พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - บทที่ 1722 ตั้งป้ายรับสมัคร
ในตึกศาลา กาน้ำชาใสใบหนึ่งส่งกลิ่นหอม จินม่านเหมือนจะเคยชินกับการต้มน้ำชาที่นี่แล้ว นางยกถ้วยสุราจิบช้าๆ คอยสังเกตการเปลี่ยนแปลงทางสีหน้าของหยางชิ่งที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามอย่างเงียบๆ
ในมือหยางชิ่งถือแผ่นหยกอันหนึ่ง กำลังตรวจอ่านอะไรบางอย่างด้วยสมาธิทั้งหมดที่มี หลังจากอ่านจบแล้ว เขาก็วางแผ่นหยกลงบนโต๊ะ แล้วหลับตาอมยิ้มอย่างชื่นมื่น ให้ความรู้สึกเหมือนผ่อนคลายยามได้ดื่มสุราชั้นดี
จินม่านวางถ้วยน้ำชาลง “ข่าวงานเลี้ยงวันเกิดพระตำหนักอุทยานที่หกลัทธิรวบรวมมาได้อยู่ที่นี่หมดแล้ว แต่จะจริงหรือเท็จก็ไม่รู้ ตามหลักแล้วบุคคลระดับสูงของตำหนักสวรรค์ไม่น่าจะแพร่ข่าวได้เร็วขนาดนี้ ไม่รู้เหมือนกันว่าเองอะไรกันแน่”
หยางชิ่งลืมตามองนางพลางยิ้มบางๆ “น่าจะเป็นประมุขชิงที่ปล่อยข่าว”
“หืม!” จินม่านงงเล็กน้อย จากนั้นก็พยักหน้าเหมือนเข้าใจกระจ่างในฉับพลัน แล้วถามต่อว่า “ราชาปราชญ์คิดจะทำอะไรกันแน่?”
“รอดูเงียบๆ ก็พอ” หยางชิ่งกล่าว
“ดึงตัวทัพเกรียงไกรหนึ่งแสนมาจากทัพเหนือใต้ออกตก ราชาปราชญ์จะเดิมพันชนะได้เหรอ? ถ้าแพ้ขึ้นมาเกรงว่าจะอันตรายถึงชีวิต พวกเราต้องเตรียมตัวรับมือหรือเปล่า” จินม่านลังเล
“ฮ่าๆ…” หยางชิ่งหัวเราะเบาๆ แล้วเงยหน้าดื่มน้ำชาหนึ่งอึกหมดถ้วย แล้วตบถ้วยน้ำชาลงบนโต๊ะ จากนั้นเดินไปทอดสายตามองทะเลกว้างใหญ่ไร้ขอบเขตที่ริมหน้าต่าง สีหน้าดูสุขสันต์หรรษา
จินม่านลุกขึ้นเดินเข้าไปหา มองเขาพร้อมถามว่า “หรือข้าพูดอะไรผิดไปเหรอ? ยังไม่ต้องพูดถึงกลุ่มขุนนางใหญ่ตำหนักสวรรค์จะแอบขัดขวางหรือเปล่า ลำพังแค่สถานที่อย่างจวนแม่ทัพภาคตลาดผี กำลังพลเกรียงไกรของสี่ทัพจะถ่อไปทำลายอนาคตตัวเองทำไม?”
ในสายตาของหยางชิ่งที่ทอดมองไปไกลแฝงด้วยสง่าราศีและความล้ำลึก ยิ้มอย่างดีอกดีใจ “แพ้ไม่ได้หรอก! ขอเพียงราชาปราชญ์ผ่านด่านที่งานเลี้ยงวันเกิดได้ ก็เท่ากับเอาตัวเองไปอยู่ในจุดที่ไม่แพ้แล้ว ต่อให้ขุนนางใหญ่ตำหนักสวรรค์จะขัดขวางอย่างไรก็ไร้ประโยชน์ ขัดขวางไม่ไหวเช่นกัน นอกเสียจากพวกเขาจะฆ่าราชาปราชญ์ทิ้งเสียเล ทว่าในเมื่อประมุขชิงลงมือแล้ว มีหรือที่จะทนดูราชาปราชญ์ประสบอันตราย? ไม่มีความกังวลตามมาแล้ว ทัพเกรียงไกรหนึ่งแสนเป็นของที่อยู่ในกระเป๋าราชาปราชญ์แล้ว!”
“อ้อ!” จินม่านทั้งประหลาดใจทั้งไม่เข้าใจ “หมายความว่ายังไง?”
“ไม่ต้องใจร้อน อีกไม่นานก็จะรู้เอง ประมุขปราชญ์จินตั้งตารอดูก็พอ!” หยางชิ่งส่ายหน้ายิ้มเบาๆ สายตาที่มองไปยังที่ไกลๆ มีสง่าราศีเป็นพิเศษ
ถึงแม้เขาจะช่วยร่างทิศทางใหญ่ของเรื่องครั้งนี้ให้เหมียวอี้ตั้งแต่แรกแล้ว ทว่าการลงมือทำโดยละเอียดทั้งหมดก็ยังต้องพึ่งพาเหมียวอี้ เขาไม่มีทางคาดเดาได้ว่าในงานเลี้ยงวันเกิดจะเกิดเหตุไม่คาดคิดอะไรบ้าง ดังนั้นตั้งแต่เหมียวอี้เริ่มไปที่อุทยานหลวง หัวใจเขาก็กังวลอยู่กับที่นั่นแล้ว เรียกได้ว่าอกสั่นขวัญแขวน รู้อย่างลึกซึ้งว่าถ้าพลาดนิดเดียว เหมียวอี้ก็จะตกอยู่ในภัยอันตรายที่เอาคืนไม่ได้ ได้แต่ฝากความหวังไว้กับความสามารถในการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าของเหมียวอี้ เมื่อไปอยู่ตรงสถานที่นั้นแล้ว หกลัทธิก็ไม่มีทางช่วยอะไรเหมียวอี้ได้อีก
ทว่าตอนนี้เมื่อดูจากข่าวที่ได้มา ก็พบว่าเหมียวอี้แสดงความสามารถในงานเลี้ยงได้อย่างกล้าหาญ ละเอียดรอบคอบ สุขุมเยือกเย็น ความกล้าหาญยามเสี่ยงอันตรายลำพังกับทักษะการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าที่โดดเด่นทำให้หยางชิ่งสะท้อนใจที่สู้ไม่ไหว สำเร็จแล้ว! เขารู้ว่าแผนการนี้สำเร็จแล้ว!
สำหรับการเผชิญหน้ากับผลลัพธ์ที่กำลังจะเกิดขึ้น เขาสามารถคาดเดาทุกอย่างได้แล้ว สายตาที่ทอดมองไปไกลอมยิ้มชัดเจน พลางพึมพำกับตัวเองว่า “การใหญ่ควรค่าแก่การเฝ้าคอย!”
“อะไรนะ?” จินม่านได้ยินไม่ค่อยชัด จึงเอ่ยถามเขา
หยางชิ่งดึงสติกลับมา เอียงหน้ามองนาง แล้วถามกลั้วหัวเราะเปลี่ยนประเด็นสนทนา “คนนั้นที่เป็นสายลับอยู่ที่ตำหนักสวรรค์เป็นใครกันแน่?”
จินม่านอึ้งไปชั่วขณะ เข้าใจแล้วว่าเขากำลังถามถึงอะไร นางส่ายหน้าตอบว่า “ไม่รู้สิ ตามหลักแล้ว จะมีแต่เขาที่ติดต่อมาหาพวกเราก่อน พวกเราไม่เคยเป็นฝ่ายติดต่อไปหาเขาเลย ไม่เคยรู้ว่าเป็นใคร”
หยางชิ่งจ้องนางครู่หนึ่ง นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาถามคำถามนี้ เขามาอยู่ที่นี่นานแล้ว รู้เรื่องบางเรื่องแล้วเช่นกัน ยกตัวอย่างเช่นพวกจินม่านถูกคนผนึกไว้ในสถานที่แห่งหนึ่งแสนกว่าปี จนกระทั่งเหมียวอี้มาที่แดนอเวจีถึงได้หลุดพ้น ถึงแม้จินม่านจะไม่ยอมบอก แต่เขาก็พอจะเดาออกแล้วว่าเป็นฝีมือใคร หลังจากเขารู้ถึงศักยภาพของหกลัทธิที่เหลือรอดอยู่ที่นี่ ได้รู้ว่าอาศัยกำลังพลเท่านี้แต่สามารถโจมตีกำลังพลตำหนักสวรรค์ที่ล้อมปราบจนถอยกลับไปครั้งแล้วครั้งเล่า เขาก็ไปหาคนที่เข้าร่วมศึกใหญ่ในปีนั้นแล้วทำความเข้าใจสถานการณ์รบในปีนั้น ก็รู้แล้วว่าหกลัทธิมีสายลับทางตำหนักสวรรค์คอยเปิดเผยแนวทางแก้ไขสถานการณ์ทางทหารให้ จึงสืบจากปากจินม่านเพื่อยืนยันว่ามีคนคนนั้นอยู่จริงหรือไม่
“ทำไม? เจ้าคิดว่าข้าโกหกหรอก?” จินม่านขมวดคิ้วมุ่น
หยางชิ่งส่ายหน้า แล้วมองไปนอกหน้าต่างอีก เขาหันหน้ารับลมทะเล กล่าวช้าๆ เหมือนพึมพำกับตัวเอง “ข้าเพียงสะท้อนใจกับสายตาในการเลือกคนของใครบางคน ใช้เวลาไปแสนปีถึงจะเฟ้นหาคนแบบนี้มาได้สักคน เรียกได้ว่าสิ้นเปลืองกำลังความคิดจริงๆ! แล้วตอนนี้ข้าก็เหมือนจะเข้าใจอะไรบางอย่างแล้ว คนที่เขาต้องการเลือกไม่จำเป็นต้องมีพรสวรรค์พิเศษอะไร ไม่จำเป็นต้องฉลาดเกินไปด้วย บางทีสิ่งที่ต้องการอาจจะเป็นทักษะการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าที่เหนือกว่าคนอื่น ทักษะการลงมือปฏิบัติที่เหนือกว่าคนอื่น ทักษะการปรับตัวดำรงชีวิตที่เหนือชั้น จะได้สะดวกต่อการบรรลุเป้าหมายของเขา เกรงว่านี่ต่างหากคือเหตุผลที่เขาเลือกคนคนนี้แทนที่จะเลือกคนอื่น…”
สวนกลางเขียวขจี เหมียวอี้เหมือนจะนึกไม่ถึงว่าเรื่องการเดิมพันที่งานเลี้ยงจะแพร่ข่าวเร็วขนาดนี้ ตามหลักแล้วถ้าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับบุคคลระดับสูงของตำหนักสวรรค์ โดยทั่วไปข่าวก็จะไม่แพร่ออกไปง่ายๆ ถ้าจะมีการกระจายข่าวก็เกิดขึ้นในวงแคบเท่านั้น แต่ครั้งนี้ข่าวกับแพร่ไปทั่วทั้งใต้หล้าอย่างรวดเร็ว ทำให้เขารู้สึกประหลาดใจจริงๆ
เขาเองก็มีคนส่งข้อความมาถามด้วยความห่วงใยไม่ขาดสาย ถึงได้รู้ว่าข่าวนี้แพร่ออกไปในวงกว้างแล้ว หวงฝู่จวินโหรวรวมทั้งบรรดาอนุภรรยาต่างก็ส่งข่าวมาถาม รวมทั้งพวกอวิ๋นอ้าวเทียนที่แดนอเวจีด้วย แล้วก็มีพวกฝูชิงอีก แต่กลับไม่มีการถามไถ่จากทางอวิ๋นจือชิวและหยางชิ่ง ทางนั้นเหมือนจะเงียบมาตลอด
จนกระทั่งหวงฝู่จวินโหรวส่งข่าวมาบอกอีกครั้ง ว่าสืบรู้แล้วว่าทางสมาคมวีรชนได้รับคำสั่งจากเบื้องบนให้กระจายข่าว เหมียวอี้จึงได้เข้าใจกระจ่างในฉับพลัน ที่เรียกว่า ‘เบื้องบน’ ก็ย่อมหมายถึงวังสวรรค์ เขาถึงได้กำหนดเป้าหมายได้ว่าน่าจะเป็นประมุขชิง คาดว่าคงจะช่วยตนประชาสัมพันธ์ กลัวว่าตนจะแพ้เดิมพันไงล่ะ!
พักฟื้นเงียบๆ ที่อุทยานหลวงครึ่งเดือน เมื่อบาดแผลดีขึ้นพอสมควรแล้ว เหมียวอี้ถึงได้ตัดสินใจกลับ
ทางนี้เพิ่งจะเหาะออกจากดาวเคราะห์ของอุทยานหลวง ก็ถูกตงฟางเลี่ยขวางเอาไว้แล้ว ตงฟางเลี่ย เป็นรองผู้ตรวจการใหญ่ของหน่วยองครักษ์ขวา เขาได้รับคำสั่งให้คุ้มกันส่งเหมียวอี้กลับจวนแม่ทัพภาคตลาดผี สิ่งนี้ทำให้เหมียวอี้ตกใจในความเมตตานิดหน่อย นึกไม่ถึงว่าวังสวรรค์จะส่งคนระดับรองผู้ตรวจการใหญ่มาคุ้มกันส่งด้วยตัวเอง แต่พอนึกถึงประมุขชิงที่อยู่เบื้องหลัง เขาก็ปล่อยวางทันที
เขาไม่เห็นคนอื่น ทั้งการเดินทางมีเพียงตงฟางเลี่ยคนเดียวที่คุ้มกันส่ง
ระหว่างทาง ตงฟางเลี่ยสอบถามเหมียวอี้หลายครั้งว่าทำไมต้องสร้างทัพเกรียงไกรหนึ่งแสนที่ตลาดผี เหมียวอี้ปฏิเสธอ้อมๆ ไม่ยอมคายคำตอบ ถึงแม้ตัวเองจะเดาออกว่าประมุขชิงสั่งให้ตงฟางเลี่ยมาถาม แต่เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับความสำเร็จและล้มเหลว เขาเองก็ไม่รู้กำพืดตงฟางเลี่ยแน่ชัด ไม่กล้าเปิดเผยอะไรให้ฟังง่ายๆ บอกเพียงว่าไปถึงตลาดผีก็ย่อมรู้แล้ว
ตอนใกล้ถึงตลาดผี เหมียวอี้ถึงได้รู้ว่าตงฟางเลี่ยไม่ได้มาคุ้มกันส่งคนเดียวเลย พอโบกมือก็เรียกทัพใหญ่ออกมาหนึ่งกองทัพ แล้ววางกำลังไว้ตามทางตลอดทาง เมื่อถามดูถึงได้รู้ว่าเตรียมป้องกันคนเล่นไม่ซื่อที่คอยดักกำลังพลที่จะมาขอพึ่งพาที่ตลาดผี แล้วก็มีอีกพันคนติดตามตงฟางเลี่ยกับเหมียวอี้เข้าตลาดผีด้วยกัน ตงฟางเลี่ยบอกว่ากำลังพลกลุ่มนี้ต้องพักอยู่ที่จวนแม่ทัพภาคตลาดผีระยะยาวเพื่อคุ้มครองความปลอดภัยให้เหมียวอี้ จนกว่าเดิมพันจบลงถึงจะถอนกำลังออกไป
ส่วนหลังจากการเดิมพันจบลง เหมียวอี้ก็เข้าใจได้เช่นกัน ว่าถึงตอนนั้นประมุขชิงก็ไม่สนใจความเป็นความตายของเขาแล้ว
พอถึงจวนแม่ทัพภาคตลาดผี ตงฟางเลี่ยก็เรียกรวมกำลังพลของตระกูลโค่วที่อยู่ทีนี่ แล้วหยิบคำสั่งของตำหนักนารีสวรรค์ขึ้นมา ประกาศคำสั่งตรงนั้นเลยว่า ให้กำลังพลตระกูลโค่วที่อยู่จวนแม่ทัพภาคตลาดผีถอนกำลังออกไปเดี๋ยวนี้ ห้ามล้าช้าเสียเวลา แบบนี้เท่ากับไม่ต้องให้ตระกูลโค่วถอนกำลังคนกลับไปเองแล้ว ตำหนักนารีสวรรค์เตะคนของตระกูลโค่วออกไปล่วงหน้า สาเหตุก็ไม่ซับซ้อน เหมียวอี้เดาออกแล้วเช่นกัน ว่าเบื้องบนไม่วางใจกำลังพลของตระกูลโค่ว นับว่าปกป้องความปลอดภัยของเหมียวอี้ด้วย
ตระกูลโค่วถอนกำลังพลตามคำสั่งทันที คนที่ตงฟางเลี่ยพามารับงานป้องกันจวนแม่ทัพภาคตลาดผีต่อ โดยมีตงฟางเลี่ยคุมการวางกำลังด้วยตัวเอง
จวนแม่ทัพภาคใหม่เดิมทีอยู่ในจุดที่ค่อนข้างเงียบสงบลับตาคน ตอนนี้เนื่องจากเหมียวอี้กลับมาแล้ว รอบข้างจึงเริ่มเปลี่ยนเป็นคึกคัก ตอนนี้ผู้คนรู้เรื่องการเดิมพันที่งานเลี้ยงวันเกิดหมดแล้ว คนจากฝ่ายต่างๆ มารวมตัวกันสืบที่นี่ อยากจะเห็นว่าจะรับสมัครทัพเกรียงไกรหนึ่งแสนได้อย่างไร
ตงฟางเลี่ยที่มองความเคลื่อนไหวนอกประตูหันตัวกลับเข้ามาในกำแพงอีกครั้ง แล้วถ่ายทอดคำสั่งอย่างเย็นเยียบ “กำลังพลหกร้อนผลัดเวรกันรอรับคำสั่งอยู่ในจวนแม่ทัพภาค เตรียมรับมือความเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา สั่งให้กำลังพลสี่ร้อยเฝ้านอกจวนจวนแม่ทัพภาค ผู้ที่ถือวิสาสะเข้ามาใกล้ ฆ่าไม่ละเว้น! ถ้ามีความเสียหายอะไร ก็หิ้วหัวมาพบข้า!”
“รับทราบ!” ลูกน้องของเขาเอ่ยรับคำสั่งแล้วออกไป
ในจวน หลังจากห่างกันไปสักพักแล้วกลับมาพบกันใหม่ เหมียวอี้กับอวิ๋นจือชิวจับมือสบตากันพักหนึ่ง เข้าใจกันทุกอย่างโดยไม่ต้องพูดอะไร
“เรื่องนี้จะชักช้าไม่ได้ กลัวว่าค่ำคืนยาวนานแล้วความฝันจะแปรเปลี่ยน!” เหมียวอี้สั่งอย่างใจเย็น อวิ๋นจือชิวพยักหน้าขานรับ “เตรียมทุกอย่างไว้เรียบร้อยแลว”
หลังจากปล่อยมือนางแล้ว เหมียวอี้ก็เดินก้าวยาวออกไป อวิ๋นจือชิวและพวกหยางเจาชิงรีบเดินตามอยู่ข้างหลังเขา เดินมาถึงพระอุโบสถชั้นบน เป็นจุดที่เคยเจอกับอวี้หลัวช่าและเม่ยจีครั้งแรก
แผ่นหินที่เตรียมไว้เรียบร้อยตั้งอยู่กลางพระอุโบสถ แผ่นป้ายหินที่ราบเรียบขาดเพียงอักษรบนป้ายหิน
เหมียวอี้เดินวนแผ่นหินรอบหนึ่ง จากนั้นยืนนิ่ง หลับตาลงช้าๆ หลับตายืนเงียบอยู่ตรงหน้าแผ่นป้ายครู่หนึ่ง
พอลืมตาอีกครั้ง เขาก็โบกทวนเกล็ดย้อนมาไว้ในมือ เขาออกทวนปล่อยเสียงเย็นพร้อมเสียงมังกรคำราม หัวทวนแหลมคมทิ้งร่องรอยอักษรไว้บนผิวป้ายหินอย่างรวดเร็ว ฝุ่นผงที่ถูกกรีดออกมาถูกพลังอิทธิฤทธิ์ที่ปล่อยจากตัวทวนกวาดออกไป เผยตัวอักษรแต่ละตัวที่ไม่นับว่าสวยงามนักทว่าสลักไว้อย่างแข็งแรงมีพลัง ดูมีพลังอำนาจไปอีกแบบ ตัวอักษรปรากฏคนตามการเคลื่อนไหวของหัวทวน
พอเขียนเสร็จหน้าหนึ่งแล้ว ก็สะบัดทวนเร่งเขียนที่หน้าถัดไปอย่างรวดเร็ว
เมื่อเห็นตัวอักษรที่เขียนเสร็จบนหน้านั้นแล้ว หยางเจาชิงถึงได้รู้ว่าเหมียวอี้ต้องการรับสมัครคนแบบไหน เรีบกได้ว่าตกตะลึงอ้าปากค้าง
พอเขียนสองหน้าเสร็จแล้ว ตึ้ง! เหมียวอี้กระทุ้งทวนบนพื้น แล้วกล่าวเสียงต่ำ “ยกออกไป ตั้งนอกประตูจวนแม่ทัพภาค รับสมัครคนเดี๋ยวนี้!”
“ขอรับ!” หยางเจาชิงกุมหมัดเอ่ยรับ แล้วเก็บแผ่นหินที่สูงเกือบหนึ่งจั้งออกไป
บังเอิญเจอกับตงฟางเลี่ยในลานบ้าน หยางเจาชิงกุมหมัดคารวะ “นายท่านตงฟาง โปรดมอบลูกมือให้ข้าสี่คน”
ตงฟางเลี่ยมองเขาศีรษะจดเท้า แล้วถามเสียงเรียบ “เอาไปทำอะไร?”
หยางเจาชิงตอบว่า “ท่านแม่ทัพภาคเพิ่งเขียนป้ายอักษรรับสมัครคนเสร็จ ต้องการจะตั้งป้ายไปนอกจวนแม่ทัพภาค กลัวว่าจะมีคนถือวิสาสะมาทำลายป้ายอักษรหิน หวังว่าจะมีคนเฝ้าให้ทั้งวันทั้งคืนขอรับ”
เร็วขนาดนี้เชียวเหรอ? ตงฟางเลี่ยตกใจ พอยกมือดีดนิ้ว ลูกน้องที่อยู่ข้างหลังก็ตะโกนทันที “ทหาร!”
ผ่านไปไม่นาน ทหารยามที่เฝ้าประตูจวนแม่ทัพภาคตลาดผีฝั่งซ้ายและขวาก็หลีกทาง ทหารสวรรค์กลุ่มหนึ่งคุ้มกันหยางเจาชิงเดินออกจากประตูใหญ่จวนแม่ทัพภาคแล้ว ตงฟางเลี่ยก็อยู่ในนั้นเช่นกัน
พอเดินออกจากประตูใหญ่ได้ประมาณห้าสิบจั้ง หยางเจาชิงก็มองดูตำแหน่งรอบๆ แล้วโบกมือเรียกแผ่นหินออกมา เสียงแผ่นหินตกลงพื้นดังโครม ป้ายอักษรหินสูงเกือบหนึ่งจั้งปักลงนอกประตูจวนแม่ทัพภาคตลาดผีอย่างเป็นทางการ
ตงฟางเลี่ยที่เดินตามมาดีใจที่ได้เห็นก่อน กวาดสายตามองตัวอักษรหยาบๆ ธรรมดาบนป้ายอักษรหินที่เขียนว่า ‘รับสมัคร’ แล้วรีบมองลงมาข้างล่าง ทำให้เขาถลึงตาโตสองข้าง ทำท่าเหมือนทำใจเชื่อได้ยาก
…………………………