พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - บทที่ 1726 จิตใจว้าวุ่น
“อย่าบอกนะว่าจะขัดบัญชาสวรรค์เพื่อพุ่งเป้าไปหาหนิวโหย่วเต๋อ?” เม่ยเหนียงถาม
ก่วงลิ่งกงส่ายหน้าหัวเราะเบาๆ “เช่นนั้นหวังเฟยบอกหน่อยว่าข้าเคยทำเรื่องที่ขัดบัญชาสวรรค์หรือเปล่า? เรื่องบางเรื่องสามารถทำได้ แต่จะทำอย่างเปิดเผยไม่ได้ การที่พวกเขาไปพึ่งพาตลาดผีก็เท่ากับทรยศสี่ทัพ ไม่กล้ากลับมาที่ค่ายของสี่ทัพอีก เพราะกลัวว่าจะโดนชำระบัญชี ไม่กล้าไปที่ตลาดสวรรค์เช่นกัน เพราะถึงแม้ในนามตลาดสวรรค์จะอยู่ในสังกัดตำหนักนารีสวรรค์ แต่ที่จริงกลับถูดอิทธิพลของสี่ทัพอย่างล้ำลึก ดังนั้นถ้าพูดจากบางระดับ เมื่อไรที่คนพวกนี้ไปรวมตัวกัน ก็จะกลายเป็นกลุ่มผลประโยชน์เล็กๆ ที่มีหนิวโหย่วเต๋อเป็นหัวหน้า แน่นอน ยังมีความเป็นไปได้อีกอย่าง นั่นก็คือถูกกองทัพองครักษ์จัดระเบียบ แต่ประมุขชิงเป็นคนที่รักศักดิ์ศรีหน้าตา หนิวโหย่วเต๋อเพิ่งจะมอบตำแหน่งโหวให้เขาสี่ตำแหน่ง ถ้าเขารื้อเวทีทันทีจะไม่ถูกใต้หล้าหัวเราะเยาะหรอกหรือ? ดังนั้นภายในช่วงระยะเวลาหนึ่ง เขาก็ไม่มีทางไปแตะต้องกำลังพลของหนิวโหย่วเต๋อเลย และต่อให้กำลังพลกลุ่มนี้จะแข็งแกร่งแค่ไหน แต่อย่างมากก็เก่งในขอบเขตคนระดับเดียวกัน ยังไม่อยู่ในสายตาประมุขชิงหรอก และเมื่อเวลานานไป หนิวโหย่วเต๋อบัญชาการกองทัพหลายปี จะไม่มีพลังควบคุมสักนิดเลยเหรอ? แน่นอน ถ้าประมุขชิงต้องการจะปรับปรุงกำลังพลกลุ่มนี้ พวกเขาก็ต้านไม่ไหวเช่นกัน ถึงยังไงพลังก็อ่อนแอไปหน่อย ถ้ากล้าขัดคำสั่ง ประมุขชิงก็สามารถกำจัดกำลังพลกลุ่มนี้ทิ้งได้ทุกเมื่อ”
เม่ยเหนียงฟังจนงงงวยสับสน เหมือนจะฟังเข้าใจนิดหน่อย แต่ก็เหมือนจะฟังไม่เข้าใจเลยสักนิด
ทว่าจู่ๆ ก่วงลิ่งกงก็เปลี่ยนแระเด็นสนทนา “หวังเฟยรู้สึกว่าเม่ยเอ๋อร์กับหนิวโหย่วเต๋อเหมาะสมกันมากเหรอ?”
เม่ยเหนียงอึ้งทันที รีบบอกว่า “จะเป็นไปได้ยังไงคะ? เม่ยเอ๋อร์เป็นอนุภรรยาไม่ได้หรอก มิหนำซ้ำหนิวโหย่วเต๋อก็ไม่มีทางหย่ากับอวิ๋นจือชิวมาแต่งงานกับเม่ยเอ๋อร์ด้วย”
ก่วงลิ่งกงหัวเราะเบาๆ แล้วบอกว่า “ล้อเล่นกับเจ้าเฉยๆ ข้ายังมีธุระอีก ถ้าเจ้าไม่มีเรื่องอื่นก็ถอยออกไปก่อนเถอะ”
เม่ยเหนียงกลอกตามองบน แล้วย่อเข่าคำนับ “ข้าขอตัวค่ะ”
โกวเยว่กุมหมัดคารวะน้อมส่ง
เม่ยเหนียงที่เดินออกมานอกประตูแล้วกลับรู้สึกเศร้าใจนิดหน่อย ในหัวใจยังมีประโยค ‘กองทัพอันดับหนึ่งในใต้หล้า’ ดังก้อง พบว่าหนิวโหย่วเต๋อที่นางเอาใจช่วยมาตลอดไม่ทำให้นางผิดหวังจริงๆ ด้วย ยิ่งเป็นแบบนี้ ในใจนางก็ยิ่งรู้สึกหดหู่
หลังจากรอจนเงาคนหายไปแล้ว ก่วงลิ่งกงที่อยู่ในตำหนักก็ถามเสียงเรียบว่า “เจ้าคิดว่าระหว่างเม่ยเอ๋อร์กับหนิวโหย่วเต๋อยังมีความเป็นไปได้อยู่มั้ย?”
“เอ่อคือ…” โกวเยว่ครุ่นคิดครู่หนึ่ง แล้วตอบเบาๆ “อาศัยความงามของคุณหนู คาดว่าคงไม่มีผู้ชายคนไหนเห็นแล้วไม่หวั่นไหว”
ก่วงลิ่งกงหันตัวมาถาม “เจ้าหมายความว่ายังมีความเป็นไปได้เหรอ?”
“หรือว่า…” โกวเยว่ส่ายหน้า แต่ดูจากสีหน้าแล้ว เหมือนอึกอักแต่พูดไม่ออก
“มีอะไรก็พูดมาตรงๆ ทำไมต้องอึกอัก?” ก่วงลิ่งกงถาม
“ท่านอ๋องยังคิดจะดึงตัวหนิวโหย่วเต๋ออยู่อีกเหรอขอรับ?” โกวเยว่ถามกลับ
“คนเก่งขนาดนี้ ถ้าไม่ไปดึงตัวมา เช่นนั้นก็แปลว่าอ๋องผู้นี้ไร้ความสามารถแล้ว ถ้าบอกว่าจะดึงตัวตอนนี้อาจจะฟังดูเพ้อฝันเช่นกัน บทเรียนจากตระกูลโค่วก็มีให้เห็นแล้ว” ก่วงลิ่งกงหรี่ตากล่าวเสียงต่ำ สีหน้าเปลี่ยนแปลงยากคาดเดา
โกวเยว่รู้จักเขาดีเกินไป เมื่อนำคำพูดก่อนหน้านี้ของเขามาเชื่อมโยงกับสีหน้าและปฏิกิริยาในตอนนี้ ก็พอจะเดาความคิดของเขาออกแล้ว เพียงแต่เรื่องบางเรื่อง คนเป็นพ่อไม่สะดวกจะพูดออกมาก็เท่านั้นเอง เขาจึงบอกว่า “บ่าวมีกลยุทธ์ชั้นต่ำอย่างหนึ่ง ซื้อตัวไม่สู้ซื้อใจ ถ้าใจเขาอยู่ฝั่งท่านอ๋อง เมื่อโอกาสมาถึง การที่หนิวโหย่วเต๋อจะทำงานรับใช้ท่านอ๋องก็เป็นเรื่องที่สมเหตุสมผล ส่วนการฝืนเอาตัวมาแต่ใจไม่ได้อยู่ฝั่งนี้ นั่นก็เป็นเรื่องจอมปลอมเช่นกัน”
ก่วงลิ่งกงขานรับแล้วบอกว่า “เป็นกลยุทธ์ชั้นต่ำยังไง ลองดูให้ฟังหน่อย”
เสียงของโกวเยว่ต่ำเบาลงหลายส่วน “ก็อย่างที่บอก อาศัยความงามของคุณหนู คาดว่าคงไม่มีผู้ชายคนไหนไม่หวั่นไหว ถ้าฝืนยัดให้หนิวโหย่วเต๋อคงไม่ใช่เรื่องดี โบราณกล่าวว่าแตงที่ฝืนเด็ดจากต้นย่อมไม่หวาน แถมจุดประสงค์ที่ต้องการจะใช้ประโยชน์ก็ชัดเจนไปหน่อย หนิวโหย่วเต๋อเองก็ไม่ใช่คนโง่ แบบนี้มีแต่จะถูกอีกฝ่ายป้องกันด้วยซ้ำ ในเมื่อเป็นสามีภรรยากันไม่ได้ก็เป็นสหายกันไปก่อน เมื่ออยู่ด้วยกันนานๆ ไป อาศัยความงามของคุณหนู เมื่ออยู่กับหนิวโหย่วเต๋อนานไปก็จะเกิดความรักต่อกันได้ง่าย ถ้าระหว่างทั้งสองคนเกิดอะไรขึ้นแม้แต่นิดเดียว ท่านอ๋องก็แกล้งเลอะเลือนทำเป็นไม่รู้ก็ได้ คุณหนูเป็นบุตรีแท้ๆ ของท่านอ๋อง อาศัยจุดนี้ ถ้าเขามีความรู้สึกส่วนตัวกับคุณหนู ไม่ว่าจะในด้านความรู้สึกหรือเหตุผล ใจเขาก็จะเอนเอียงมาทางฝั่งท่านอ๋อง เรื่องบางเรื่องถ้าแกล้งเลอะเลือนไว้บ้างก็อาจจะซื้อใจคนได้ง่ายกว่าการใช้เงินทองและยศสูงมาล่อ จะเกาถูกใจคนได้ง่าย จะผูกมัดคนไว้ได้ง่ายยิ่งกว่า ถ้าโอกาสเหมาะสมเมื่อไร ทุกอย่างก็จะเหมาะเจาะเหมือนน้ำมาคลองเกิด”
“เพียงแต่ทำแบบนี้จะไม่ยุติธรรมกับเม่ยเอ๋อร์ไปหรือเปล่า?” ก่วงลิ่งกงลังเล
พูดมาถึงขั้นนี้แล้วแต่ยังชักช้าลังเล โกวเยว่ก็นับว่าเข้าใจแล้ว ว่าเขาต้องรับบทคนชั่วเอง จึงพูดโน้มน้าวว่า “การรวบรัดในเวลาสั้นๆ อาจจะไม่ดีกว่าการตัดบัวให้เหลือใย บางทีคุณหนูอาจจะได้รับความไม่ยุติธรรมบ้าง แต่สิ่งที่คุณหนูทำก็เป็นการเสียสละเพื่อทั้งตระกูลโค่ว ถ้าตระกูลโค่วดี คุณหนูถึงจะได้อยู่ดี ยิ่งไปกว่านั้น ขอเพียงทำให้หนิวโหย่วเต๋อผูกหัวใจไว้ที่ตัวคุณหนู ในอนาคตก็ใช่ว่าจะไม่มีโอกาสทำให้คุณหนูสมปรารถนา และถ้ามองจากบางมุม การให้คุณหนูกับเขามีความสัมพันธ์ลับๆ กัน ทนรับความไม่ยุติธรรมนิดหน่อยเพื่อเอาใจหนิวโหย่วเต๋อกับอวิ๋นจือชิว บางทีอาจจะคว้าใจหนิวโหย่วเต๋อได้มากกว่าขอรับ”
ก่วงลิ่งกงทำท่าลังเล เหมือนลำบากใจที่จะตัดสินใจมาก แต่สุดท้ายก็ยังพยักหน้าช้าๆ “อย่าให้ฮูหยินรู้เรื่องนี้นะ”
“ขอรับ!” โกวเยว่กุมหมัดเอ่ยรับ รู้ว่าเขาอนุญาตแล้ว
จวนเทพประจำดาวฟ้าเถาะ ในหอสง่างามน้อย ผังก้วนกํบพ่อบ้านเฉินหวยจิ่วกำลังสบตากันอยู่พักหนึ่ แล้วสุดท้ายก็ถอนหายใจ “ช่างเป็นแม่ทัพชั้นดีจริงๆ ถ้าเขาทำงานให้ข้าได้ก็คงดี”
เฉินหวยจิ่วบอกว่า “เขาดึงดูดสายตาคนมากเกินไป เกรงว่าเบื้องบนคงจะจับตาดูแล้ว นายท่านดึงตัวเขาไว้ไม่เหมาะสม นายท่านแอบสานสัมพันธ์อันดีกับเขาแล้วไม่ใช่เหรอ? แถมจุดอ่อนเขายังอยู่ในมือนายท่านด้วย ตราบใดที่รักษาความสัมพันธ์อันดีไว้ เรื่องในอนาคตไม่ว่าใครก็พูดได้ไม่ชัดเจน เขาอาจจะทำงานรับใช้นายท่านก็ได้ และงานของเขาก็อาจจะไม่ใช่การบุกรบราฆ่าฟัน ถ้ามีเรื่องอะไรแล้วให้เขาช่วยออกความคิดให้นายท่านก็ดีเหมือนกัน”
ผังก้วนครุ่นคิดพลางพยักหน้าเบาๆ
“แค่หวีผมยังหวีไม่เรียบร้อยเลย ไสหัวไปให้หมด”
หวงฝู่ตวนหรงที่นั่งหน้าโต๊ะเครื่องแป้งอารมณ์เสียมาก ทำให้สาวใช้สองคนตกใจแทบแย่ พวกนางรียถอยออกไปแล้ว
อู่หนิงที่เดินเข้าประตูมาหันกลับไปมองสาวใช้สองคนที่ตกใจอย่างงุนงง แล้วก็เดินไปหน้าโต๊ะเครื่องแป้งอีก ยืนอยู่ข้างหลังหวงฝู่ตวนหรงแล้วเพ่งมองผมของนางข้างซ้ายและข้างขวา
“มองอะไรของเจ้า? ไม่เคยเห็นหรือไง?” หวงฝู่ตวนหรงจ้องกระจกพร้อมถามเขาอย่างหงุดหงิด
อู่หนิงไม่ใส่ใจ กลับถามอย่างร่าเริงว่า “ผมเจ้าหวีได้ดีมากแล้วไม่ใช่เหรอ?”
“ผู้ชายอย่างพวกเจ้าจะเข้าใจอะไร?” หวงฝู่ตวนหรงถาม
อู่หนิงส่ายหน้าหัวเรา ช่วยนางแก้มัดมวยผม แล้วหยิบหวีออกมาจัดแต่งทรงให้นางใหม่ “สองวันนี้อารมณ์เจ้าไม่ค่อยปกตินะ มีเรื่องอะไรก็เล่าให้ข้าฟังเพื่อคลายความกลัดกลุ้มได้”
หวงฝู่ตวนหรงถลึงตา “คลายความกลัดกลุ้ม? แค่เห็นเจ้าก็รำคาญแล้ว เที่ยวเล่นสบายใจทั้งวัน”
อู่หนิงไม่หยุดมือ จัดแต่งทรงผมได้ชำนาญเป็นพิเศษ กล่าวกลั้วหัวเราะว่า “พอแล้ว! โหรวโหรวกำลังจะกลับมาแล้ว เจ้าเป็นแม่คน เตรียมจะให้ลูกสาวกลับมาเห็นสีหน้าของเจ้าแบบนี้เหรอ? ห่างกันไกลจะพบหน้ากันสักครั้งไม่ง่ายเลย เห็นหน้าลูกสาวแล้วระงับความโกรธหน่อย”
“พวกเจ้าสองพ่อลูกไม่มีใครทำให้ข้าเบาใจสักคน เห็นแล้วโมโห” หวงฝู่ตวนหรงตวาดใส่อย่างไม่เกรงใจแม้แต่น้อย
อู่หนิงหัวเราะต่อไป ได้แต่ส่ายหน้าอยู่อย่างนั้น ปล่อยให้ด่าตามอำเภอใจ ไม่เถียงแล้ว อย่างไรเสียพูดอะไรไปก็ผิด
หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง หวงฝู่ตวนหรงก็เป็นฝ่ายถามก่อน “ช่วงนี้การรับสมัครคนที่จวนแม่ทัพภาคตลาดฮือฮาไม่เบาเลยนะ! เจ้าคิดว่ายังไง?”
อู่หนิงหยุดมือเล็กน้อย จากนั้นก็จัดแต่งทรงผมต่อไป เพียงแต่กล่าวอย่างสะท้อนใจว่า “หนิวโหย่วเต๋อคนนี้ไม่ธรรมดาเลย มีคนอยากจะกดเขาไว้ที่ตลาดผี เกรงว่าจะกดไม่ไหวแล้ว เป็นตัวละครที่หาพบได้ยาก”
หวงฝู่ตวนหรงจ้องกระจกพลางถามซักไซ้ “พอเป็นแบบนี้ เขามีโอกาสกลายเป็นเจ้าอาณาเขตจริงเหรอ?”
อู่หนิงถอนหายใจ “ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาด ตำแหน่งหัวหน้าภาคแดนรัตติกาลคงหนีเขาไม่พ้นแล้ว ตั้งตารอไปเถอะ”
หวงฝู่ตวนหรงแสยะยิ้ม “ขุนนางทั้งราชสำนักเป็นอะไรกันไปหมด ไม่น่าเชื่อว่าจะโดนคนไร้ยางอายใช้วิธีการสกปรกเพื่อช่วงชิงผลประโยชน์แล้ว”
อู่หนิงยิ้มพร้อมกล่าวว่า “เจ้าน่ะ! เจ้าก็แค่เห็นว่าเขากับโหรวโหรวเคยขัดแย้งกันไม่ใช่เหรอ นั่นเป็นเรื่องที่ผ่านมานานมากแล้ว ทำไมต้องเก็บมาใส่ใจอยู่อีก? แล้วอีกอย่างนะ เจ้าตัวไม่ได้ใช้วิธีการสกปรกเพื่อช่วงชิงผลประโยชน์เลย แต่เป็นคนมีความสามารถที่แท้จริงต่างหาก จะไม่วางแผนเพื่ออนาคตได้ยังไงกัน? คนที่บัญชาการกองทัพ ศึกไม่หน่ายเล่ห์ ไงล่ะ! แล้วอีกอย่างนะ แผนการที่ใช้วิธีการสกปรกเพื่อช่วงชิงผลประโยชน์แบบนี้เจ้าคิดออกมั้ยล่ะ? เรียกได้ว่าแผนซ้อนแผน มีแผนสำรองตลอด ไม่ธรรมดาจริงๆ หนิวโหย่วเต๋อมีความสามารถขนาดนี้ ดีไม่ดีความสำเร็จอาจจะไม่ได้อยู่แค่นี้ก็ได้!”
หวงฝู่ตวนหรงฟังจนจิตใจสับสนวุ่นวาย ตีมือเขาออก แล้วกล่าวอย่างทนรำคาญไม่ไหว “ไปให้พ้น ไปให้พ้น ดูมือเท้าโง่ๆ ของเจ้าจัดทรงผมให้ข้าสิ”
“…” อู่หนิงพูดไม่ออก ปักหวีไว้บนผมงามของนางด้วยรอยยิ้มเจื่อนๆ แล้วสะบัดชายเสื้อเดินวางมาดออกไป แต่พอเดินไปถึงประตูก็ยื่นหัวกลับมาอีก “ฮูหยิน ข้าจะทำของอร่อยไว้รอต้อนรับลูกสาว เจ้ารีบจัดทรงผมแล้วมาช่วยข้าทำหน่อย”
“ไสหัวไป!” หวงฝู่ตวนหรงคว้าตลับแป้งโยนใส่ อู่หนิงหดหัวหลบ เหลือเพียงเสียงตลับแป้งกระแทกประตูตกพื้น
บนยอดเขาที่มีหิมะปกคลุมขาวโพลน ตรงตีนถูเขาหิมะเขียวชอุ่ม น้ำแข็งละลายเป็นลำธารไม่หยุด ตรงริมฝั่งแห่งหนึ่งที่มีน้ำไหลผ่านอย่างสงบ บนโขดหินมีชายชุดเหลืองคนหนึ่งกำลังเอามือลูบเคราพลางตกปลา สายตาจ้องทุ่นลอยบนผิวน้ำ เหมือนเหม่อลอยเล็กน้อย ทุ่นลอยกะรเพื่อมไม่หยุด มีปลากัดเบ็ดแล้วแต่เขากลับไม่มีปฏิกิริยาอะไร
ชายชุดดำคนหนึ่งเหาะลงมาจากฟ้า สายตากวาดมองตามริมฝั่ง ตรงหว่างคิ้วเผยวรยุทธ์บงกชรุ้งขั้นหก สายตาหยุดอยู่ที่ชายชุดเหลืองเบื้องล่าง ก่อนจะถลันตัวไปเหยียบลงด้านข้าง
พอชายชุดเหลืองเห็นเขา ก็ยืนขึ้นทันที ถามว่า “กลับมาเร็วขนาดนี้เชียว? ไปสืบความจริงมาแล้วเหรอ?”
“ไม่ใช่ว่าข้าเร็วหรอก ข้าเพิ่งจะเอาของดีชุดหนึ่งไปขายที่ตลาดผี ข้าบังเอิญไปที่นั่นพอดี” ชายชุดดำโยนแผ่นหยกเข้ามา แล้วกล่าวเสียงเรียบ “อักษรบนป้ายหินจวนแม่ทัพภาคตลาดผีอยู่นี่แล้ว ไม่ตกสักตัวอักษร!”
ชายชุดเหลืองรับมาอ่าน หลังจากอ่านแล้วก็เงยหน้าด้วยแววตาเป็นประกาย ถามอย่างชัดเจนว่า “เป็นยังไง? ไปหรือไม่ไป”
ชายชุดดำยังคงมีสีหน้าสุขุมใจเย็น “ข้าคิดดีแล้ว ถ้าไปพึ่งพาจวนแม่ทัพภาคตลาดผี ก็จะหมายความว่าทรยศฝั่งนี้ จะกลายเป็นผูกความแค้นกับฝั่งนี้”
“หนิวโหย่วเต๋อกับฝั่งนี้ผูกความแค้นกันน้อยหรือไง? อย่างน้อยก็ไม่ต้องกังวลว่าเขาจะเจรจาสงบศึกกับฝั่งนี้แล้วขายพวกเรา” ชายชุดเหลืองกล่าว
ชายชุดดำบอกว่า “หนิวโหย่วเต๋อรับหนึ่งแสนคน เจ้ากับข้าอาจจะไม่ได้ดีที่สุด บวกกับตำแหน่งของเจ้ากับข้าก็ต่ำ ไปแล้วอาจจะไม่ได้ตำแหน่งดีๆ แล้วเขาอาจจะไม่รับพวกเราก็ได้”
“มีความสามารถขนาดนั้น ข้าว่าความสำเร็จของเขาไม่ได้หยุดอยู่แค่นี้แน่ ถ้าไปพึ่งพาตอนนี้ ไม่ว่าตำแหน่งในปัจจุบันจะเป็นยังไง แต่อย่างน้อยในอนาคตก็ยังมีโอกาส หรือเจ้าอยากจะเป็นเทพแห่งภูผาอยู่ที่นี่ไปทั้งชีวิต?” ชายชุดเหลืองชี้ไปยังยอดเขาที่มีหิมะขาวโพลนด้วยสีหน้าโกรธเคือง แต่ไม่นานก็กลับมาพูดด้วยน้ำเสียงปกติ “อย่างไรเสีย ต่อให้เขาจะไม่อยากรับพวกเราไว้ พวกเราก็กลับมาเงียบๆ ก็ได้ ข้าไม่เชื่อหรอกว่าเขาจะเปิดโปงตัวตนเพื่อขายพวกเรา ข้าตัดสินใจแน่วแน่แล้ว!” เขาโยนคันเบ็ดในมือลงน้ำ แสดงออกว่าตัดสินใจแล้ว
ชายชุดดำจ้องเขาพักหนึ่ง “ไป!” จู่ๆ ก็พูดทิ้งท้ายแล้วแฉลบขึ้นฟ้าไป ชายชุดเหลืองถลันตัวตาม ทั้งสองหายไปในท้องฟ้าอันกว้างใหญ่
…………………………