พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - บทที่ 1712 ขุนนางยอมตายถวายความจงรักภักดี
โถ่! กลุ่มขุนนางที่นั่งอยู่ในงานมองด้วยสายตาที่ต่างออกไปทันที พบว่าท่านนี้เล่นอุบายโยนความผิดกลับได้ไหลลื่น เท่ากับโยนข้อหา ‘ปั่นสถานการณ์ให้วุ่นวาย’ กลับมาแล้ว
ราชสำนักไม่เหมือนกับที่อื่น เพราะที่นี่คือสถานที่ซึ้งฆ่าคนโดยไม่เห็นเลือด หนิวโหย่วเต๋ออยู่ที่ตลาดผี ด้วยเหตุผลบางอย่างจึงไม่สะดวกลงมือ แต่ในเมื่อมาที่นี่แล้ว คนกลุ่มหนึ่งไม่คิดที่จะให้เขารอดชีวิตกลับไป
สองฝ่ายสูสีกัน! การตัดสินนี้ของประมุขชิงได้เหยียบประเด็นนี้เอาไว้ชั่วคราว หากถกเถียงกันเพื่อเรื่องเล็กน้อยแค่นี้ให้กลุ่มผู้หญิงสูงศักดิ์ในตำหนักเห็น ก็นับว่าน่าหัวเราะเยาะจริงๆ “เมื่อครู่นี้พวกเจ้าเถียงกันด้านนอกเพราะอะไร?”
เหมียวอี้ชี้อิ๋งอู๋เชวียทันที “ฝ่าบาท ไม่ใช่ว่าข้าน้อยอยากจะเถียงกันหรอก แต่อิ๋งอู๋เชวียเป็นฝ่ายเข้ามาดูหมิ่นข้าน้อยก่อน ข้าน้อยจึงโมโหจนควบคุมตัวเองไม่ได้ไปชั่วขณะ”
ไม่รอให้อิ๋งอู๋เชวียแก้ตัว ก็มีขุนนางใหญ่ในเครือข่ายตระกูลอิ๋งส่งสายตาให้เขาแล้ว บอกใบ้ให้เขายังไม่ต้องพูดอะไร จากนั้นก็มีขุนนางใหญ่เครือข่ายตระกูลอิ๋งยืนขึ้นบอกว่า “ไม่ทราบว่าอิ๋งอู๋เชวียดูหมิ่นอะไรเจ้า?”
ดูเหมือนเป็นคำถามปกติ แต่ในหัวเหมียวอี้ตระหนักได้แล้วว่าอีกฝ่ายเริ่มจับผิด เพราะเป็นไปไม่ได้ที่อีกฝ่ายจะช่วยตน จึงหันขวับมองไปทางนั้น แล้วขยายการโจมตีเสียเลย “เมื่อครู่นี้ยังมีคนสอนมารยาทข้าน้อยอยู่เลย ไม่ทราบว่าข้าน้อยควรจะตอบฝ่าบาทก่อนหรือตอบเจ้าก่อน?”
กลุ่มขุนนางที่กำลังนั่งอยู่ในงานกระปรี้กระเปร่าอีกครั้ง แม้แต่เม่ยเหนียงก็จ้องเหมียวอี้ด้วยแววตาเป็นประกาย ขนาดนางยังฟังออกเลยว่าคำพูดของเหมียวอี้ซ่อนเงาดาบเอาไว้
เซี่ยโห้วท่ายังคงเอียงหน้าหรี่ตาจิบสุราอย่างเอื่อยเฉื่อย กำลังมองอย่างสนใจ
อีกฝ่ายตอบอย่างใจเย็นว่า “มารยาทก็คือธรรมเนียมที่ควรปฏิบัติตาม ราชสำนักก็ย่อมมีธรรมเนียมของราชสำนัก ตอนประชุมสามารถคุยเรื่องงาน ไม่ว่าใครก็ที่มีข้อสงสัยใดก็สามารถเอ่ยถามได้ แบบนี้ถึงจะรักษาความเที่ยงธรรมของเดชานุภาพสวรรค์ไว้ได้!”
เหมียวอี้กุมหมัดคารวะประมุขชิงทันที “ข้าน้อยไม่เข้าใจธรรมเนียมในราชสำนัก ขอบังอาจถามฝ่าบาท ข้าน้อยก็สามารถพูดเรื่องงานที่นี่ใสได้เหมือนกันใช่หรือไม่ มีอะไรก็พูดตรงๆ ที่นี่ได้เลยใช่หรือไม่ขอรับ?”
ประมุขชิงเตรียมจะดูละครเด็ดอยู่แล้ว จึงขานรับ “ตราบใดที่ไม่ใช่คำพูดเหลวไหล ถ้ามีเหตุผลก็พูดมาได้เลย”
สำหรับเขา ตอนนี้ความเป็นความตายของเหมียวอี้ไม่สำคัญแล้ว ถ้าไม่ใช่เพราะสี่อ๋องสวรรค์ลงมือไปแล้วครั้งหนึ่ง แล้วเขาลงมืออีกจะดูไม่ดี เกรงว่าเขาคงจะเล่นงานเหมียวอี้ให้ตายไปแล้ว คนที่ทรยศเขามีราคาต้องจ่าย!
“ขอรับ!” เหมียวอี้เอ่ยรับ เขากลัวเพียงว่าตัวเองจะไม่มีโอกาสพูด เมื่อได้คำสัญญานี้มาแล้ว เขาก็รู้สึกโล่งอกมาก หันตัวไปเผชิญหน้ากับฝ่ายตรงข้ามแล้วบอกว่า “อิ๋งอู๋เชวียถ่อมาดื่มสุราดูหมิ่นข้า บอกว่าข้านั่งผิดที่แล้ว”
“บอกว่าเจ้านั่งผิดที่ก็เท่ากับดูหมิ่นเจ้าแล้วเหรอ?” ขุนนางใหญ่ที่เถียงกลับเหมียวอี้ชื่อว่าฉีหลิงหวน เป็นทูตตรวจตรายศแม่ทัพใหญ่เกราะแดงสองแถบคนหนึ่งของตำหนักสวรรค์ จัดเป็นตำแหน่งที่ไม่เจาะจง ไม่เหมือนตำแหน่งเจาะจงอย่างพวกเทพประจำดาว ท่านโหวที่มีกำลังทหารในครอบครอง เขาเป็นคนของทัพตะวันตก ย่อมเป็นกำลังพลในเครือข่ายตระกูลอิ๋งอยู่แล้ว ไม่อย่างนั้นคงไม่เป็นฝ่ายกระโดดออกมาโจมตีก่อนหรอก “ต่อให้เจ้าคิดว่าทำแบบนั้นเป็นการดูหมิ่นเจ้า แต่เจ้ามีพยานพิสูจน์หรือเปล่าว่าอิ๋งอู๋เชวียพูดแบบนี้เพื่อดูหมิ่นเจ้า?”
เหมียวอี้หันมองรอบตำหนักทันที เงียบสงบเป็นแถบ ไม่มีใครออกหน้าช่วยเขาพูดสักคน เขากวาดสายตามองทุกคน แล้วสุดท้ายสายตาก็ไปหยุดอยู่บนตัวโค่วเจิงที่กำลังก้มหน้าก้มตา จากนั้นรีบหันกลับมาอีก เขาเองก็ไม่คิดว่าจะขอให้ตระกูลโค่วออกหน้ามาเป็นพยานให้เช่นกัน เขาชี้อิ๋งอู๋เชวีย “ทำไมต้องมีพยานด้วยล่ะ เจ้าแค่ถามอิ๋งอู๋เชวียว่าได้พูดหรือเปล่าก็พอ”
ฉีหลิงหวนถามอิ๋งอู๋เชวียจริงๆ ด้วย “อิ๋งอู๋เชวีย เจ้าเคยพูดอย่างนี้หรือเปล่า?”
อิ๋งอู๋เชวียอึ้งทันที เพราะเขาพูดอย่างนั้นต่อหน้าคนตระกูลโค่วจริงๆ แต่ถามแบบนี้หมายความว่าอะไรล่ะ? ทว่าเขาก็เข้าใจสายตาที่อีกฝ่ายส่งมาเตือน หนิวโหย่วเต๋อกับตระกูลโค่วเกี่ยวดองกันในนาม ถ้าให้คนตระกูลโค่วเป็นพยาน ฝั่งตัวเองก็สามารถเถียงกลับได้ว่าฝ่ายนั้นช่วยเหลือญาติ อีกทั้งตัวเองยังส่งเสียงแบบปกติมาก คนอื่นก็ไม่ได้ยินเช่นกัน ต่อให้ได้ยินแล้วคนของเครือข่ายอื่นก็ไม่กระโดดออกมาเป็นพยานช่วยหนิวโหย่วเต๋ออยู่ดี จึงตอบกลับเสียงดังทันที “ใส่ความ! หนิวโหย่วเต๋อกำลังใส่ความข้าน้อย ข้าน้อยไม่ได้พูดอย่างนั้น”
ที่จริงเขาก็อยากจะยืนขึ้นมาก ทว่าเหมียวอี้อาศัยโอกาสที่ฝ่าบาทให้ชี้พยานยืนขึ้นมา และเขาก็ทำได้เพียงอดทนไว้ก่อน
“หนิวโหย่วเต๋อ อิ๋งอู๋เชวียบอกว่าเขาไม่เคยพูด เจ้ามีพยานคนอื่นอีกมั้ย?” ฉีหลิงหวนถาม
เหมียวอี้มองเขาอย่างล้ำลึกแวบหนึ่ง แล้วก้มหน้ามองอิ๋งอู๋เชวียที่พูดโกหกอย่างสง่าผ่าเผยอีก ในใจเริ่มด่าว่า มารดาเจ้าเถอะ เป็นเพราะรังแกขุนนางทั้งราชสำนักแล้ว ก็เลยไม่มีใครช่วยเป็นพยานให้ข้า อยากจะยัดข้อหาก่อเรื่องมาให้ข้าชัดๆ!
คนที่นั่งอยู่ในงานจำนวนไม่น้อยมองเหมียวอี้ด้วยสายตาเวทนา ถ้ากำลังพลเครือค่ายตระกูลโค่วไม่ยื่นมือช่วย เกรงว่าเจ้าเด็กนี่คงจะตกอยู่ในอันตรายแล้ว ต่อให้กำลังพลเครือค่ายตระกูลโค่วจะยื่นมือช่วย แต่เกรงว่าจะไม่ได้ผลมากนัก จะกลายเป็นกำลังพลหลายฝ่ายในราชสำนักร่วมมือกันโจมตีกำลังพลสายตระกูลโค่วทันที ในเมื่อหนิวโหย่วเต๋อมาให้เชือดถึงที่แล้ว ก็ย่อมต้องเล่นงานให้ตายที่ราชสำนักให้หมดเรื่องหมดราวไป ถึงอย่างไรก็เป็นเรื่องที่ใช้ความพยายามแค่ไม่กี่ประโยคเท่านั้น
แม้แต่เม่ยเหนียงและลูกสาวก็ยังฟังออก ว่าจะใช้ข้อหาที่เหมียวอี้เป็นฝ่ายก่อเรื่องก่อนเล่นงานให้ตาย ต้องการจะจัดการเหมียวอี้ให้ถึงตาย!
ตอนนี้สตรีสูงศักดิ์ในงานเพิ่งจะเข้าใจ ว่าที่แท้แล้วราชสำนักก็อันตรายอย่างนี้นี่เอง แค่พูดไม่ถูกประโยคเดียวก็ตกอยู่ในความเสี่ยงได้ วันนี้นับว่าได้บทเรียนแล้ว
ใครจะคิดว่าเหมียวอี้จะไม่ตอบคำถามฉีหลิงหวน แต่จู่ๆ ก็กุมหมัดคารวะประมุขชิง “ฝ่าบาท อิ๋งอู๋เชวียไม่เพียงแค่บอกว่าข้าน้อยนั่งผิดที่ ถ้าด่าข้าน้อยคนเดียวก็ยังพอทนไหว แต่ยังแอบถ่ายทอดเสียงด่าข้าน้อยด้วย บอกว่าในใต้หล้าไม่มีใครกล้าล่วงเกินตระกูลอิ๋งของเขาได้ง่ายๆ บอกว่าถ้าออกจากอุทยานหลวงแล้วก็จะตามไปสังหารข้าน้อยเข้าสักวัน อีกทั้งในคำพูดยังสื่อความหมายดูหมิ่นราชินีสวรรค์ ข้าน้อยอยู่ในสังกัดตำหนักนารีสวรรค์ มีหรือที่จะทำหูทวนลมได้ ข้าน้อยถึงได้เดือดดาลมาก ไม่อย่างนั้นต่อให้ข้าน้อยจะใจกล้าขนาดไหน แต่ก็ไม่กล้าเสียงดังโวยวายที่พระตำหนักอุทยานหรอกขอรับ!”
เมื่อกล่าวคำนี้ออกมา ขุนนางทั้งราชสำนักก็ตกใจ ถึงแม้คนส่วนใหญ่จะไม่รู้ว่าอิ๋งอู๋เชวียไปดื่มสุรากับตระกูลโค่วแล้วตอนแรกไม่ได้บอกว่าหนิวโหย่วเต๋อนั่งผิดที่ แต่อาศัยประสบการณ์ที่ราชสำนัก ทุกคนก็ล้วนดูออกว่าฉีหลิงหวนกับอิ๋งอู๋เชวียสมคบกัน กำลังตั้งใจจะปฏิเสธข้อหาที่โดนยัดกลับ ดังนั้นจึงไม่รู้ว่าควรจะเชื่อคำพูดเหมียวอี้หรือไม่ อีกทั้งคนส่วนใหญ่ถึงขั้นเชื่อนิดๆ แล้วด้วยว่าอิ๋งอู๋เชวียอาจจะพูดแบบนี้ออกมาจริงๆ
เพียงแต่ทุกคนก็เข้าใจเช่นกัน ขนาดพูดอย่างเปิดเผยยังหาพยานไม่ได้ เช่นนั้นเมื่อแอบถ่ายทอดเสียงก็ยิ่งหาพยานไม่ได้เข้าไปอีก เพียงแต่คำพูดดูหมิ่นราชินีสวรรค์ ต่อให้ไม่มีพยานก็ร้ายแรงอยู่ดี!
“เจ้าโกหก เจ้าพูดเหลวไหล!” อิ๋งอู๋เชวียที่คุกเข่าอยู่ตรงนั้นร้อนใจทันที ชี้หน้าตะตอกด่าเหมียวอี้ แล้วกุมหมัดคารวะต่อเบื้องบนอีก “ฝ่าบาท ข้าน้อยข้าน้อยไม่เคยพูดจริงๆ ขอรับ หนิวโหย่วเต๋อกำลังใส่ร้ายข้าน้อย ฝ่าบาทได้โปรดพิจารณาตัดสินให้กระจ่าง!”
โค่วเจิงที่นั่งอยู่แถวหลังแอบหยิบระฆังดาราออกมาถามคนข้างนอกแล้ว ถามว่าตอนนั้นอิ๋งอู๋เชวียได้แอบถ่ายทอดเสียงกับเหมียวอี้หรือไม่ ผลก็คือได้คำตอบว่าไม่เคย จากนั้นก็ยืนยันซ้ำอีก โค่วฉินบอกว่าไม่มีเช่นกัน โค่วฉินบอกว่าตัวเองอยู่ข้างกายอิ๋งอู๋เชวีย มีวรยุทธ์พอๆ กับอิ๋งอู๋เชวีย ต่อให้มีคลื่นพลังอิทธิฤทธิ์แม้เพียงนิดเดียว แต่ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่สังเกตพบ โค่วฉินจึงถามกลับว่าโค่วเจิงเป็นอะไรไป?
พอกดระฆังดาราลงเก็บไว้ โค่วเจิงก็มองเหมียวอี้อย่างพูดไม่ออกทันที ต่อให้ตระกูลโค่วจะตัดขาดเหมียวอี้อย่างไร แต่ในนามก็ยังเกี่ยวข้องกันอยู่ ไม่ออกไปช่วยเป็นพยานให้เหมียวอี้ก็นับว่าแย่แล้ว จะให้กระโดดออกไปเป็นพยานให้ฝ่ายตรงข้ามเหมียวอี้อีกได้อย่างไร?
“ฝ่าบาท…” เสียงของผู้หญิงคนหนึ่งดังขึ้น ทำให้ทุกคนในตำหนักมองขึ้นไปทันที
เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ที่ใช้มือข้างหนึ่งประคองท้องป่องกลมทำสีหน้าฝืนใจยิ้ม ไม่น่าเชื่อว่าจะส่งเสียงแล้ว พอนางอ้าปาก เสียงโวยวายของอิ๋งอู๋เชวียก็หยุดชั่วคราว ฉีหลิงหวนที่กำลังจะเถียงก็ทำได้เพียงอดทนไว้ก่อนเช่นกัน
เหมียวอี้เงยหน้าขึ้น มองไปทางราชินีสวรรค์เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ที่เปล่งเสียงพูด ใบหน้าเขาเรียบเฉยไร้อารมณ์ มองข้ามสายตาของอิ๋งอู๋เชวียที่เหมือนจะกลืนกินเขา ในใจสงบนิ่งอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน นี่คือสิ่งที่ฝึกได้จากการผ่านความเป็นความตายมาหลายครั้ง รู้อย่างลึกซึ้งว่ายิ่งถึงยามหน้าสิ่วหน้าขวานก็ยิ่งต้องรับมืออย่างใจเย็น
ใช่ว่าเขาจะไม่เคยมาอุทยานหลวง เขาเฝ้าอุทยานหลวงมาหลายปีขนาดนั้น ใช่ว่าจะไม่เคยเจอเซี่ยโห้วเฉิงอวี่ ทั้งยังเคยถูกเซี่ยโห้วเฉิงอวี่ทำโทษด้วย ถ้าไม่ใช่เพราะมีกองทัพองครักษ์เฝ้าอยู่ เกรงว่าแส้สยบมังกรคงจะทำให้เขารักษาชีวิตตัวเองได้ยาก ดังนั้นจึงรู้อย่างลึกซึ้งว่าจิตใจของผู้หญิงคนนี้เป็นอย่างไร
ประมุขชิงขมวดคิ้วเล็กน้อย เขาไม่ค่อยชอบให้วังหลังสอดมือเข้ามาแทรกเรื่องในราชสำนัก จึงถามเสียเรียบว่า “ราชินีสวรรค์มีเรื่องอะไร?”
ขนาดเซี่ยโห้วท่าที่นั่งอยู่ด้านข้างก็ยังขมวดคิ้วมองเซี่ยโห้วเฉิงอวี่เบาๆ เช่นกัน เซี่ยโห้วลิ่งที่นั่งคุกเข่าอยู่ข้างหลังสีหน้าบึงตึงนิดหน่อย ก้มหน้าปิดบังแววตาที่ไม่สบอารมณ์
เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ยิ้มแห้ง “ฝ่าบาท ตามหลักแล้วในงานแบบนี้หม่อมฉันไม่ควรพูดอะไรมาก แต่คิดไปคิดมา นี่เป็นงานวันเกิดของท่านปู่หม่อมฉัน แถมหนิวโหย่วเต๋อก็เป็นคนในสังกัดตำหนักนารีสวรรค์ สิ่งที่หนิวโหย่วเต๋อเพิ่งพูดก็เหมือนจะเกี่ยวข้องกับหม่อมฉันด้วย ถ้าหม่อมฉันไม่สนใจใยดีอีก ก็เหมือนจะฟังดูเหลวไหลนะเพคะ ดังนั้นหม่อมฉันจึงอยากจะถามหนิวโหย่วเต๋อสักหน่อย ไม่ทรายว่าฝ่าบาทอนุญาตหรือไม่เพคะ?”
คำพูดนี้ของนางก็มีเหตุผลเหมือนกัน เพราะนี่คือราชสำนัก เดิมที่ก็เป็นสถานที่ที่ ‘พูดกันด้วยเหตุผล’ อยู่แล้ว ประมุขชิงพยักหน้าเบาๆ “ตราบใดที่ไม่ขัดต่อความยุติธรรม ราชินีสวรรค์ถามเถอะ”
“เพคะ!” เซี่ยโห้วเฉิงอวี่เอ่ยรับ แล้วหันกลับมามองเหมียวอี้ที่อยู่เบื้องล่าง ถามอย่างน่าเกรงขามว่า “หนิวโหย่วเต๋อ ข้าถามเจ้าหน่อย เจ้าบอกว่าอิ๋งอู๋เชวียแอบถ่ายทอดเสียงเกี่ยวกับข้า จริงหรือเปล่า?”
เหมียวอี้กุมหมัดคารวะตอบ “ตอบเหนียงเหนียง ย่อมเป็นเรื่องจริงอยู่แช้วขอรับ เพียงแต่อิ๋งอู๋เชวียไม่ยอมรับ ข้าน้อยเองก็จนใจ”
“เจ้าพูดเหลวไหล!” อิ๋งอู๋เชวียคำรามอย่างเกรี้ยวกราด เกิดอารมณ์ชั่ววูบอยากจะเข้าไปกัดเหมียวอี้ให้ตาย
“อิ๋งอู๋เชวีย ให้ข้าถามให้จบก่อนได้หรือไม่?” เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ยิ้มเรียบๆ ในขณะที่พูดข่มไว้ เพียงแต่ทุกคนล้วนสัมผัสได้ถึงความเย็นเยียบในน้ำเสียง
“…”อิ๋งอู๋เชวียหุบปากด้วยสีหน้าข่มกลั้นความโกรธ ตัวเองจะตะโกนปฏิเสธราชินีสวรรค์ได้เชียวเหรอ? ถ้ากล้าทำอย่างนี้จริงๆ ก็ต้องถูกขุนนางพิธีการลากออไปเฆี่ยนจนตายแน่
พอเขาหุบปากแล้ว เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ถึงได้ถามต่อ “หนิวโหย่วเต๋อ เขาว่าอะไรข้าบ้าง?”
“เอ่อ…” ตอนนี้เหมียวอี้กลับอึกอักเหมือนเริ่มลังเลแล้ว
อิ๋งอู๋เชวียเห็นสถานการณ์แบบนี้แล้วงงทันที ความโมโหหายไปหลายส่วน ในใจเริ่มยิ้มเจ้าเล่ห์ กล้าพูดซี้ซั้ว ข้าดูซิว่าเจ้าจะปั้นเรื่องต่อไปอย่างไร อย่าปั้นเรื่องจนตัวเองหาทางลงไม่ได้ล่ะ
เซี่ยโห้วเฉิงอวี่น้ำเสียงเคร่งขรึมลงเล็กน้อย “ทำไม? ปากเจ้าพูดว่าอิ๋งอู๋เชวียเป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้ พอข้าถามทำไมเจ้ากลับพูดไม่ออกแล้ว หรือว่าใจเจ้าไม่บริสุทธิ์?”
เหมียวอี้เงยหน้า ทำสีหน้าเคารพอย่างสูง ท่าทางฮึกเหิมเร้าใจ กุมหมัดคารวะกล่าวเสียงดังว่า “เหนียงเหนียง ไม่ใช่ว่าข้าน้อยพูดไม่ออก แต่คำพูดของอิ๋งอู๋เชวียไม่ใช่แค่เกี่ยวข้องกับเหนียงเหนียงเท่านั้น ทั้งยังเกี่ยวข้องกับสนมสวรรค์ด้วย ข้าน้อยไม่กล้าพูด เป็นเพราะข้าน้อยความจำไม่ดีด้วย จำได้ไม่ชัดเจนแล้ว เอาเป็นว่าข้าน้อยถูกคำพูดบางอย่างของอิ๋งอู๋เชวียทำให้โมโหแล้วจริงๆ ข้าน้อยเป็นคนไม่มีความสามารถอะไร ไม่มีมนุษย์สัมพันธ์เท่าไรด้วย แต่มีความจงรักภักดีอยู่เต็มอก รู้ว่าอะไรทำได้อะไรทำไม่ได้ นี่ก็เป็นสาเหตุว่าทำไมก่อนหน้านี้ข้าน้อยตะโกนว่า ‘คารวะโอรสสวรรค์’ ก็เพราะอยากให้อิ๋งอู๋เชวียรู้ว่าใครคือเจ้านาย ใครเป็นรอง บางทีในสายตาคนอื่นอาจมองว่าข้าประจบสอพลอ แต่สำหรับข้าน้อย อย่างไรเสียข้าน้อยก็เป็นขุนนางใต้สังกัดตำหนักนารีสวรรค์ ยามราชันถูกดูหมิ่น ขุนนางยอมตายถวายความจงรักภักดี ควรพิทักษ์จนตัวตาย! แล้วที่นี่ก็เป็นพระตำหนักอุทยานด้วย ถ้าเปลี่ยนเป็นตลาดผี ถ้าอิ๋งอู๋เชวียกล้าพูดแบบนี้ออกมา ข้าน้อยก็ไม่สนหรอกว่าจะมีภูมิหลังอะไร ข้าน้อยจะสังหารแน่นอน เรื่องโง่แบบนี้ข้าน้อยไม่ได้ทำเป็นครั้งแรก ข้าน้อยถึงได้ล่วงเกินคนไว้เยอะเกินไป เหนียงเหนียงได้โปรดอภัยด้วย!” เสียงสะเทือนราชสำนัก ท่าทางฮึกเหิมเร่าร้อน!
…………………………