พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - บทที่ 1711 ในราชสำนักมีคนทำผิด
ใบหน้าอิงอู๋เฟยสื่ออารมณ์กังวล ตอนนี้ไปหาท่านพ่อหรือไม่หาท่านพ่อแล้วต่างอะไรกัน? โชคดีที่ท่านพ่อไม่ได้อยู่ในราชสำนัก ไม่อย่างนั้นท่านพ่อก็ต้องเสแสร้งดัดจริตเป็นฝ่ายขอให้ลงโทษเจ้าหนักๆ อีก ถึงตอนนั้นต่อให้เจ้าไม่ตายแต่ก็ต้องโดนถลกหนัง เจ้าเองก็เหมือนกัน อยู่ดีๆ ไปยั่วโมโหหมาบ้าอย่างหนิวโหย่วเต๋อทำไม ท่านพ่อสั่งไว้แล้วว่าให้อดทนไว้ชั่วคราว แต่ดันก่อเรื่องแบบนี้ที่พระตำหนักอุทยานเสียแล้ว พี่รองเอ๊ย ข้าว่าตอนให้วันนี้เจ้าจะรอดหายนะจากพระตำหนักอุทยาน แต่จะผ่านด่านยากยามเผชิญหน้ากับท่านพ่อได้อย่างไร
เขากับโค่วฉินสบตากันแวบหนึ่ง ทั้งคู่ต่างส่ายหน้าอย่างจนใจ ก่อนจะหยิบระฆังดาราออกมาต่างคนต่างติดต่อบิดาตัวเอง รายงานสถานการณ์ตรงนี้ให้ฟัง
“ทุกคนสนุกกันต่อ สนุกกันต่อได้เลย” คนของตระกูลเซี่ยโห้วดันรอยยิ้มขึ้นมาบนใบหน้าเพื่อรับแขกอีกครั้ง
ช่วยไม่ได้ ถึงแม้จะมีแขกบางส่วนนั่งลงอย่างบันเทิงในความทุกข์ของคนอื่น แต่กลับมีบางส่วนทอดถอนใจ บรรยากาศคึกคักสู้ก่อนหน้านี้ไม่ได้แล้ว การเดินข้ามโต๊ะไปชนจอกสุรากันก็หยุดแล้วเช่นกัน ตอนนี้พากันสนใจว่าในตำหนักจะมีความเคลื่อนไหวอะไร
“หนิวโหย่วเต๋อนั่นเป็นพวกที่กลัวว่าจะไม่เกิดเรื่อง คุณชายรองไม่ควรให้เขาเข้ามา” มีคนของตระกูลเซี่ยโห้วแอบถ่ายทอดเสียงคุยกับคนตระกูลเซี่ยโห้วด้วยกัน
“เฮ้อ! เข้าก็เข้ามาแล้ว ก่อเรื่องขึ้นแล้วจริงๆ ด้วย ข้าว่าท่านนี้คงเบื่อหน่ายที่จะมีชีวิตอยู่แล้วจริงๆ รนหาที่ตายไปทั่วทุกแห่งในใต้หล้า มารนหาที่ตายถึงที่นี่แล้ว” คนที่ได้ยินส่ายหน้าตอบ
กำลังพลสายตระกูลโค่วกับตระกูลอิ๋งที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ค่อนข้างเงียบ ส่วนฝั่งตระกูลฮ่าวกับตระกูลก่วงมีบางคนไม่กลัวเรื่องราวใหญ่โต ไม่น่าเชื่อว่าจะแอบเดิมพันกันแล้ว บ้างก็เดิมพันว่าจะตายทั้งสองคน บ้างก็เดิมพันว่าทั้งสองคนจะโดนเฆี่ยน บ้างก็เดิมพันว่าทั้งสองคนจะไม่เป็นอะไร เดิมพันกันไปต่างๆ นาๆ ยักคิ้วหลิ่วตาแอบถ่ายทอดเสียงเดิมพันกันแล้ว
ในตำหนัก พวกแม่ทัพใหญ่เกราะแดงหิ้วตัวเหมียวอี้กับอิ๋งอู๋เชวียเข้ามา พอทุกคนเหล่ตามอง หึหึ เป็นสองคนนี้จริงๆ ด้วย
ทั้งสองถูกหิ้วเข้ามากลางตำหนัก “คุกเข่า” พอมีเสียงตะคอก ทั้งสองก็ถูกเตะหลังเข่าให้คกเข่าลงพร้อมกัน เรียกได้ว่าโดนบังคับกดให้คุกเข่าลง
ในสถานการณ์ปกติตำหนักสวรรค์จะไม่มีการคุกเข่าคำนับ มีเพียงผู้ที่ทำผิดหรือยอมรับว่าตัวเองต่ำต้อยเท่านั้นถึงจะคุกเข่าสองข้าง
ขณะที่มองสองคนนี้ ประมุขชิงก็ใช้สายตาประเมินอย่างช้าๆ ราชินีสวรรค์สีหน้าไม่ค่อยดี เซี่ยโห้วท่าชำเลืองอย่างเฉยเมย เซี่ยโห้วลิ่งที่คุกเข่าอยู่ข้างหลังมองอย่างเย็นชา ซ่างกวนชิงกับซือหม่าเวิ่นเทียนปวดประสาท เกาก้วนยกจอกสุราดื่มอย่างเอื่อยเฉื่อย แทบจะไม่มองตรงๆ เลย ส่วนโพ่จวินก็ขมวดคิ้วมองเหมียวอี้อย่างจริงจรัง
ส่วนขุนนางใหญ่คนอื่นๆ กำลังพลสายตระกูลอิ๋งจ้องอิ๋งอู๋เชวียด้วยสีหน้าที่เหมือนไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี อิงอู๋หม่านแอบกัดฟันกรอดขณะจ้องพี่น้องตัวเองด้วยสีหน้าดุร้าย ด้วยวัยวุฒิที่ตื้นเขินของตน เดิมทีการได้มานั่งรักษาการณ์แทนท่านพ่อก็เหมือนเดินเหยียบอยู่บนแผ่นน้ำแข็งบางอยู่แล้ว แต่เจ้าเวรนี่ยังเพิ่มปัญหาให้ข้าอีก!
เม่ยเหนียงมองเหมียวอี้ที่นั่งคุกเข่าอย่างสะท้อนใจ เหตุใดต้นกล้าที่นางเอาใจช่วยถึงท้อแท้ชีวิตและยอมให้ความคิดลบทำร้ายตัวเองไปได้นะ ด้วยพฤติกรรมที่เขากล้าพูดสิ่งนั้นนอกตำหนัก ก็ดูไม่เหมือนนะ! หรือว่ากำลังระบายความคับแค้นใจ?
ส่วนก่วงเม่ยเอ๋อร์ที่ยืนข้างมารดาก็มองเหมียวอี้ด้วยสายตากังวล เป็นครั้งแรกที่นางมางานแบบนี้กับมารดา ใครใช้ให้ตระกูลก่วงมีหวังเฟยอยู่คนเดียวท่ามกลางสี่อ๋องสวรรค์ล่ะ เมื่อสามีติดธุระมาไม่ได้ ภรรยาที่ว่างอยู่บ้านจะบอกว่าติดธุระมาไม่ได้ก็จะฟังดูเหลวไหลแล้ว ดังนั้นนางจึงประหม่าเล็กน้อย นึกไม่ถึงว่าจะได้เจอเรื่องแบบนี้อีก นางกังวลแทนเหมียวอี้มาก
โค่วเจิงที่ถือระฆังดาราอยู่ในแขนเสื้อถามสถานการณ์ด้านนอกชัดเจนแล้ว เขาขมวดคิ้วมุ่นขณะมองเหมียวอี้ เจ้านี่มันเล่นลูกไม้อะไร นึกเสียใจทีหลังนิดหน่อยที่ให้เหมียวอี้มานั่งร่วมโต๊ะกับตระกูลโค่ว ถ้าเกิดเรื่องอะไรขึ้นมาจริงๆ ตัวเองยังต้องพิจารณาอีกว่าจะต้องยื่นมือไปเช็ดก้นให้เพื่อรักษาหน้าหรือเปล่า
จาหรูเยี่ยนที่นั่งอยู่ด้วยแอบยินดีใจความโชคร้ายของเหมียวอี้ หารู้ไม่ว่าเทพประจำดาวฟ้าเถาะที่นั่งหน้านิ่งอยู่ข้างกันกำลังด่าแม่ในใจ เคยบอกให้เหมียวอี้เพลาๆ บ้าง แต่ก็ก่อเรื่องนี้อีกแล้ว เจ้าอย่ากลายเป็นเรื่องน่าหัวเราะเยาะก่อนจะได้สมบัติจากแดนมรณะดึกดำบรรพ์ล่ะ ถึงตอนนั้นจะให้ข้าไปทวงถามความยุติธรรมจากไหน ไอ้เวรเอ๊ย!
พออู๋ฉวี่โบกมือ แม่ทัพใหญ่เกราะแดงที่คุมตัวสองคนนี้เข้ามาก็หันตัวเดินออกไปแล้ว
อย่างไรเสียอิ๋งอู๋เชวียก็เคยเห็นฉากนี้มาก่อน พยายามทำตัวสงบ ถึงแม้จะคุกเข่าอยู่อย่างนั้น แต่กลับกุมหมัดคารวะ “คารวะฝ่าบาท คารวะราชินีสวรรค์”
เหมียวอี้ที่อยู่ข้างกันกลับคุกเข่าอย่างไม่สะทกสะท้าน ไม่มีปฏิกิริยาใดๆ แค่ขยับลูกตาเท่านั้น
มีคนสายตระกูลอิ๋งตะคอกทันที “กำเริบเสิบสาน บังอาจก่อเรื่องต่อหน้าฝ่าบาทและเหนียงเหนียง ควรลงโทษให้หนัก!”
“ควรใช้แส้ลงโทษตามกฏ ขุนนางพิธีการอยู่ไหน!” มีคนพูดตามทันที
เป็นครั้งแรกที่เหมียวอี้ได้เข้ามาอยู่ในราชสำนักแบบนี้ พอมาถึงก็ได้รับรู้ถึงการสมคบกันในราชสำนักแล้ว ในใจด่าโค่วเหมี่ยนอย่างบ้าคลั่ง ด่าบรรพบุรุษสิบแปดรุ่น!
ครั้งนี้เหมียวอี้กลอกลูกตามองสองฝั่ง ในใจก็ด่าอีกว่า ด่าบอดกันหมดหรือไง? มองไม่ออกหรือพ่อโดนควบคุมอยู่?
แน่นอนว่าไม่ได้ตาบอดกันหมด มีคนจำนวนมากมองออกอย่างรวดเร็ว อู๋ฉวี่ขยุ้มนิ้วทั้งห้า ปล่อยพลังอิทธิฤทธิ์กลุ่มหนึ่งเข้าไปครอบเหมียวอี้เอาไว้ พอกำหมัดแล้ว เหมียวอี้ก็ถอนหายใจเฮือกหนึ่งอย่างผ่อนคลาย ผนึกบนตัวถูกคลายแล้ว
ในตอนนี้เหมียวอี้กุมหมัดคารวะต่อเบื้องบน “หนิวโหย่วเต๋อแม่ทัพภาคตลาดผีใต้สังกัดตำหนักนารีสวรรค์ คารวะฝ่าบาท คารวะราชินีสวรรค์ คารวะโอรสสวรรค์!”
ประโยคนี้น่าสงสัยว่าจะเป็นการประจบสอพลอ แต่ตอนนี้เขามาเสี่ยงอันตรายอย่างโดดเดี่ยว ไม่มีใครช่วยเขาได้ ต้องสร้างเงื่อนไขทุกอย่างที่สามารถปกป้องตัวเอง หยางชิ่งไม่ได้วางแผนให้เขาเอาชีวิตมาทิ้ง ทุกอย่างต้องอาศัยตัวเอง
เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ที่เดิมทีสีหน้ายังเต็มไปด้วยความโกรธเคืองอึ้งทันที จากนั้นก็แทบจะหัวเราะออกมา นางกัดริมฝีปากเอาไว้ เอามือลูบท้องใหญ่กลมของตัวเอง พลางคิดในใจว่า ช่างเถอะ ราชินีสวรรค์ผู้สง่าภูมิฐานอย่างนางจะไปถือสาแม่ทัพภาคต่ำต้อยให้ได้อะไรขึ้นมา จะว่าไปก็เป็นคนใต้สังกัดตำหนักนารีสวรรค์โดยตรง ถ้าเกิดอะไรขึ้นตัวเองก็เสียหน้า
ทุกคนในโถงพูดไม่ออก ซ่างกวนชิงทำสีหน้าอัศจรรย์ใจ ซือหม่าเวิ่นเทียนทำสีหน้าไม่ถูก เซี่ยโห้วท่าที่มีท่าทางใจเย็นสุขุมเขย่าจอกสุราเบาๆ เซี่ยโห้วลิ่งที่นั่งคุกเข่าข้างหลังมองประเมินเหมียวอี้อย่างจริงจังอีกครั้ง เกาก้วนเหลือบมองปฏิกิริยาของเซี่ยโห้วเฉิงอวี่ จากนั้นกรอกสุราลงปากสองคำ อู๋ฉวี่เอียงหน้ามองโพ่จวินที่กำลังปวดประสาทเล็กน้อย ราวกับกำลังถามโพ่จวินว่า นี่น่ะหรือขุนนางซื่อสัตย์ที่เจ้าบอก? ข้าว่าเป็นขุนนางจอมใส่ร้ายที่ชอบเลียแข้งเลียขามากกว่ามั้ง!
เม่ยเหนียงเม้มปากยิ้ม ก่วงเม่ยเอ๋อร์ก้มหน้าอมลมในกระพุ้งแก้ม
โค่วเจิงยกมือลูบหน้าผากตัวเอง จาหรูเยี่ยนแอบด่าว่าหน้าไม่อาย เทพประจำดาวฟ้าเถาะผังก้วนหลับตาแล้ว ทนมองตรงๆ ไม่ได้อีก
อิ๋งอู๋เชวียหันไปมองเหมียวอี้ที่นั่งคุกเข่าอยู่ข้างๆ รู้สึกเหม่อนิดหน่อย ให้ความรู้สึกเหมือนตกตะลึงด้วย เคยเห็นคนไร้ยางอายมาก่อน แต่ไม่เคยเห็นใครไร้ยางอายขนาดนี้เลย ทำเอาเขาไม่รู้ว่าต้องคารวะโอรสสวรรค์ด้วยหรือเปล่า
“เฮ่อๆ!” ประมุขชิงถูกทำให้ขำเช่นกัน พูดในใจว่าเจ้าลูกลิงก็ยังเป็นเจ้าลูกลิงอยู่วันยังค่ำ เขาชี้ไปเบื้องล่าง “ปากมันลิ้นลื่น” ซ่างกวนชิงที่อยู่ข้างๆ ก็หัวเราะตามเช่นกัน
ใครจะคิดว่าเหมียวอี้จะเป็นฝ่ายกล่าวเสียงดังอย่างใจกล้าว่า “ข้าน้อยรวบรวมความกล้าเปิดเผยต่อฝ่าบาท ว่าในราชสำนักมีคนทำผิด ข้าน้อยสามารถชี้ตัวต่อหน้าธารกำนัลได้หรือไม่ขอรับ?”
เขาเองก็ไม่ได้เจอประมุขชิงเป็นครั้งแรก เคยเจอที่อุทยานหลวงทั้งแบบมองตรงและไม่มองตรงหลายรอบ ตอนนี้ไม่ได้หวั่นเกรงเดชานุภาพสวรรค์เหมือนตอนแรกแล้ว ที่สำคัญที่สุดคือตอนนี้สภาพจิตใจของเขาไม่เหมือนเดิมแล้ว ถ้าไม่ใช่เพราะไม่มีทางเลือก เขาก็ไม่อยากมาคุกเข่าต่อหน้าประมุขชิงอย่างนี้เลย
“อ้อ?” ประมุขชิงรู้สึกสนใจทันที นี่ต้องการจะช่วยข้าก่อเรื่องอะไรเป็นการส่วนตัวใช่มั้ย? จึงแสดงความใจกว้างทันที “รู้ผิดแล้วแก้ไข นับว่าเยี่ยมนัก แต่ถ้าเจ้าพูดซี้ซั้ว ข้าไม่ปล่อยไปง่ายๆ หรอกนะ!”
“ขอรับ!” เหมียวอี้มองอิ๋งอู๋เชวียที่อยู่ข้างกาย คิดในใจว่า เจ้าคุกเข่าต่อไปเถอะ ข้าไม่เล่นเป็นเพื่อนเจ้าแล้ว
เซี่ยโห้วท่าจ้องเหมียวอี้อย่างสนใจ เป็นครั้งแรกที่เขาเห็นเหมียวอี้พูดต่อหน้าขุนนางใหญ่จำนวนมากมายขนาดนี้ ดูไม่ตระหนกกลัว อดไม่ได้ที่จะหรี่ตามอง!
กลุ่มขุนนางกำลังคิดว่าท่านนี้กำลังจะหาเรื่องใคร แต่ใครจะคิดว่าเหมียวอี้จะยืนขึ้นกะทันหัน หันตัวไปมองสองข้าง แล้วกุมหมัดคารวะ “ขออนุญาติถามสักหน่อย เมื่อครู่นี้มีขุนนางใหญ่สองท่านคนไหนตะโกนว่าข้าน้อยไร้มารยาทต้องโดนทำโทษ?” ตอนนั้นเขาถูกควบคุมจึงหันไปมองไม่ได้
กลุ่มขุนนางมองไปทางขุนนางสองคนในเครือข่ายของตระกูลอิ๋ง สองคนนั้นถูกมองจนรู้สึกอึดอัด แล้วทยอยกันยืนอย่างช้าๆ
สองคนนี้ยังไม่ทันพูดอะไร เหมียวอี้ก็แย่งพูดก่อนแล้ว “คาดว่าคงจะเป็นสองคนนี้! ฝ่าบาทมีเมตตาอนุญาตให้ข้าน้อยชี้ตัว เช่นนั้นข้าน้อยขอให้นายท่านทั้งสองแสดงให้ดูหน่อยว่าคนที่ถูกควบคุมอยู่จะทำความเคารพได้อย่างไร หากทั้งสองสามารถทำความเคารพได้ตามปกติ ข้าน้อยก็จะยอมรับผิด! ถ้าหากทำไม่ได้ ทั้งสองได้โปรดเก็บคำพูดเมื่อครู่นี้กลับไปด้วย โปรดให้อภัยข้าน้อย!”
ในตำหนักเงียบเป็นแถบๆ ยังนึกว่าจะชี้ความผิดอะไรเสียอีก ไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นเรื่องนี้?
ขุนนางใหญ่ขุนนางใหญ่ที่ยืนขึ้นพูดไม่ออก มองเหมียวอี้ด้วยสายตาเย็นเยียบ ในใจแสยะยิ้ม เด็กน้อยโง่เขลา ใช้ลูกไม้ตื้นๆ แค่นี้แล้วคิดจะกดดันให้พวกเราสองคนยอมรับผิดในราชสำนักเหรอ?
เทพประจำดาวฟ้าเถาะผังก้วนแอบส่ายหน้า เจ้าเด็กนี่ช่างอ่อนหัด เรื่องเล็กแค่นี้ไม่ใช่แค่ทำให้อีกฝ่ายยอมรับผิดไม่ได้ แต่กลับจะทำให้กำลังพลสายตระกูลโค่วเดือดดาลด้วยซ้ำ อีกประเดี๋ยวเจ้าได้โดนกำลังพลสายตระกูลโค่วกลั่นแกล้งแน่ เรื่องเล็กแค่นี้ต่อให้อีกฝ่ายรับผิดแล้วยังไงต่อล่ะ? เจ้าแค่อยากจะสะใจงั้นเหรอ แค่ความสบายใจเล็กนิดหน่อยเนี่ยนะ? ช่างไม่มีประสบการณ์ในราชสำนัก!
หารู้ไม่ว่าสำหรับเหมียวอี้แล้ว ในเมื่อเจอทิศทางที่จะลงมือแล้ว ก็ต้องยั่วโมโหกำลังพลสายตระกูลโค่วให้กลั่นแกล้งเขาสิ ไม่อย่างนั้นเขาก็จะไม่มีโอกาสได้แสดงความสามารถ เดินมาถึงขั้นนี้แล้ว เดินเข้ามาในตำหนักนี้แล้ว เขาไม่มีทางให้ถอยกลับแล้ว ต้องทำตัวให้ฮึกเหิมกระปรี้กระเปร่าเพื่อรับมือสถานการณ์ฉุกเฉิน คว้าโอกาสทุกอย่างเอาไว้!
ลั่วหม่างจอมพลสายวอกที่นั่งอยู่กับที่ขมวดคิ้วเล็กน้อย เหมือนกับผังก้วน เขามีลางสังหรณ์แล้วว่าอีกประเดี๋ยวกำลังพลสายตระกูลอิ๋งจะต้องกลั่นแกล้งเหมียวอี้แน่ ขนาดเขายังไม่รู้เลยว่าจะด่าเหมียวอี้อย่างไรดี ทุกคนปรึกษากันแล้วว่าจะปล่อยเจ้าไป ถ้าเจ้าอยู่ที่จวนแม่ทัพภาคตลาดผีดีๆ ก็ไม่มีใครทำอะไรเจ้าได้หรอก ราชสำนักคือสถานที่ที่ฆ่าคนโดยไม่เห็นเลือด ถ้าเล่นงานเจ้าตายแล้ว เจ้าก็ไม่มีที่ให้เรียกร้องหาเหตุผลหรอก
เขากำลังครุ่นคิดแล้วว่าอีกประเดี๋ยวจะช่วยเหมียวอี้แก้ไขสถานการณ์อย่างไร เพราะเหมียวอี้เคยช่วยดึงลูกชายเขาออกมาจากกับดัก ช่วยชีวิตลูกชายเขาไว้ครั้งหนึ่ง ยังไม่ได้ตอบแทนน้ำใจนี้อย่างเป็นทางการเลย!
เป็นอย่างที่คาดไว้ สองท่านยืนอยู่อย่างนั้นโดยไม่พูดอะไรสักคำ แต่กำลังพลสายตระกูลอิ๋งยืนขึ้นทันที แล้วกุมหมัดคารวะต่อประมุขชิง “ฝ่าบาท คนที่มีตาล้วนดูออกว่าตอนแรกสองท่านนี้ไม่รู้ว่าหนิวโหย่วเต๋อถูกควบคุมไว้ ถึงได้พูดอย่างนั้นไป ที่พวกเขาสองคนพูดอย่างนั้น ก็เพื่อปกป้องเดชานุภาพของฝ่าบาทและเหนียงเหนียง จะเห็นได้ว่ามีใจจงรักภักดี ส่วนหนิวโหย่วเต๋อปั่นสถานการณ์ให้วุ่นวายล้วนๆ เห็นงานเลี้ยงนี้เป็นสนามเด็กเล่น มีเจตนาชั่วร้าย!”
เหมียวอี้แอบตกใจ พบว่าตาแก่กลุ่มนี้ชั่วร้ายมากทีเดียว ใช้วิธีการโยนความผิดกลับคืนได้ลื่นไหลมาก
ประมุขชิงสีหน้าขรึมลงเล็กน้อย ยังนึกว่าเจ้าลูกลิงนี่จะชี้ความผิดอะไรเสียอีก สงสัยทำวุ่นวายใหญ่โตก็เพื่ออุบายเด็กๆ แบบนี้ ทำให้เขาผิดหวังจริงๆ “หนิวโหย่วเต๋อ นี่ก็คือความผิดที่เจ้ากล่าวหาเหรอ?”
เหมียวอี้หันตัวมา แล้วกล่าวจากใจจริงว่า “ถ้าแบบนี้ไม่นับว่าเป็นความผิด…ถ้าข้าน้อยไม่พูดอะไรเลย พวกเขาตะโกนว่าจะลงโทษข้าน้อย ข้าน้อยแก้ตัวก็เพราะอยากให้พวกเขาอภัย แต่พวกเขาดันบอกอีกว่าข้าน้อยตั้งใจปั่นสถานการณ์ให้วุ่นวาย มีเจตนาชั่วร้าย สรุปก็คือไม่ว่าจะพูดอย่างไรพวกเขาก็มีเหตุผลเสมอ ถึงอย่างไรคำพูดของคนต่ำต้อยอย่างข้าน้อยก็ไม่มีน้ำหนัก ข้าน้อยไม่ได้เรียนมาให้สามารถคารวะได้หลังจากถูกควบคุมร่างกาย พอเข้ามาในนี้จึงสมควรตาย ในเมื่ออธิบายด้วยเหตุผลไม่ได้ ข้าน้อยก็ไม่มีอะไรจะพูดแล้วขอรับ!”
…………………………