่าของอีกฝ่าย แล้วต่อไปจะมีหน้าไปเจอคนได้อย่างไร อย่าไรเสียความเคลื่อนไหวนี้ก็ปิดบังไม่อยู่แล้ว ยื่นหัวออกไปก็หนึ่งดาย หดหัวก็หนึ่งดาบเช่นกัน อิ๋งอู๋เชวียเหน็บแนมกลับทันที “ไม่รู้เหมือนกันว่าใครเป็นเศษสวะ อยู่ที่ตลาดผีรับสมัครคนไม่ได้ เป็นขยะที่รู้จักแต่ตบตีผู้หญิงของตัวเอง แต่ยังกล้ามายืนดัดจริตอยู่ที่นี่อีกเหรอ?”
เมื่ออีกฝ่ายกล่าวแบบนี้ เหมียวอี้ก็แทบหัวเราะออกมา เหมือนกำลังจะฟุบหลับแต่มีคนยื่นหมอนมาให้ เรียกได้ว่าดีสุดๆ ไปเลย เขาจะได้ไม่เสียเวลาอ้อมค้อมอีก หัวเราะประชดทันที แล้วด่าอย่างโมโหว่า “ข้ารับสมัครคนไม่ได้เหรอ? ถ้าไม่ใช่เพราะขุนนางใหญ่ในราชสำนักเป็นก้างขวางคอ มีหรือที่ข้าจะรับสมัครคนไม่ได้?”
เมื่อพูดแบบนี้ที่นี่ ก็เรียกได้ว่าสะท้านฟ้าสะเทือนดิน ตอนนี้คนในงานตกใจค้างกันหมดแล้ว ไม่น่าเชื่อว่าจะกล้าเอาขุนนางใหญ่ในราชสำนักเข้ามาเกี่ยว เจ้าหนุ่มนี่ช่างเป็นหมาบ้าจริงๆ ปากไม่มีหูรูดเอาเสียเลย!
พลังอิทธิฤทธิ์จากในตำหนักที่ถูกปล่อยเข้ามาสืบทยอยกันเก็บกลับไป
บนใบหน้าอิ๋งอู๋เชวียเผยรอยยิ้มชั่วร้าย ทำท่าเหมือนบอกว่าเจ้าจบเห่แล้ว
โค่วเหมี่ยนไม่เกรงใจอีกต่อไปแล้ว ดึงแขนเสื้อไปก็ไม่มีประโยชน์ จู่ๆ ยื่นมือจี้สะกดจุดเหมียวอี้ ทำให้เหมียวอี้เปล่งเสียงไม่ได้อีก แล้วกดเหมียวอี้ให้นั่งลงเสียเลย
โค่วเหวินหลานที่นั่งอยู่โต๊ะข้างๆ เอามือปาดเหงื่อที่หน้าผาก รู้ว่าเจ้าหมอนี่ใจกล้า แต่นึกไม่ถึงว่าจะใจกล้าขนาดนี้ แทบไม่กล้าเชื่อว่าคนบ้าแบบนี้จะเคยเป็นลูกน้องตัวเอง ทำไมตอนแรกถึงดูไม่ออกนะ ไม่อย่างนั้นเขาคงไม่มีทางใช้เส้นสายดึงเจ้าหมอนี่เข้ามาทำมาหากินในตำหนักสวรรค์หรอก
คนที่อยู่ในงานต่างยืนขึ้นมองมาทางนี้ เรื่องที่หนิวโหย่วเต๋อก่อเรื่องในพิธีรับสนมของราชันสวรรค์ คนส่วนใหญ่แค่ได้ยินข่าวมาเท่านั้น พอวันนี้เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น ก็นับว่าได้รับบทเรียนแล้ว จัดเป็นประเภทสุนัขบ้าจริงๆ สงสัยการที่ผู้อาวุโสกำชับว่าอย่าไปยั่วโมโหหมาบ้าก็ใช่ว่าจะไม่มีเหตุผล ต่อไปนี้หลบหมาบ้าตัวนี้ไกลๆ หน่อยดีกว่า อำนาจอิทธิพลที่อยู่เบื้องหลังไม่มีประโยชน์ต่อเจ้าหมาบ้าตัวนี้เลย
คนข้างนอกสัมผัสได้ว่าคนในตำหนักปล่อยพลังอิทธิฤทธิ์ออกมาสอดแนม ต่างกำลังรอปฏิกิริยาจากในตำหนัก
คนของตระกูลเซี่ยโห้วรีบเดินเข้ามารวมตัวกัน ต่างก็จ้องเหมียวอี้อย่างเดือดดาล ไม่น่าเชื่อว่าจะกล้ามาก่อเรื่องในงานวันเกิดของนายท่าน!
อิ๋งอู๋เชวียก็ไม่มีทางหลบเลี่ยงได้เช่นกัน ถูกสายตาโกรธเคืองของคนตระกูลเซี่ยโห้วจ้องจนรู้สึกอับอาย ชี้เหมียวอี้ที่พูดไม่ออกพร้อมบอกว่า “ไม่เกี่ยวกับข้านะ เป็นเขาต่างหากที่หาเรื่อง”
เหมียวอี้ทำได้เพียงจ้องเขากลับด้วยแววตาเดือดดาล ด่าก็ด่าไม่ออก ขยับก็ขยับไม่ได้
เดิมทีในตำหนักมีบรรยากาศสงบสุขเป็นมงคล เฉลิมฉลงอย่างอบอุ่น แต่จู่ๆ ก็มีเสียงตบโต๊ะดังสะเทือนฟ้าสะเทือนดิน ทำให้ทุกคนในตำหนักพากันอึ้ง
ราชันสวรรค์กับราชินีสวรรค์เงยหน้ามองนอกตำหนัก เซี่ยโห้วท่าเอียงหน้ามองไปด้านนอก ขุนนางใหญ่ในราชสำนักกับสตรีชนชั้นสูงก็เอียงหน้ามองไปด้านนอกเช่นกัน
จากนั้นทันที ท่ามกลางเสียงดนตรีก็มีเสียงตะคอกของเหมียวอี้ดังแว่วมา : อิ๋งอู๋เชวีย อิ๋งอู๋เชวีย เจ้าว่าใครนั่งผิดที่?
มีคนฟังออกว่าเป็นเสียงของเหมียวอี้ มีบางคนฟังไม่ออกว่าเป็นเสียงของใคร เอาเป็นว่าพอได้ยินชื่อ ‘อิ๋งอู๋เชวีย’ กับเสียงตบโต๊ะปนกัน พวกเขาก็พากันงุนงง ชั่วพริบตาเดียวก็มีพลังอิทธิฤทธิ์หลายสายถูกปล่อยออกมาสอดแนมทันที
“ไม่เคยสร้างผลงานอะไร เศษสวะที่อาศัยแต่ร่มเงาของรุ่นพ่อรุ่นแม่ คู่ควรจะมาด่าข้าด้วยเหรอ?” เป็นคำพูดของหนิวโหย่วเต๋ออีกแล้ว ถึงแม้จะไม่ใช่ทุกคนที่คุ้นเคยกับเสียงของหนิวโหย่วเต๋อ แต่ประโยคนี้เหมือนกันลากลูกหลานตระกูลขุนนางจำนวนไม่น้อยมาด่าด้วยกัน ตระกูลใหญ่มีคนเยอะ มีตระกูลไหนบ้างที่จะไม่มีพวกไม่เอาถ่านโผล่มาสักสองสามคน มีขุนนางจำนวนมากสีหน้าบึ้งตึงแล้ว
ทว่าประมุขชิงกลับขยับคิ้วอย่างอดไม่ได้ มุมปากยิ้มหยอกล้อเล็กน้อย ที่จริงเขาไม่เคยคลุกคลีกับเหมียวอี้สักเท่าไร และไม่ได้สื่อสารกันเท่าไรด้วย ต่อให้เคยคุยกันมาก่อน แต่ก็จำเสียงได้ไม่ชัดเจน แต่ไม่รู้ว่าเพราะอะไร ความคิดแรกที่แวบเข้ามาในหัวเขาก็คือเจ้าลูกลิงหนิวโหย่วเต๋อ!
ประมุขชิงชำเลืองมองปฏิกิริยาของพวกขุนนางใหญ่ที่อยู่ทางซ้ายและขวา : ใบหน้าราชินีสวรรค์ฉายแววโกรธเคือง เซี่ยโห้วท่าจิบสุราอย่างสุขุม เซี่ยโห้วลิ่งที่นั่งคุกเข่าหลังเซี่ยโห้วท่ายืนขึ้นเงียบๆ แล้วมองไปด้านนอก โพ่จวินหลับตาเล็กน้อย อู๋ฉวี่เห็นปฏิกิริยาโพ่จวินแล้วก็เหมือนจะเข้าใจอะไรบางอย่าง ซือหม่าเวิ่นเทียนงุนงง เกาก้วนยังคงมีสีหน้าเรียบเฉยไม่สะทกสะท้าน ส่วนขุนนางใหญ่คนอื่นๆ ก็พากันขมวดคิ้ว บรรยากาศคึกครื้นยามชนจอกสุราดื่มฉลองเหมือนจะหายไปในชั่วพริบตาเดียว มีเพียงเทพธิดาตรงกลางตำหนักที่ยังระบำต่อไป
“ไม่รู้เหมือนกันว่าใครเป็นเศษสวะ อยู่ที่ตลาดผีรับสมัครคนไม่ได้ เป็นขยะที่รู้จักแต่ตบตีผู้หญิงของตัวเอง แต่ยังกล้ามายืนดัดจริตอยู่ที่นี่อีกเหรอ?” ครั้งนี้เป็นเสียงของอิ๋งอู๋เชวีย คนส่วนใหญ่เคยได้ยินเสียงของอิ๋งอู๋เชวียมาก่อน มิหนำซ้ำก่อนหน้านี้ก็มีใครบางคนเอ่ยชื่อไว้แล้วด้วย
เช่นเดียวกัน ประโยคนี้ของอิ๋งอู๋เชวียก็ช่วยยืนยืนให้ทุกคนรู้แล้วว่าคนที่ด่าก่อนหน้านี้คือหนิวโหย่วเต๋อ
มีคนจำนวนไม่น้อยที่พูดไม่ออก เรื่องบ้าๆ แบบนี้ก็มีแต่คนบ้าเท่านั้นที่กล้าทำ เพียงแต่ได้ยินคำด่าก่อนหน้านี้ เหมือนอิ๋งอู๋เชวียจะหาเรื่องหนิวโหย่วเต๋อก่อนนะ อิ๋งอู๋เชวียนี่เป็นอะไรไปแล้ว กินยาผิดมาหรือไง?
ขุนนางใหญ่สายตระกูลอิ๋งขมวดคิ้วมุ่นกันเป็นแถบๆ บอกว่าจะไม่ไปยั่วโมโหเจ้าหมอนี่แล้วไม่ใช่เหรอ? แล้วนี่อิ๋งอู๋เชวียเล่นบ้าอะไร แถมยังอยู่ในโอกาสและสถานที่แบบนี้ด้วย
คนอื่นยังดีหน่อย แต่พออิงอู๋หม่านที่นั่งอยู่ในตำหนักได้ยินเสียงน้องชายของตัวเอง ก็เรียกได้ว่าพยายามข่มสีหน้าดุร้าย เกิดอารมณ์ชั่ววูบอยากจะออกไปชักดาบฟันน้องชายของตัวเองสักที จะก่อเรื่องที่ไหนก็ไม่ไป ดันมาก่อเรื่องในงานแบบนี้ เจ้ามีฐานะอะไร หนิวโหย่วเต๋อมีฐานะต่ำต้อยอะไร อีกฝ่ายเท่าเปล่าไม่กลัวการสวมรองเท้า คนเหาเยอะย่อมไม่กลัวคัน นี่เจ้ากำลังเล่นบ้าอะไร?
“ข้ารับสมัครคนไม่ได้เหรอ? ถ้าไม่ใช่เพราะขุนนางใหญ่ในราชสำนักเป็นก้างขวางคอ มีหรือที่ข้าจะรับสมัครคนไม่ได้?”
เมื่อได้ยินเสียงหนิวโหย่วเต๋อที่อยู่ข้างนอกพูดประโยคนี้ เรียกได้ว่าทำให้คนตื่นตระหนกตกใจแล้วจริงๆ กลุ่มขุนนางใหญ่รีบหันกลับไปมองประมุขชิง เห็นประมุขชิงกำลังมองสำรวจพวกเขา จึงพากันหยุดใช้พลังอิทธิฤทธิ์สอดแนม แต่ละคนหน้าตาเลิกลั่ก ไม่รู้เหมือนกันว่ามีคนขัดขวางการรับสมัครคนของหนิวโหย่วเต๋อจริงหรือว่าอย่างไร อย่างไรเสียก็เหมือนตัวเองจะไม่เคยทำอย่างนั้น
ประมุขชิงชำเลืองปฏิกิริยาของเซี่ยโห้วท่าอีกครั้ง ในใจแอบด่าว่าจิ้งจอกเฒ่า เขาพบว่าเซี่ยโห้วท่ายังมีท่าทางเหมือนไม่เป็นอะไร
ที่จริงประมุขชิงก็อยากจะให้เซี่ยโห้วท่าตายไวๆ หน่อย เขาอวยพรวันเกิดให้เซี่ยโห้วท่าอย่างจริงใจเสียที่ไหนกัน ถ้าไม่ใช่เพราะชื่อเสียงของตัวเอง เขาก็ไม่อยากจะแยแสเรื่องนี้ด้วยซ้ำ ตอนนี้มีคนก่อเรื่องในงานเลี้ยงวันเกิดของเซี่ยโห้วท่า ในใจเขาก็ยังแอบรู้สึกขำ ขนาดตัวเองยังไม่สะดวกจะตบหน้าเลย แต่นึกไม่ถึงว่าจะมีคนตบให้แล้ว ไม่รู้เหมือนกันว่าขั้นต่อไปตระกูลเซี่ยโห้วจะรับมือกับหนิวโหย่วเต๋อที่ตลาดผีอย่างไร
พอพูดถึงตรงนี้ ประมุขชิงก็ไม่สะดวกจะพูดอีกต่อไป เขาสะบัดแขนหนึ่งที
ซ่างกวนชิงที่อยู่ข้างๆ โบกแขนเสื้อทันที “หยุดเดี๋ยวนี้ ถอยออกไปให้หมด!”
เสียงบันเทิงในงานหยุดทันที เทพธิดาที่กำลังเต้นระบำรีบถอยเข้าไปในตำหนักทางซ้ายและขวา ต่างก็รู้แล้วว่าเกิดเรื่องขึ้น
“ไปดูว่าด้านนอกเกิดเรื่องอะไรขึ้น นำตัวคนที่ก่อเรื่องมา” ประมุขชิงกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา
ตอนนี้เซี่ยโห้วลิ่งกลับมานั่งข้างหลังเซี่ยโห้วท่าแล้ว แอบถ่ายทอดเสียงรายงานเรื่องข้างนอกให้ฟัง แต่เซี่ยโห้วท่ายังคงไม่สะทกสะท้าน ทำเหมือนไม่รู้เรื่องอะไรทั้งนั้น
พอประมุขชิงพูดจบ อู๋ฉวี่ที่นั่งลงก็เอียงหน้าบอกใบ้ นอกประตูตำหนักมีทหารสวรรค์กลุ่มหนึ่งเหาะออกมาตรงที่เกิดเหตุทันที ทหารที่อยู่ข้างนอกพวกนี้เห็นเหตุการณ์ทุกอย่างอยู่ในสายตาหมดแล้ว
แม่ทัพใหญ่เกราะแดงคนหนึ่งเดินมาข้างกายเหมียวอี้ แล้วโบกมือบอกใบ้ให้โค่วเหมี่ยนออกไป ก่อนจะลากตัวเหมียวอี้ออกไปโดยตรง
ส่วนแม่ทัพใหญ่เกราะแดงอีกคนก็ส่งสัญญาณมือบอกใบ้อิ๋งอู๋เชวียว่าให้ตามเขาไป แต่อิ๋งอู๋เชวียกล่าวอย่างกังวลนิดหน่อยว่า “ไม่เกี่ยวกับข้า คือว่า…”
ยังไม่ทันพูดจบ แสงกระบี่ที่ชักออกจากฝักมาจ่ออยู่บนคอของเขาแล้ว ทำให้เขาไม่กล้าขยับตัว จากนั้นแม่ทัพใหญ่เกราะแดงสองคนก็ลงมือพร้อมกัน หนึ่งในนั้นดึงแขนข้างหนึ่งของเขาแล้วลากไป ในตอนนี้สายตาของเขาฉายแววหวาดกลัว ตะโกนบอกกลุ่มคนว่า “น้องสาม รีบไปหาท่านพ่อ!”
…………………………