พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - บทที่ 1730 มีแต่ต้องให้ตงฟางเลี่ยไปพบเท่านั้น
ข่าวลือระหว่างอ๋องสวรรค์ฮ่าวเต๋อฟางกับพ่อบ้านซูอวิ้นไม่ใช่ความลับอะไร เหมียวอี้เองก็เคยได้ยินมาบ้าง มีบางคนกล่าวถึงอย่างชื่นชม บางกล่าวถึงเหมือนเป็นเรื่องตลก สรุปก็คือทุกข่าวลือล้วนบอกว่าซูอวิ้นเป็นผู้หญิงที่อ๋องสวรรค์ฮ่าวรัก และไม่เคยได้ยินคนในจวนตระกูลฮ่าวออกแก้ข่าวลือเช่นกัน เห็นได้ชัดว่ามีโอกาสเป็นเรื่องจริงสูงมาก ส่วนชิงเยว่ก็ฆ่าล้างตระกูลซูอวิ้น ไม่แปลกใจที่เป็นอย่างนี้
ไม่แปลกใจที่ถูกลดตำแหน่งเป็นเทพแห่งภูผา ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ เหมียวอี้มองแผ่นหยกในมือ ชิงเยว่ไม่ได้บรรยายความแค้นระหว่างตัวเองกับฮ่าวเต๋อฟาง บอกเพียงว่าเคยเป็นทูตลาดตระเวนฝั่งใต้ จากนั้นถูกลดตำแหน่งเป็นเทพแห่งภูผาเพราะไม่ล่วงเกินคนอื่นเอาไว้ เพียงแต่พอคิดไปคิดมาก็พอเข้าใจได้ อีกฝ่ายยังไม่รู้ว่าตัวเองจะผ่านการคัดเลือกหรือไม่ จำเป็นต้องเขียนรายละเอียดเรื่องแบบนั้นลงบนแผ่นหยกที่ต้องผ่านมือคนไม่รู้ตั้งกี่มือด้วยเหรอ? เช่นเดียวกัน สิ่งที่หลงซิ่นเขียนเองก็เอ่ยถึงอย่างรวบรัดเท่านั้น ไม่ได้เขียนละเอียดขนาดนั้น
เหมียวอี้ถามอีก : แล้วเรื่องหลงซิ่นนี่ยังไง?
จินม่านตกตะลึงอีกครั้ง แต่ไม่แสดงอารมณ์ออกมา เพียงถามว่า : หลงซิ่น? ท่านโหวหลงซิ่นที่ถูกลดตำแหน่งน่ะเหรอ? เขาก็มาสมัครเหมือนกันเหรอคะ?
เหมียวอี้ : ไม่ผิดหรอก เป็นเขานั่นแหละ
จินม่าน : ก่อนข้าถูกขัง หลงซิ่นก็เป็นท่านโหว และหลังจากข้าหลุดขังแล้วสืบสถานการณ์ข้างนอก ถึงได้รู้ว่าหลงซิ่นถูกลดตำแหน่ง ได้ยินแค่ว่าเขามีเรื่องกับโจวจ้าวที่เป็นจอมพลคนปัจจุบัน พอพูดถึงพวกข้อหา ข้าเดาว่าคงมีปัญหาทั้งหมด ไม่รู้รายละเอียดว่าเพราะอะไรถึงถูกลดตำแหน่ง ข้าเองก็ไม่สะดวกจะพูดมั่วจนงานของราชาปราชญ์เสียหาย
หลังจากทั้งสองติดต่อกันเสร็จ จินม่านก็รีบไปคุยกับหยางชิ่งเรื่องนี้ ส่วนเหมียวอี้ก็เอามือไขว้หลังเดินไปเดินมาอยู่ในห้อง จะรับหรือจะไม่รับดี?
อวิ๋นจือชิวรออยู่ครู่หนึ่ง แล้วถามว่า “เรื่องของสองคนนี้เป็นยังไงกันแน่?”
“มารดาเจ้าเถอะ แต่ละคนตำแหน่งใหญ่กินกันไม่ลง…” เหมียวอี้บอกเล่าข้อมูลที่ได้มาให้ฟังคร่าวๆ
อย่าว่าแต่หลงซิ่นเลย ชิงเยว่คนนี้ทำให้อวิ๋นจือชิวพูดไม่ออกจริงๆ ยังไม่ต้องพูดถึงภูมิหลัง ไม่ถูกซูอวิ้นเล่นงานจนตายก็นับว่าดวงแข็งแล้ว ถ้าเปลี่ยนเป็นคนทั่วไปจะเป็นอย่างไรล่ะ นี่คือความแค้นที่ถูกฆ่าล้างตระกูลเชียวนะ มีใครบ้างที่จะไม่ล้างแค้น การที่ซูอวิ้นปล่อยให้ชิงเยว่ใช้ชีวิตอย่างสงบสุขหลายปีก็นับว่าเมตตามากแล้ว ไม่รู้เหมือนกันว่าเบื้องหลังมีฮ่าวเต๋อฟางคอยห้ามหรือเปล่า
“แล้วจะรับหรือไม่รับดีล่ะ? สองคนนั้นยังรอคำตอบอยู่นะ” อวิ๋นจือชิวชี้ระฆังดาราในมือตัวเอง ช่างไม้ยังรอคำตอบจากนางอยู่
เหมียวอี้ขมวดคิ้ว “ทำไมสองคนนี้ถึงบังเอิญโผล่มาพร้อมกัน ในนั้นจะมีปัญหาอะไรหรือเปล่า หรือว่ามีคนตั้งใจส่งมาก่อกวน? แล้วคนที่เคยอยู่ตำแหน่งสูงแบบนั้นจะฟังคำสั่งข้าเหรอ? ถ้ารับสองคนนี้ไว้จะมีผลอะไรตามมา?”
อวิ๋นจือชิวขมวดคิ้วเงียบๆ นี่คือเรื่องที่ทำให้คนปวดหัวจริงๆ นางชำเลืองมองบัณฑิตที่ยืนอยู่ข้างกาย แล้วถ่ายทอดเสียงบอกเหมียวอี้ว่า “หยางชิ่งเป็นคนออกความคิด ถามหยางชิ่งดีมั้ยว่ามีความคิดเห็นยังไง?”
ครั้งนี้เหมียวอี้เด็ดขาดมาก หยิบระฆังดาราออกมาติดต่อหยางชิ่งทันที
แดนอเวจี ดาวอู๋เลี่ยง หยางชิ่งกับจินม่านเดินออกจากจวนประมุขปราชญ์พร้อมกัน ทั้งสองเดินทอดน่องเลียบชายทะเลขึ้นไปบนหน้าผาด้วยกัน ลมทะเลเย็นสดชื่น ทว่าหยางชิ่งกลับขมวดคิ้วด้วยความกลุ้มใจ
เมื่อได้รับข่าวจากเหมียวอี้ หยางชิ่งก็คิดไม่ออกแล้วเช่นกัน เขาเองก็นึกไม่ถึงว่าการรับสมัครที่จวนแม่ทัพภาคตลาดผีจะทำให้มีละครอย่างนี้มาขอพึ่งพา ยังไม่ต้องพูดถึงว่าเจตนาของอีกฝ่ายจริงหรือปลอม ถ้ารับคนอย่างนี้เข้ามา เหมียวอี้จะควบคุมไหวเหรอ? คนอย่างนี้จะยอมรับการควบคุมจากเหมียวอี้เหรอ? ดีไม่ดีจะเป็นการดึงหมาป่าเจ้าเล่ห์เข้าบ้าน!
หลังจากทั้งสองปรึกษากันสักพัก หยางชิ่งก็ยังให้คำแนะนำที่ปลอดภัยเชื่อถือได้ : เพื่อความปลอดภัย นายท่านปฏิเสธอย่างอ้อมๆ เพื่อความเหมาะสม ก้าวนี้ของนายท่านใหญ่เกินไป เหมาะจะใจร้อนต้องการความสำเร็จ รอให้พลังของนายท่านเพิ่มขึ้นก่อน แล้วค่อยก้าวไปอีกขั้นก็ยังไม่สาย
ปฏิเสธเหรอ? เหมียวอี้รู้สึกเสียดายอยู่บ้าง ถ้าในมือมียอดฝีมือระดับสำแดงฤทธิ์สองคนคอยรักษาการณ์ ข้อดีก็เด่นชัดมาก จึงกล่าวอย่างเสียดายว่า : น่าเสียดายที่ไม่รู้ว่าสองคนที่มาพึ่งพาจริงใจหรือเปล่า ไม่อย่างนั้นการมีผู้ช่วยอย่างนี้ก็อาจจะไม่ใช่เรื่องแย่ กลัวก็แต่ว่าจะมีคนส่งมาก่อกวน
หยางชิ่ง : นายท่านอยากจะทดสอบเหรอว่าสองคนนี้มาสมัครด้วยความจริงใจหรือเปล่า ดูไม่ยากหรอกว่ามีคนส่งมาก่อกวนหรือไม่ แต่ประเด็นสำคัญก็คือ พวกเราไม่รู้รายละเอียดมากพอว่าสองคนนี้อุปนิสัยเป็นยังไง ถ้ามีคิดไม่ซื่อขึ้นมา ก็เกรงว่านายท่านจะควบคุมลำบาก ถ้าไม่มีแม้แต่ความมั่นใจในจุดนี้ ก็ไม่คุ้มที่จะเสี่ยงอันตราย ข้าน้อยแนะนำให้นายท่านปฏิเสธ คุมสถานการณ์ปัจจุบันให้ได้ก่อนแล้วค่อยว่ากัน
เหมียวอี้กลับตาเป็นประกาย ถามว่า : มีวิธีการยืนยันเหรอว่าสองคนนี้มาสมัครอย่างจริงใจหรือเปล่า?
พอหยางชิ่งได้ฟังคำถามนี้ ก็รู้สึกทันทีว่าเกิดปัญหาแล้ว รีบถามว่า : หรือว่านายท่านอยากจะรับสองคนนี้ไว้จริงๆ?
เหมียวอี้ไม่ได้ตอบคำถามนี้ ถามเพียงว่า : สองคนนี้อยู่นอกสายตาฝูงชนมานานเกินไป เกรงว่าคนที่อยู่แวดล้อมคงยากที่จะรู้ถึงความคิดของสองคนนี้ ข้ากำลังกังวลเรื่องการสืบที่ลำบาก ไม่ทราบว่าท่านบุรุษมีแผนดีอะไรมาตัดสินว่าความจริงใจของสองคนนี้จริงหรือปลอม?
หยางชิ่งยกมือตบหน้าบาก นึกเสียใจกับสิ่งที่พูดไปก่อนหน้านี้ หลุดปากพูดยั่วความอยากเหมียวอี้แล้วเข้าแล้ว เจ้าหนุ่มที่ใจกล้าคับฟ้ามีอะไรที่ไม่กล้าทำบ้างล่ะ
เมื่อจินม่านที่อยู่ข้างกันเห็นดังนั้น ก็ถามอย่างแปลกใจ “ทำไมผู้ช่วยใหญ่ดูหงุดหงิดขนาดนี้?”
หยางชิ่งโบกมือ ไม่สะดวกจะอธิบาย ได้แต่เตือนเหมียวอี้อีกครั้ง : นายท่านโปรดไตร่ตรอง ต่อให้ยืนยันได้ว่าสองคนที่มามีความจริงใจ แต่ก็ไม่สะดวกจะรับไว้อยู่ดี ถามหน่อยว่าคนที่แม้แต่ฮ่าวเต๋อฟางกับโจวจ้าวยังควบคุมได้ยาก ด้วยยศักยภาพของนายท่านจะคุมสองคนนี้ได้ยังไง?
เหมียวอี้ : ข้าก็ต้องไตร่ตรองอยู่แล้ว แค่อยากจะฟังความเห็นอันสูงส่งของท่านบุรุษเฉยๆ หวังว่าท่านบุรุษจะไม่ออมฝีมือเอาไว้
หยางชิ่งเงยหน้าถอนหายใจยาว เขาเองก็รู้จักนิสัยเหมียวอี้เช่นกัน รู้ว่าปฏิเสธไม่ไหวแล้ว นึกเสียใจทีหลังว่าไม่ควรหลุดปาก สุดท้ายก็ทำได้เพียงเขย่าระฆังดาราตอบไปว่า : ถ้าต้องการจะรู้ว่าสองคนที่มาบริสุทธิ์ใจมั้ยก็ไม่ยาก ไม่ต้องให้นายท่านคิดหาวิธีสืบเอาเองด้วย นายท่านสามารถใช้ประโยชน์จากตงฟางเลี่ยได้นิดหน่อย
ตงฟางเลี่ย? เหมียวอี้อึ้งทันที : จะใช้ประโยชน์ยังไง ท่านบุรุษได้โปรดอธิบายให้ชัดเจน
หยางชิ่ง : ถ้าเป็นอย่างที่คาดไว้ ตงฟางเลี่ยน่าจะรู้จักสองคนนี้ ให้ตงฟางเลี่ยไปพบสองคนนี้เพื่อตัดสินก่อนว่าตัวตนของทั้งสองเป็นข้อมูลจริงหรือไม่ จะได้ตัดความยุ่งยากในการส่งคนไปสืบ ระการต่อมา ประการต่อมา เมื่อตงฟางเลี่ยเจอสองคนนี้แล้ว ก็จะรายงานสถานการณ์ขึ้นไปแน่นอน นายท่านอาจจะไม่มีวิธีการสืบรายละเอียดของสองคนนี้ แต่วังสวรรค์จะไม่มีวิธีการเชียวหรือ? วังสวรรค์ไม่หวังให้นายท่านแพ้เดิมพันแน่ สองคนนี้บริสุทธิ์ใจหรือไม่ วังสวรรค์ย่อมตัดสินใจ ถ้าวังสวรรค์ไม่ห้าม นั่นก็แปลว่าสองคนนี้ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร แต่ถ้าวังสวรรค์รู้สึกว่าสองคนนี้มีปัญหา รู้สึกว่าสองคนนี้มาก่อกวน ตงฟางเลี่ยก็ย่อมโน้มน้ามให้นายท่านปฏิเสธที่จะรับไว้ ดังนั้นถ้าอยากรู้เจตนาของสองคนนี้ ก็มีแต่ต้องให้ตงฟางเลี่ยไปพบเท่านั้น!
เหมียวอี้ตาเป็นประกายอีกครั้ง กล่าวชมว่า : ท่านบุรุษช่างมีความคิดเหนือชั้น ข้าได้รับการชี้แนะแล้ว!
ความคิดเหนือชั้นเหรอ? หยางชิ่งแอบยิ้มเจื่อน หวังเพียงว่าวังสวรรค์จะรู้สึกสะเทือนอารมณ์แล้วปฏิเสธเสียเลย แต่พอคิดดูอีกที ก็รู้สึกกลัวอีกว่าวังสวรรค์จะมีอารมณ์อยากดูละครสนุกๆ มากเกินไป ถ้าไม่มีปัญหาก็เกรงว่าจะไม่ห้าม อย่างไรเสียเหมียวอี้ก็ยังไม่อยู่ในขั้นนี้จะเป็นภัยคุกคามต่อตำหนักสวรรค์ได้
หลังจากติดต่อกันเสร็จแล้ว เหมียวอี้ก็เอามือไขว้หลังเดินไปเดินมาอยู่ในห้อง สายตาของพวกอวิ๋นจือชิวก็ย้ายตามเขาเช่นกัน
โดยเฉพาะอวิ๋นจือชิว นางดูออกจากสีหน้าท่าทางของเหมียวอี้แล้ว ด้วยปฏิกิริยาแบบนี้ของเหมียวอี้ เกรงว่าจะตัดสินใจแลว ไม่รู้ว่าหยางชิ่งกับเขาคุยอะไรกัน
เป็นอย่างที่คาดไว้ จู่ๆ เหมียวอี้ก็หยุดเดิน หันตัวไปมองบัณฑิต แล้วกล่าวอย่างไม่ลังเล : “ไป เจ้าพาสองคนนั้นมาพบข้าด้วยตัวเองเลย”
“ขอรับ!” บัณฑิตกุมหมัดเอ่ยรับ แล้วรีบเดินออกไป
“เจ้าจะรับสองคนนี้ไว้จริงๆ เหรอ? จะเหมาะสมหรือเปล่า?” อวิ๋นจือชิวตกใจ
“ฮูหยินไปเตรียมการอีกอย่าง…” เหมียวอี้บอกแผนที่คิดเรียบร้อยแล้วให้นางฟัง
อวิ๋นจือชิวครุ่นคิดครู่หนึ่ง แล้วพยักหน้าเบาๆ สื่อว่าเข้าใจแล้ว แต่กลับถามอย่างกังวลอีกว่า “ถ้าสองคนนี้เห็นนายท่านแล้วมีเจตนาไม่ซื่อขึ้นมา จะทำยังไงล่ะ?”
เหมียวอี้ตอบว่า “ถ้าพวกเขาคิดทำร้ายข้าตอนนี้ ในวันข้างหน้าใต้หล้าจะยังมีที่ให้พวกเขายืนอีกเหรอ? ถ้าให้คนระดับนี้มาเป็นหน่วยกล้าตาย ก็อาจจะไม่คุ้มค่า ต่อให้คนที่อยู่เบื้องหลังจะเต็มใจ แต่เกรงว่าเจ้าตัวคงไม่เต็มใจ ฮูหยินวางใจได้เลย ไม่เกิดเรื่องอะไรหรอก รีบไปจัดการตามที่ข้าบอก”
อวิ๋นจือชิวคิดไปคิดมาก็รู้สึกว่าใช่ จึงพยักหน้าเบาๆ แล้วเร่งฝีเท้าเดินออกไป
ในห้องสัมภาษณ์ห้องที่สาม หลงซิ่นกับชิงเยว่ใส่หน้ากากปลอมอีกครั้ง ที่นี่มีผู้คนไปมาพลุกพล่านเกินไป ถ้าให้คนจำนวนมากเห็นโฉมหน้าที่แท้จริงก็ไม่ใช่เรื่องดีอะไร ทั้งคู่ยืนอยู่ข้างกายช่างไม้ มองช่างไม้ที่กำลังนำทางคนออกไปไม่หยุด
คนที่ผ่านมาทางนี้อย่างไม่ขาดสายก็ไม่รู้เช่นกันว่าหลงซิ่นกับชิงเยว่เป็นใคร ยังนึกว่าเป็นคนทำหน้าที่สัมภาษณ์ในการรับสมัครครั้งนี้ด้วยซ้ำ
ในเมื่อมาแล้ว ทั้งสองก็ไม่รีบเช่นกัน รู้ว่าหนิวโหย่วเต๋อต้องพิจารณาแน่นอน เฝ้ารออย่างช้าๆ
ผ่านไปไม่นาน บัณฑิตก็เข้ามาจากอีกทิศทางหนึ่ง มาหยุดยืนมองสองคนที่อยู่ข้างกายช่างไม้ แล้วก็มองช่างไม้ด้วยแววตาสอบถามอีก ช่างไม้พยักหน้าบอกใบ้ว่าเป็นสองคนนี้แหละ
บัณฑิตกุมหมัดคารวะต่อทั้งสอง “ท่านแม่ทัพภาคเรียนเชิญ ทั้งสองเชิญตามข้ามา!”
หลงซิ่นกับชิงเยว่สบตากันแวบหนึ่ง สายแสดงความตกตะลึง ต่างก็นึกไม่ถึงว่าหนิวโหย่วเต๋อจะตัดสินใจมาพบพวกเขาเร็วขนาดนี้ ถ้าพวกเขาลองมาในมุมของหนิวโหย่วเต๋อ ก็จะรู้เช่นกันว่าเมื่ออยูในสถานการณ์นี้จะตัดสินใจลำบาก ใครจะอยากหาเรื่องใส่ตัวล่ะ? แต่ในเมื่อตัดสินใจจะมาพบพวกเขาแล้ว ก็แปลว่าเรื่องนี้มีความหวัง ไม่อย่างนั้นก็ไม่ต้องมาพบก็ได้ ไม่จำเป็นต้องมาเจอหน้าให้ยุ่งยาก
“มีความกล้าหาญเด็ดเดี่ยวอยู่หลายส่วนจริงๆ สมคำร่ำลือ!” ชิงเยว่แอบถ่ายทอดเสียงบอกหลงซิ่น ในน้ำเสียงให้ความรู้สึกเหมือนกำลังบอกว่า ดูด้วยว่าเหมียวอี้เป็นละครแบบไหน
ทั้งสองเดินตามหลังบัณฑิตไป ส่วนช่างไม้ก็ถอนหายใจเบาๆ อย่างโล่งอก
“รองผู้ตรวจการใหญ่”
ผู้ติดตามคนสนิทของตงฟางเลี่ยเร่งฝีเท้าเดินเข้ามาในห้อง มากุมหมัดคารวะต่อตงฟางเลี่ยที่ยืนอยู่ริมหน้าต่าง
“มีเรื่องอะไร?” ตงฟางเลี่ยเอ่ยถามเสียงเรียบขณะมองไปนอกหน้าต่าง
ลูกน้องคนสนิทรายงานว่า “ในการรับสมัครเมื่อครู่นี้มีสองคนที่ได้รับการปฏิบัติเป็นกรณีพิเศษ พวกเขาไม่ได้จากไปทันที แต่มีคนพาไปพบหนิวโหย่วเต๋อด้วยตัวเอง และพวกพี่น้องของเราก็มีคนบังเอิญได้ยินอวิ๋นจือชิวคุยกับหญิงรับใช้พอดี บอกว่าสองคนนี้ไม่ธรรมดา ถ้ารับไว้ได้ จะต้องสะท้านใต้หล้าแน่นอนขอรับ!”
“สะท้านใต้หล้า?” ตงฟางเลี่ยหันขวับไปมองเขา เขาพยักหน้าสื่อว่าถูกต้องแล้ว
ตงฟางเลี่ยเริ่มขมวดคิ้วมุ่น เดินสาวเท้ามาในห้อง เขามารักษาการณ์ที่นี่ ถ้าเกิดเรื่องสะท้านใต้หล้าขึ้นโดยที่เขาไม่รู้ ทำเอาเบื้องบนทำอะไรไม่ถูก แล้วจะชี้แจงกับเบื้องบนอย่างไร? สุดท้ายจึงหยุดเดินแล้วกล่าวเสียงต่ำ “ไป! ไปดูกันหน่อยว่าเป็นใคร”
ทั้งสองเดินตามกันออกไปอย่างรวดเร็ว ต่อให้เหมียวอี้จะห้าม แต่ตงฟางเลี่ยก็จะต้องไปเห็นให้ได้
ในห้องรับแขกของจวนแม่ทัพภาค เหมียวอี้เอามือไขว้หลังยืนอยู่ริมหน้าต่าง หลังจากบัณฑิตนำสองคนนี้เข้ามาในห้องแล้ว หลงซิ่นกับชิงเยว่มองเงาหลังที่ตรงแน่วของเหมียวอี้ แล้วทั้งสองก็สบตากันอีกครั้ง
“นายท่าน แขกมาแล้วขอรับ” บัณฑิตกุมหมัดคารวะ
เหมียวอี้หันตัวมาเผชิญหน้าอย่างช้าๆ แล้วมองประเมินทั้งสองคน
หลงซิ่นกับชิงเยว่ก็มองประเมินเขาเช่นกัน ทั้งสองแอบเอ่ยชมว่า ช่างเป็นคนหนุ่มที่องอาจผึ่งผาย มีความกล้าหาญเด็ดเดี่ยวจริงๆ ด้วย ขนาดเจอคนอย่างพวกเขายังสุขุมใจเย็นได้ขนาดนี้ ไม่เห็นแสดงอาการลนลานเลยสักนิด
………………………