พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - บทที่ 1728 หนึ่งแสนสองหมื่นคน
ในมือคนคนนั้นถือแผ่นหยกไว้แล้ว ขณะที่ตรวจอ่านเนื้อหในแผ่นหยก ก็สำรวจเปรียบเทียบผู้สมัครไปด้วย จากนั้นก็ให้ผู้สมัครลงตราอิทธิฤทธิ์บนแผ่นหยกอีกครั้ง แล้วโยนแผ่นหยกเข้าไปในทางเล็กๆ ข้างหลัง ไม่รู้ว่าแผ่นหยกไหลไปไหนอีกแล้ว
คนที่นั่งด้านหลังโต๊ะยาวยื่นมือบอกใบ้ให้ผู้สมัครเข้าไปยังด่านต่อไปอีก
ผู้สมัครทำได้เพียงปฏิบัติตาม เดินเข้าไปเปิดม่านอีกครั้งเพื่อเข้าไปยังทางใต้ดินอีกช่วงหนึ่ง มาถึงห้องเล็กห้องที่สาม แต่ในห้องนี้มีทางเข้าออกเจ็ดทาง ข้างในมีคนยืนเอามือไขว้หลังอยู่หนึ่งคน ไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นช่างไม้นั้นเอง
ช่างไม้พยักหน้าเบาๆ ให้ผู้สมัคร แล้วยื่นมือบอกใบ้ว่าข้างๆ มีประกาศตั้งอยู่ ประกาศบอกว่าการสัมภาษณ์ของผู้สมัครสิ้นสุดแล้ว เพื่อปกป้องตัวตนของผู้สมัคร ไม่ให้เกิดปัญหายุ่งยากต่อผู้สมัคร เชิญสวมใส่หน้ากากปลอมตัวอีกครั้งได้ตรงนี้ สามารถออกไปได้ตามทางที่ระบุไว้ เดินตามทางใต้ดินที่กำหนดเพื่อออกจากตลาดผีและกลับไปยังสถานที่ของตัวเอง รอให้ทางนี้คัดเลือกเรียบร้อยแล้ว ผู้ที่ผ่านการคัดเลือกก็จะได้รับแจ้งก่อนที่การรับสมัครจะสิ้นสุดลง แต่ถ้าไม่ได้รับแจ้งก็ขออภัยด้วย
ผู้สมัครพูดไม่ออก ตั้งแต่เข้ามาในจวนแม่ทัพภาคตลาดผี ก็ไม่ได้พูดอะไรสักประโยค เท่ากับเดินผ่านทางใต้ดินรอบหนึ่ง สัมภาษณ์เสร็จเร็วขนาดนี้เลยเหรอ?
ขณะที่ผู้สมัครสวมหน้ากากปลอมตัวเงียบๆ ที่ทางเข้าออกทางอื่นก็มีคนเข้าออกจำนวนมาก หลังจากอ่านสิ่งที่อยู่บนประกาศแล้ว คนพวกนั้นก็งงเช่นกัน
หลังจากปลอมตัวเสร็จ ผู้สมัครก็ออกไปตามทางที่กำหนด เป็นทางใต้ดินอีกช่วงหนึ่ง พอเดินออกจากทางใต้ดิน ก็พบว่าตัวเองเข้ามาอยู่ส่วนในของจวนแม่ทัพภาคตลาดผีแล้ว จากนั้นเดินขึ้นไปบนตึกตลอดทางโดยมีกำลังพลของกองทัพองครักษ์คอยชี้บอกอยู่ตลอดสองข้างทาง ไม่สะดวกจะบุกไปไหนสุ่มสี่สุ่มห้า ทำได้เพียงเดินตามทางที่ระบุไว้
ผู้สมัครเดินตามทางขึ้นไปบนตึก หลังจากออกจากประตูใหญ่ ก็พบว่ามาถึงด้านนอกของตลาดผีแล้ว เดินออกจากทางใต้ดินแล้ว พอหันกลับมาอีกครั้ง ก็เห็นว่าข้างหลังมีคนเดินออกมาไม่หยุด เห็นได้ชัดว่าตัวเองไม่ใช่ข้อยกเว้น เพื่อนร่วมงานก็เป็นอย่างนี้เช่นกัน ผู้สมัครถอนหายใจเบาๆ นึกไม่ถึงว่าจะมีคนมาสมัครมากขนาดนี้ ไม่รู้ด้วยว่าตัวเองจะผ่านหรือไม่ เพียงแต่มาตรการนี้ในแม่ทัพภาคตลาดผีกลับทำลายความระแวงของเขาแล้วไม่น้อย ไม่ต้องกังวลว่าหากตัวเองไม่ผ่านการสมัครแล้วจะโดนเปิดโปงตัวตนจนคนของเขตเดิมจับได้ เขาเงยหน้ามองท้องฟ้าที่มีแสงสว่างขมุกขมัวแล้วพุ่งจากไปเลย
มีคนเข้าจวนแม่ทัพภาคผ่านทางใต้ดินของตลาดผีไม่ขาดสาย แล้วก็มีคนออกจากทางบนพื้นดินของจวนแม่ทัพภาคไม่น้อยเช่นกัน จากไปคนแล้วคนเล่าอย่างรวดเร็ว
ถึงแม้ผู้สมัครจะออกไปอย่างรวดเร็ว จำนวนที่จากไปก็ไม่น้อยด้วย แต่ก็ลดจำนวนคนที่ตลาดผีไม่ได้เลย
ในจวนแม่ทัพภาค หยางเจาชิงรับผิดชอบคุ้มกันส่งแผ่นหยกสัมภาษณ์หลายกองด้วยตัวเอง นำมาส่งในห้องห้องหนึ่งเพื่อแจกจ่ายให้แต่ละคนที่นั่งอยู่ในนี้
บัณฑิตรวบรวมคนแถวหนึ่งไปนั่งอยู่ตรงนั้น ทุกคนกำลังรีบตรวจอ่านแผ่นหยกสัมภาษณ์คนละแผ่น ขณะเดียวกันก็หยิบแผ่นหยกอีกแผ่นขึ้นมาด้วย แล้วรีบร่ายอิทธิฤทธิ์บันทึกชื่อและวรยุทธ์ของผู้สมัครอย่างรวดเร็ว แบ่งหมวดหมู่แผ่นหยกที่อ่านแล้วไว้บนโต๊ะของแต่ละคน วรยุทธ์เท่ากันกองไว้ด้วยกัน พอกองซ้อนกันจนล้นแล้ว บัณฑิตที่เดินไปเดินมาก็จะแบ่งหมวดหมู่ใส่ไว้ในกำไลเก็บสมบัติแต่ละวงอีก
หลังจากสมาชิกที่ตรวจอ่านเขียนบันทึกแผ่นหยกเสร็จแล้ว ก็จะส่งไปถึงมือบัณฑิตทันที บัณฑิตจะนำมาตรวจอ่านอยู่ข้างๆ และจัดทำสถิติ
หยางเจาชิงไม่กล้ารบกวนคนในห้อง เพราะรู้ว่ามีคนน้อย ทุกคนมีงานต้องทำเยอะมาก แล้วบางอย่างก็ไม่สะดวกจะส่งต่อให้คนอื่นทำด้วย ดังนั้นเขาจึงพยายามเข้าออกด้วยเสียงเบาที่สุด จะได้ไม่ทำให้ทุกคนเสียสมาธิ
หยางเจาชิงเพิ่งจะออกจากห้องไปได้ไม่นาน อวิ๋นจือชิวก็นำเชียนเอ๋อร์เข้ามาแล้ว พวกนางเดินย่องเข้ามา ไม่ได้รบกวนทุกคน
บัณฑิตเงยหน้ามองแวบหนึ่ง แล้วลุกขึ้นยืนทันที ขณะกำลังจะทำความเคารพ อวิ๋นจือชิวที่กวาดตามองรอบห้องก็โบกมือบอกเป็นนัยว่าไม่ต้องมากพิธี
บัณฑิตยังคงถ่ายทอดเสียงถามว่า “เถ้าแก่เนี้ย มีธุระอะไรเหรอ?” ถึงแม้ภายนอกกลุ่มคนงานของโรงเตี๊ยมเมฆาวายุจะเรียกอวิ๋นจือชิวว่าฮูหยิน แต่คำเรียกที่เรียกมานานแล้ว พอเปลี่ยนคำเรียกก็รู้สึกอึดอัดนิดหน่อย เมื่ออยู่ส่วนตัวก็ยังเรียกเถ้าแก่เนี้ยเหมือนเดิม ส่วนอวิ๋นจือชิวก็เห็นว่าเป็นเรื่องยากที่จะเปลี่ยนคนพวกนี้โดยสิ้นเชิง บางครั้งก็ยังหลุดเรียก ‘เถ้าแก่เนี้ย’ ออกมา สุดท้ายจึงไม่ฝืนแล้ว เพราะฟังไปฟังมาก็รู้สึกว่าใช้คำ ‘เถ้าแก่เนี้ย’ กับคนงานเก่าพวกนี้แล้วดูสนิทกันมากกว่า แต่ก็ยังย้ำไว้ว่าเมื่ออยู่ต่อหน้าคนอื่นต้องเปลี่ยนคำเรียก
อวิ๋นจือชิวมองคนงานที่กำลังยุ่งอีกครั้ง แล้วกวักมือให้เขา บอกใบ้ว่าให้ออกมาคุยกัน จากนั้นหันตัวเดินออกไป
บัณฑิตรีบตามออกไป แล้วถ่ายทอดเสียงถามว่า “เถ้าแก่เนี้ย เป็นอะไรไปขอรับ?”
อวิ๋นจือชิวหยุดยืนตรงทางใต้ดินข้างนอก แล้วถ่ายทอดเสียงบอกว่า “ผ่านไปหนึ่งเดือนแล้ว ต้องเริ่มลงมือสืบตัวตนของผู้สมัครแล้ว ถ้ามัวชักช้าอีก เวลาเดิมพันจำกัดเพียงหนึ่งปี กลัวว่าจะไม่ทัน เจ้าจำแนกวรยุทธ์ของแต่ละคนไว้หรือยัง?”
บัณฑิตเข้าใจแล้ว ตอนแรกที่พบว่าผู้สมัครมีมากขึ้นเรื่อยๆ ก็กำหนดภาพรวมเบื้องต้นได้แล้ว ว่าสาเหตุที่ภายในหนึ่งเดือนแรกงานยุ่งขนาดนี้ ก็เพราะต้องจัดการข้อมูลขั้นต้นก่อน ต้องเริ่มตรวจสอบว่าเป็นคนจากหน่วยงานไหน แล้วคนที่มาสมัครก็มีเยอะเกินไป ถ้าจะให้ตรวจสอบทีละคนก็ฟังดูไม่ค่อยสอดคล้องกับความจริง ไม่ใช่งานที่กำลังคนจำนวนน้อยเท่านี้ทำได้ ทำได้เพียงเริ่มตรวจสอบจากคนที่วรยุทธ์สูงสุดลงไป
และภายในหนึ่งเดือนนี้ เหมียวอี้ก็เตรียมคนงานที่จะทำหน้าที่ตรวจสอบเอาไว้แล้วเช่นกัน ถ้าสามารถใช้เส้นสายได้ก็ต้องใช้
“เถ้าแก่เนี้ย วรยุทธ์ที่ต่ำกว่าบงกชรุ้งเกรงว่าจะไม่ต้องพิจารณาแล้ว” บัณฑิตนำแผ่นหยกขึ้นมาอ่านข้อมูลสรุปพร้อมเอ่ยบอก
“หรือว่าแค่นักพรตระดับบงกชรุ้งก็ครบหนึ่งแสนแล้ว?” อวิ๋นจือชิวถาอมย่างตกใจ
บัณฑิตพยักหน้า “นักพรตระดับบงกชรุ้งในข้อมูลสรุปตอนนี้มีเกือบแสนสองหมื่นคนแล้ว”
อวิ๋นจือชิวสูดหายใจอย่างตกตะลึง “นักพรตบงกชรุ้งโผล่มจากไหนมากมายขนาดนั้น? ในบรรดาเทพแห่งภูผาเทพแห่งผืนดินจะมีนักพรตบงกชรุ้งมากขนาดนั้นเชียวเหรอ?”
บัณฑิตตอบว่า “ตอนแรกข้าก็ตกใจเมือนกัน แต่พอมาคิดดูตอนหลัง ดาราจักรกว้างใหญ่ขนาดนั้น ใต้หญ้าขนาดนั้น เดิมทีนักพรตระดับล่างสุดก็มีจำนวนเยอะที่สุดอยู่แล้ว พวกเราไม่ได้เลือกจากสถานที่เดียว แต่เลือกจากทั้งใต้หล้า ได้เปรียบกว่าสี่อ๋องสวรรค์ ถึงขั้นได้เปรียบว่าทั้งตำหนักสวรรค์ด้วยซ้ำ ต่อให้กองทัพองครักษ์รับสมัครคน แต่ก็เกรงว่าจะไม่สะดวกเหมือนพวกเราในครั้งนี้ ถ้าสี่ทัพฝืนไม่ให้กองทัพองครักษ์ กองทัพองครักษ์ก็ทำอะไรไม่ได้อยู่ดี แต่พวกเราได้รับอนุญาตจากอำนาจทุกฝ่ายของตำหนักสวรรค์แล้ว วีรบุรุษในใต้หล้าถึงได้มาเบียดรวมตัวกันที่นี่ ถ้าท่ามกลางนักพรตที่โดนบีบคั้นทั้งใต้หล้ามีไม่ถึงแสนกว่า แบบนั้นสิแปลก เถ้าแก่เนี้ย นายท่านรับสมัครคนได้โหดมากจริงๆ!”
อวิ๋นจือชิวพูดไม่ออกไปพักหนึ่ง นางไม่ได้บอกว่านี่คือความคิดของหยางชิ่ง ได้แต่ขมวดคิ้วถามว่า “นี่แค่หนึ่งเดือน มีนักพรตบงกชรุ้งมาแสนสองหมื่นแล้วเหรอ แล้วถ้าหนึ่งปีจะไม่แย่หรอกเหรอ?”
บัณฑิตตอบว่า “เถ้าแก่เนี้ยคิดมากไปแล้ว ข้าเห็นการเปลี่ยนแปลงของข้อมูลในหนึ่งเดือนนี้ชัดเจน เวลาที่นักพรตบงกชรุ้งมาเยอะที่สุดก็คือช่วงกลางของหนึ่งเดือนนี้ ตอนนี้ข้อมูลที่ปรากฏกำลังดิ่งลดลงแล้ว ข้าลองวิเคราะห์ดู เวลาหนึ่งเดือนนี้เพียงพอให้นักพรตบงกชรุ้งเดินทางข้ามดาราจักร คนที่ควรจะมาก็มากันหมดแล้ว ส่วนคนที่ไม่มาก็เห็นได้ชัดว่ายังมีความเคลือบแคลงต่อตลาดผี คาดว่าตอนหลังคงมีไม่มาไม่เยอะแล้ว เวลาหลังจากนี้ยังอีกนาน ตัวเลขที่เพิ่มขึ้นน่าจะไม่มากเท่าไรแล้วขอรับ”
อวิ๋นจือชิวพยักหน้า “มีเหตุผล”
บัณฑิตถามอีก “ยิ่งไปกว่านั้น ต่อให้มาเยอะกว่านี้ พวกเราก็จะเลือกจ้างคนที่มาก่อน เลือกจากคนที่วรยุทธ์สูงไล่ลงไปก็พอ”
“ตอนหลังยังไม่ต้องไปยุ่งหรอก เดี๋ยวเจ้านำของนักพรตบงกชรุ้งแสนสองหมื่นคนนี้มาก่อน ข้าจะเร่งทำสำเนาเก็บไว้” อวิ๋นจือชิวกำชับ แล้วกล่าวเสริมอีก “เออใช่ ครั้งก่อนเจ้าบอกว่ามีนักพรตระดับบงกชกลายมาสองคน สอบถามคนที่อยู่ในเหตุการณ์หรือยัง มีจุดไหนน่าสงสัยมั้ย?”
บัณฑิตกระพริบตาปริบๆ “ตอนนี้มีผู้สมัครระดับบงกชกลายทั้งหมดยี่สิบสามคนขอรับ”
“…” อวิ๋นจือชิวเบิกตากว้างครู่หนึ่ง แล้วเผยอปากอันเย้ายวนเล็กน้อย ดูน่ารักมาก แล้วสุดท้ายก็ถลังตาถาม “ทำไมเจ้าไม่บอกให้เร็วกว่านี้?”
บัณฑิตไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี “เถ้าแก่เนี้ย ท่านบอกเองว่าให้ข้ารวบรวมสมาธิ จะให้ข้า…”
อวิ๋นจือชิวพูดตัดบท “หุบปาก! เจ้ายังมีเหตุผลมาเถียงอีกเหรอ คิดบัญชีจนเลอะเลือนแล้วสินะ? ใช้ชีวิตมาตั้งหลายปี เอาประสบการณ์เข้าท้องหมาไปหมดแล้วเหรอ ไม่รู้จักพลิกแพลงเลยนะ!”
“ได้ ข้าเลอะเลือนเองก็ได้?”
“เข้าไม่ยอมเหรอ?”
“ข้าจะไม่ยอมได้ยังไง ข้ายอมอย่างหมอบราบคาบแก้วเลย” บัณฑิตกุมหมัดค้อมกายขอร้อง เขารู้จักท่านนี้ดีเกินไป ถ้ากล้าเถียงกับนาง ผลที่ตามมาก็ร้ายแรงมาก
เชียนเอ๋อร์ที่อยู่ข้างๆ แอบหัวเราะ ก็ช่วยไม่ได้จริงๆ ตั้งแต่ข้างบนยันข้างล่างรวมทั้งนายท่าน ไม่มีใครที่ไม่กลัวฮูหยิน นางคือแบบฉบับของเสือตัวเมียเลยล่ะ!
ก่อนหน้านี้นางรู้สึกว่าฮูหยินทำกับนายท่านเกินไป ตอนหลังเมื่อมาสืบแล้วถึงได้รู้ ว่าในปีนั้นตอนที่ฮูหยินยังเป็นแม่นางน้อยอยู่ที่นภาจอมมาร ก็ได้ฉายาว่าเป็นนางมารผู้เลื่องชื่อ มักจะทำให้นภาจอมมารไก่บินเตลิดหมาวิ่งพล่าน ตอนนี้แต่งงานแล้วก็นับว่าดีขึ้นเยอะ
“เชอะ!” อวิ๋นจือชิวถลึงตามองเขา “ยังมัวยืนทำอะไรอยู่ตรงนี้? รอตบรางวัลเหรอ?”
บัณฑิตรีบเลี้ยวหนี เพราะความหมายคลุมเครือของคำว่ารางวัลทำให้เขาไม่กล้ารับ มันอาจจะหมายถึงให้พวกพ่อครัวร่วมมือกันรุมซ้อมเขาก็ได้
ตลาดผีใต้ดิน ในที่สุดหลงซิ่นที่เบียดอยู่ท่ามกลางกลุ่มคนก็เดินมาถึงแถวหน้าแล้ว สุดท้ายก็ได้ป้ายลำดับและเริ่มต่อแถวโดยมีกองทัพองครักษ์คอยจับตาดู
เขาตกใจมาก เคยสงสัยว่าคนที่มาสมัครอาจจะไม่น้อย แต่ว่ามารดาเจ้าเถอะ นึกไม่ถึงว่าจะเยอะขนาดนี้ ไม่น่าเชื่อว่ารออยู่ที่นี่สามวันเต็มๆ กว่าจะได้ป้ายลำดับ เมื่อมองกลุ่มคนที่ดำพืดอยู่ข้างหลังตัวเองอีกครั้ง เขาก็ทอดถอนใจไม่หยุด ขณะเดียวกันก็รู้สึกสับสนมาก
ทำไมถึงสับสนน่ะเหรอ? ก็เพราะในมุมมองของคนที่เคยอยู่ตำแหน่งสูงมาก่อนอย่างเขา มองจากส่วนเล็กๆ ก็จะเห็นภาพรวม มองออกถึงสถานการณ์ปัจจุบันในสี่ทัพของอ๋องสวรรค์แล้ว
เขากล้ารับประกันได้เลย ว่าถ้าหลายหมื่นปีก่อนหนิวโหย่วเต๋อรับสมัครคนอย่างนี้ ก็คงไม่มีคนมาขอพึ่งพาเยอะขนาดนี้แน่ แต่ตอนนี้…ตำหนักสวรรค์เพิ่งก่อตั้งได้กี่ปีเองล่ะ? กลายเป็นอย่างนี้แล้วเหรอ?
ในที่สุดเขาก็เข้าใจแล้วเช่นกันว่าทำไมแผนการนี้ของหนิวโหย่วเต๋อจึงดำเนินไปอย่างราบรื่นขนาดนี้ เรื่องบางเรื่องคนที่อยู่ระดับสูงไม่อาจมองเห็น บางครั้งก็ตระหนักไม่ได้ถึงความร้ายแรงของปัญหา ถ้าใส่ใจปัญหาในด้านนี้มาตั้งแต่แรก ถ้าคิดจะระงับเรื่องด้านนี้เอาไว้ตั้งแต่แรก ถ้ามีคนเปิดเผยสักหน่อยก็จะทำให้ตื่นตัว แล้วแผนการนี้ของหนิวโหย่วเต๋อก็จะไม่สำเร็จเลย เขาสงสัยว่าจนกระทั่งตอนนี้ บุคคลระดับสูงของสี่ทัพอาจยังไม่รู้ชัดด้วยซ้ำว่าจะมีคนแบบไหนมาขอพึ่งพาหนิวโหย่วเต๋อบ้าง!
หลงซิ่นถือป้ายลำดับเดินมาข้างหน้าตลอดทาง จากนั้นรับแผ่นหยกแล้วเดินเข้าไปในจวนแม่ทัพภาคอีก เมื่อเห็นประกาศว่าให้เขียนประวัติส่วนตัวต่างๆ เขาก็ลังเลนิดหน่อย ไม่รู้ว่าถ้าเขียนประวัติของตัวเองแล้วจะทำให้คนอ่านตกใจหรือเปล่า ตอนนี้เขาค่อนข้างกังวลกับสิ่งที่สหายเก่าคนนั้นบอก หนิวโหย่วเต๋อจะกล้ารับเขาหรือเปล่า?
………………………