พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - บทที่ 1733 ข้านับว่าเจ้าโหด
ในจุดนี้อวิ๋นจือชิวยอมรับ เหมียวอี้เริ่มจากเป็นทหารเล็กๆ ระดับต่ำสุด เริ่มจากเป็นประมุขถ้ำที่มีลูกน้องสิบคน จนกระทั่งมาถึงตำแหน่งอย่างทุกวันนี้ เรียกได้ว่าก้าวขึ้นบันไดมาทีละก้าว บัญชาการทัพมาหลายปี เป็นฝ่ายนำทัพออกรบก่อนครั้งแล้วครั้งเล่า ประสบการณ์บัญชาการทัพเหนือกว่านางจริงๆ ถึงแม้นางจะเคยเป็นท่านทูตมาก่อน แต่นั่นก็เป็นตำแหน่งที่ตกลงมาจากฟ้า ไม่มีประสบการณ์ปกครองทัพของจริงอะไรเลย นางใช้งานคนอื่นมากกว่า
ฟังที่เหมียวอี้พูดก็รู้สึกว่ามีเหตุผลเหมือนกัน อวิ๋นจือชิวถอนหายใจเบาๆ “เพียงแต่ทำอย่างนี้ ในสายตาของพวกเขาสองคนจะคิดว่าเจ้าเหยียดหยามพวกเขาหรือเปล่า?”
เหมียวอี้มีวิธีคิดอีกอย่าง “ทั้งคู่เคยกลายเป็นเทพแห่งภูผา เทพแห่งผืนดินมาแล้ว ยังจะมาห่วงหน้าตาศักดิ์ศรีอีกเหรอ ถ้าเป็นแบบนั้นก็เกินเยียวยาแล้วล่ะ ถ้าแม้แต่ด่านนี้พวกเขายังผ่านไปไม่ได้ แม้แต่ศักดิ์ศรีเล็กน้อยแค่นี้ยังวางไม่ลง อย่าบอกนะว่าต่อไปเวลาข้าจะทำอะไรก็ต้องดูสีหน้าพวกเขาก่อน? แบบนั้นข้ายังจะสั่งงานพวกเขาได้อีกเหรอ? มาถึงครั้งแรกก็ใช้งานง่าย ทำให้พวกเขาคุ้นชินก่อน ขนาดเรื่องพวกนี้พวกเขาก็เคยทำมาแล้ว พอในภายหลังออกคำสั่งกับพวกเขาอีก ก็ต้องดีกว่าเฝ้าประตูอยู่แล้วสิ พวกเขาจะได้ไม่รู้สึกเหลือทน ย่อมเชื่อฟังคำสั่งได้ ยิ่งไปกว่านั้น ข้าก็ใช้พวกเขาเฝ้าประตูใหญ่แค่ตอนนี้ พอมีคนอื่นมาแล้วค่อยเปลี่ยนก็ได้ เป็นไปไม่ได้ที่ข้าจะให้พวกเขาเฝ้าประตูใหญ่ตลอดไป ขนาดพวกเขาสองคนยังเคยเฝ้าประตูมาแล้ว ในภายหลังถ้าให้นักพรตบงกชรุ้งพวกนั้นมาเฝ้าประตูอีก คนพวกนั้นก็จะสบายใจได้ จะไม่เกิดความคับแค้นในใจ”
อวิ๋นจือชิวฟังเข้าใจแล้ว นี่เป็นหัวใจเปี่ยมอุดมการณ์ของวีรบุรุษ ไม่คิดจะรับนักพรตที่ระดับต่ำกว่าบงกชรุ้งแล้ว แต่นางก็ต้องยอมรับว่าเหมียวอี้มีประสบการณ์กครองทัพมากกว่านาง นางเทียบเขาไม่ติด ในเมื่อทั้งก่อนหน้าและภายหลังล้วนมีแผนอยู่ในใจแล้ว นางเองก็ไม่พัวพันกับเรื่องนี้อีก แต่อดไม่ดที่จะกลอกตาอย่างสวยหยาดเยิ้ม พูดหยอกว่า “หนิวเอ้อร์ ข้าได้ยินว่าตอนเจ้าเป็นประมุขถ้ำคล้อยบูรพา พอได้รับตำแหน่งก็เคยสั่งให้คนเฝ้าประตูใหญ่มาก่อนเหมือนกัน สงสัยเจ้าจะชอบเล่นวิธีนี้มากเลยนะ”
“เอ๋…” เหมียวอี้อึ้งไปชั่วขณะ อดไม่ได้ที่จะนึกถึงปีนั้น
คนที่ต่อแถวเข้าจวนแม่ทัพภาคอยู่นอกประตูยังไม่ลดลง หยางเจาชิงที่อยู่ในลานบ้านนำชิงเยว่กับหลงซิ่นเดินออกจากประตูใหญ่ ชิงเยว่เปลี่ยนใส่เครื่องแบบเกราะดำหนึ่งแถบของตัวเองแล้ว หลงซิ่นเปลี่ยนใส่เกราะเงินสามแถบ ทั้งสองหน้าเง้าหน้างอ ถึงแม้จะตอบตกลงแล้ว แต่เรื่องนี้ก็ทำให้ดีใจไม่ออก
หลังจากหยางเจาชิงกับหัวหน้าเฝ้าประตูกองทัพองครักษ์ประสานงานกันแล้ว ก็นำทั้งสองมาถึงประตู แล้วยื่นมือเชิญให้รับตำแหน่ง
ชิงเยว่ หลงซิ่นไม่พูดอะไรสักคำ ต่างคนต่างถือทวนวงเดือน แยกกันยืนฝั่งซ้ายและขวาของประตู
กองทัพองครักษ์ที่เฝ้าประตูเหมือนกันมองหน้ากันเลิกลั่ก รู้สึกงงนิดหน่อย แต่ละคนพึมพำในใจว่า จริงหรือล้อเล่น อย่ามาขู่ให้ข้าตกใจนะ นักพรตระดับสำแดงฤทธิ์มาเฝ้าประตูเหรอ? ถ้าเป็นประตูใหญ่ของวังสวรรค์ก็ยังฟังขึ้น แต่นี่เป็นจวนแม่ทัพภาคเล็กๆ เองนะ!
คนที่ต่อแถวเข้ามาในจวนแม่ทัพภาคแล้วเห็นตรงประตูมีสองคนที่สวมเกราะดำและเกราะเงินสะดุดตา อดไม่ได้ที่จะมองด้วยความอยากรู้อยากเห็น ตอนยังไม่มองก็เฉยๆ พอได้มองก็ตกใจทันที เด็กดีเอ๋ย นี่จริงหรือล้อเล่น ยอดฝีมือระดับสำแดงฤทธิ์สองคนมาเฝ้าประตูอยู่ตรงนี้เหรอ?
ทุกคนที่เข้ามาข้างในผ่านประตูใหญ่ล้วนมองประเมินทั้งสองด้วยสีหน้าตะลึงงัน
ชิงเยว่กับหลงซิ่นเรียกได้ว่าอับอาย อยากจะด่ามากว่ามองบ้าอะไรกัน? แต่ในเมื่อรับปากหนิวโหย่วเต๋อไปแล้ว ทั้งยังเอ่ยรับคำสั่งมาแล้ว ถ้ามาถึงแล้วปัดความรับผิดชอบเลยก็จะฟังดูเหลวไหลเหมือนกัน แล้วแบบนั้นจะให้หนิวโหย่วเต๋อเชื่อได้อย่างไรว่าในภายหลังจะสามารถออกคำสั่งกับทั้งสองได้
ทั้งสองคนพอจะมองออกอยู่บ้าง ว่านี่คือหนึ่งในสิ่งที่เหมียวอี้ใช้ทดสอบพวกเขา เป็นไปไม่ได้ที่จะให้พวกเขาเฝ้าประตูตลอดไป เมื่อคิดได้แล้วก็ทำได้เพียงอดทนไว้ ปล่อยให้บรรดาสายตาประหลาดใจมองเชยชมต่อไป นี่คือประสบการณ์ครั้งแรกในชีวิตจริงๆ!
แน่นอน สำหรับพวกที่มาสมัคร พวกเขานับว่ามองออกแล้ว ว่านักพรตเกราะดำกับเกราะเงินคงจะเป็นคนที่ผ่านการคัดเลือกแล้ว มารดาเจ้าเถอะ ขนาดยอดฝีมือระดับสำแดงฤทธิ์ยังได้เฝ้าประตูที่นี่เลย แล้วพวกเราจะผ่านการทดสอบเหรอ?
“อะไรนะ? ชิงเยว่กับหลงซิ่นเฝ้าประตูใหญ่จวนแม่ทัพภาคเหรอ?” ตงฟางเลี่ยกำลังนั่งสมาธิอยู่บนเตียง พอได้ยินรายงานก็ตกใจจนลุกพรวดลงจากเตียงทันที
ลูกน้องที่มารายงานพยักหน้าตอบด้วยรอยยิ้มจืดเจื่อน “ข้าน้อยไปดูมาแล้วขอรับ เป็นสองคนนั้นจริงๆ”
ตงฟางเลี่ยไม่พูดพร่ำทำเพลง รีบเร่งเดินออกจากห้องไปแล้ว ตรงไปยังเรือนใหญ่ที่มีคนพลุกพล่าน เร่งฝีเท้าเดินไปดูตรงประตูใหญ่ ปัดโถ่เอ๊ย เป็นสองคนนั้นจริงด้วย
ถึงแม้จะเห็นกับตาตัวเอง แต่ตงฟางเลี่ยก็ยังทำใจเชื่อได้ยาก เขาย่อมรู้ดีว่าสองคนนี้เป็นใคร คนหนึ่งฆ่าล้างตระกูลผู้หญิงที่อ๋องสวรรค์ฮ่าวรัก อีกคนไม่ยอมก้มหน้า โต้แย้งและขอคำชี้อธิบายจากผู้บังคับบัญชา นึกไม่ถึงว่าสองคนที่เจ้าอารมณ์อย่างนี้จะยอมมาเฝ้าประตูใหญ่แต่โดยดี ช่างเป็นเรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้นในประวัติศาตร์แล้วจริงๆ แม้แต่เรื่องนี้ยังอดกลั้นได้ แสดงว่าเมื่อก่อนต้องได้รับความลำบากขนาดไหนกัน
ตงฟางเลี่ยรู้สึกว่าเหมียวอี้ทำเกินไปหน่อย จึงก้าวขึ้นมาพูดกับทั้งสองว่า “ทั้งสอง นี่เป็นคำสั่งของแม่ทัพภาคหนิวเหรอ?”
ทั้งสองชำเลืองมองเขาแวบหนึ่ง ชิงเยว่ตอบว่า “หรือเจ้าคิดว่าพวกเรากินอิ่มแล้วแล้วหาอะไรทำแก้เซ็งล่ะ?”
ตงฟางเลี่ยจคงบอกว่า “พวกเจ้ารอประเดี๋ยวนะ ข้าจะไปคุยกับแม่ทัพภาคหนิวให้เดี๋ยวนี้” ในสายตาเขา หนิวโหย่วเต๋อกำลังเหยียดหยามนักพรตระดับสำแดงฤทธิ์แท้ๆ เลย ต่อให้นักพรตระดับสำแดงฤทธิ์จะใช้ชีวิตตกต่ำขนาดไหน แต่ก็ไม่ถึงขนาดนี้หรอกมั้ง เขารู้สึกเหมือนเป็นจิ้งจอกที่ร้องไห้เพราะกระต่ายตาย[1] ในใจรู้สึกแค้นเคืองหนิวโหย่วเต๋อนิดหน่อย
“เกี่ยวอะไรกับเจ้าล่ะ! ไปไกลได้เท่าไรก็ยิ่งดี” ชิงเยว่ตวาดกลับอย่างไม่เกรงใจเลยสักนิด แต่เฝ้าประตูก็นับว่าเหลวไหลแล้ว นึกไม่ถึงว่าจะกล้าพูดอย่างนี้กับรองผู้ตรวจการใหญ่กองทัพองครักษ์
“แมวร้องไห้แสร้งเห็นใจหนู!” หลงซิ่นกล่าวอย่างหงุดหงิดมาก
“…” ตงฟางเลี่ยพูดไม่ออก แม่งเอ๊ย พ่ออุตส่าห์หวังดีแต่กลายเป็นยุ่งไม่เข้าเรื่อง ได้สิ ในเมื่อพวกเขาชอบนัก งั้นก็ยืนต่อไปก็แล้วกัน ไม่รู้จักน้ำใจคน ถึงอย่างไรคนที่เสียหน้าก็ไม่ใช่ข้า เขากุมหมัดคารวะแรงๆ ก่อนจะสะบัดชายเสื้อเดินออกไป
“อะไรนะ? ชิงเยว่ หลงซิ่น? ชิงเยว่ที่ฆ่าล้างตระกูลซูอวิ้น หลงซิ่นที่ต่อต้านโจวจ้าวหัวชนฝาน่ะเหรอ?”
ตึกศาลาสัตยพรต เฉาหม่านที่นั่งสมาธิอยู่ในห้องก็ลุกพรวดจากเตียงเช่นกัน อุทานถามชีเจวี๋ยที่เข้ามารายงาน
ชีเจวี๋ยพยักหน้า “ตอนบ่าวได้ยินรายงานก็ไม่ค่อยเชื่อ จึงไปตรวจสอบด้วยตัวเอง พบว่าไม่ผิด เป็นพวกเขาสองคนจริงๆ ขอรับ น่าจะผ่านการคัดเลือกเข้าจวนแม่ทัพภาคแล้ว ไม่อย่างนั้นก็เป็นไปไม่ได้ที่จะยืนเฝ้าประตูใหญ่จวนแม่ทัพภาค”
“เจ้าแน่ใจนะว่าพวกเขาเฝ้าประตูใหญ่จวนแม่ทัพภาคตลาดผี? ไม่ใช่ว่าบังเอิญเดินผ่านพอดีใช่มั้ย?” เฉาหม่านถามด้วยสีหน้าตกตะลึง
ชีเจวี๋ยถอนหายใจ “เถ้าแก่ ไม่ใช่แค่ผ่านทาง พวกเขาถือทวนวงเดือนยืนอยู่ฝั่งซ้ายและขวาอย่างเรียบร้อย ต้องเฝ้าประตูใหญ่แน่นอนขอรับ”
เฉาหม่านเดินไปผลักบานหน้าต่างเพื่อมองไปทางจวนแม่ทัพภาค ก่อนจะหัวเราะหึหึ “หนิวโหย่วเต๋อ ข้าถือว่าเจ้าโหด เจ้าช่างกล้าจริงๆ!” ไม่ได้การแล้ว เขารีบหันตัวเดินออกไป ต้องการจะไปดูสถานที่จริง ที่สำคัญคืออดใจไม่ไหวที่จะไปดู ไม่แน่ว่าในนั้นอาจจะมีอะไรในกอไผ่ก็ได้?
จวนท่านโหวจ้านผิง ในสวนป่าที่สร้างขึ้นใหม่ มีทิวทัศน์ดอกไม้แปลกตาที่เก็บมาจากที่ต่างๆ ในใต้หล้า การสร้างสวนป่านี้ไม่จำเป็นต้องให้จวนท่านโหวออกเงินเลยสักส่วน ทั้งหมดนี้ซ่างกวนชิงวังสวรรค์ผู้การใหญ่แสบส่งคนมาจัดเตรียมเรียบร้อยแล้ว
ในตอนนี้ประมุขชิงกับจ้านหรูอี้กำลังเดินเอ้อระเหยลอยชายด้วยกันอยู่ในสวนป่าที่งดงามดุนแดนสวรรค์ ประมุขชิงสีหน้าผ่อนคลายสบายใจอย่างที่พบเห็นได้ยาก ส่วนจ้านหรูอี้สีหน้าเรียบเฉยจืดชืด แค่คอยอยู่เป็นเพื่อนเท่านั้นเอง
มีเทพธิดาเร่งฝีเท้าเดินเข้ามาคำนับ แล้วรายงานว่า “ฝ่าบาท ผู้การใหญ่ขอเข้าเฝ้าเพคะ”
ประมุขชิงหน้าขรึมลง ด่าว่า “ตาแก่น่าตาย!” เขาหมั่นไส้นิดหน่อย ไม่รู้เชียวเหรอว่าตนกำลังผ่อนคลายอยู่ที่นี่ รู้อยู่แจ่มแจ้งแต่ยังมาทำลายบรรยากาศ เพียงแต่เขาก็รู้ ว่าถ้าไม่มีเรื่องพิเศษอะไร ซ่างกวนชิงคงไม่มารบกวนแน่นอน “ให้เขาไสหัวเข้ามา”
“เพคะ!” เทพธิดาย่อเข่าคำนับแล้วถอยออกไป เมื่อเห็นเขาหัวร้อง นางก็ตกใจนิดหน่อย
“ฝ่าบาท หม่อมฉันขอตัวเพคะ” จ้านหรูอี้ย่อตัวคำนับแล้วถอยออกไป นางเองก็รู้ว่ายามอยู่ในสถานการณ์ปกติ ซ่างกวนชิงจะไม่มารบกวน ตอนนี้แสดงว่ามีเรื่องอะไรแน่นอน นางเข้าใจธรรมเนียม หลบเลี่ยงไปอย่างมีเหตุผล และเดิมทีนางก็ไม่มีอารมณ์อยู่กับเขาอยู่แล้ว ได้อาศัยโอกาสแยกไปพอดี
“เฮ้อ!” ใครจะคิดว่าประมุขชิงจะดึงแขนนางเอาไว้ ไม่ให้นางไป ยิ้มอ่อนพร้อมบอกว่า “สนมรัก ไม่ต้องหลบเลี่ยง” ในใจเขารู้แจ่มแจ้ง ว่าซ่างกวนชิงก็ไม่ใช่คนโง่ ถ้ามีเรื่องที่เป็นความลับจริงๆ ก็คงไม่บอกต่อหน้าฝูงชน ย่อมถ่ายทอดเสียงบอก
จ้านหรูอี้ชำเลืองมองแขนตัวเองที่ถูกเขาจับ รักษาความเงียบเอาไว้ แล้วอยู่ข้างกายเขาต่อ
เทพธิดานำทางซ่างกวนชิงมาถึงอย่างรวดเร็ว เมื่อเห็นทั้งสองอยู่ด้วยกัน แล้วเห็นสายตาที่ประมุขชิงมองตน เขาก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มเจื่อนในใจ แข็งใจก้าวขึ้นมาคำนับ “ฝ่าบาท สนมสวรรค์”
“มีเรื่องอะไร?” น้ำเสียงประมุขชิงฟังดูไม่ค่อยเป็นมิตร
ซ่างกวนชิงมองจ้านหรูอี้แวบหนึ่ง กำลังชั่งน้ำหนักว่าจะพูดต่อหน้านางได้ไหม จากนั้นถึงได้ยิ้มพร้อมบอกว่า “ฝ่าบาท ทางจวนแม่ทัพภาคตลาดผีเกิดเรื่องฮือฮานิดหน่อย…” เขาเล่าเรื่องที่ชิงเยว่กับหลงซิ่นเฝ้าประตูใหญ่ให้ฟัง
เรื่องที่เกี่ยวข้องกับเหมียวอี้ จ้านหรูอี้อดไม่ได้ที่จะทำสีหน้ามีสมาธิตั้งใจฟัง
“…” ประมุขชิงอึ้งไปครู่หนึ่ง แล้วถามอย่างตกใจว่า “เจ้าแน่ใจนะว่าชิงเยว่กับหลงซิ่นเฝ้าประตูให้จวนแม่ทัพภาคตลาดผี?”
ซ่างกวนชิงยิ้มเจื่อน “แน่ใจแล้วขอรับ ข้าน้อยยืนยันจากหลายช่องทาง ชิงเยว่กับหลงซิ่นกำลังเฝ้าประตูจริงๆ ส่วนตงฟางเลี่ยก็ยืนยันแล้วว่าหนิวโหย่วเต๋อสั่งให้พวกเขาสองคนไปเฝ้าประตู ตงฟางเลี่ยถามเหตุผล หนิวโหย่วเต๋อบอกว่าตอนนี้จวนแม่ทัพภาคตลาดผียังไม่มีใครที่ใช้งานได้ มีเพียงเขาสองคนที่ยศต่ำสุด หาคนอื่นไปเฝ้าประตูใหญ่ไม่ได้แล้วนอกจากพวกเขาสองคนขอรับ”
“ยศต่ำสุด?” ประมุขชิงสีหน้าบิดเบี้ยว พบว่าเหตุผลนี้ทำให้คนเถียงไม่ออกจริงๆ อดไม่ได้ที่จะหลุดขำ “เหอะๆ! เจ้าลูกลิงใจกล้าไม่เบา ให้อดีตท่านโหวกับอดีตทูตลาดตระเวนฝั่งใต้ ไปเฝ้าประตูจวนแม่ทัพภาคเล็กๆ” เขาเอียงหน้ามองจ้านหรูอี้ “สนมรัก อดีตผู้บังคับบัญชาของเจ้าบ้าระห่ำมากทีเดียว ดูท่าแล้ว การที่สนมรักถูกเขาจับแขวนบนเสาธงในปีนั้น ก็ไม่นับว่าอยุติธรรมเกินไปหรอก!”
เมื่อเห็นประมุขชิงพูดหยอกล้ออย่างอารมณ์ดี ซ่างกวนชิงก็หัวเราะตามไปด้วย แต่ชำเลืองจ้านหรูอี้ที่สีหน้าเรียบเฉยเหมือนไม่รู้สึกตลก เขาก็รีบหุบยิ้มทันที อย่ายั่วให้ผู้หญิงคนนี้อารมณ์ไม่ดีจนตัวเองหาทางลงไม่ได้ ถึงอย่างไรนี่ก็เคยเป็นเรื่องน่าอับอายของท่านนี้ ประมุขชิงสามารถยกขึ้นมาล้อเล่นได้ แต่เขากลับล้อเล่นไม่ได้
ว่ากันตามจริง ซ่างกวนชิงดูแลงานในวังสวรรค์ ภายนอกแสดงออกว่าเกรงใจราชินีสวรรค์เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ แต่ที่จริงเขาไม่กลัวเซี่ยโห้วเฉิงอวี่เลย ถ้าจะบอกว่าทั้งวังหลังมีผู้หญิงคนไหนที่ทำให้เขากลัว ก็มีแค่ท่านที่อยู่ตรงหน้านี้แล้ว เซี่ยโห้วเฉิงอวี่พูดถึงเขาไม่ดีแค่ประโยคเดียว ประมุขชิงอาจไม่มองว่าเป็นเรื่องสำคัญ แต่ถ้าท่านนี้พูดถึงเขาไม่ดีเพียงประโยคเดียว เขาจะต้องรับผลที่ตามมาไม่ไหวแน่นอน ประมุขชิงจะต้องเตะเขาแน่ๆ สำหรับประมุขชิง ผู้หญิงคนอื่นเหมือนของเล่นให้ระบายอารมณ์เท่านั้น ที่มากกว่านั้นคือจำเป็นต้องมีไว้เพื่อควบคุมใต้หล้า ถึงแม้ประมุขชิงจะมีความต้องการทางด้านนี้ต่อสนมสวรรค์บ้าง แต่ซ่างกวนชิงก็มองออก ว่าประมุขชิงชอบผู้หญิงคนนี้จากใจจริงๆ อาศัยแค่จุดนี้ก็ทำให้ซ่างกวนชิงรู้ชัดแล้ว ว่าตัวเองมีเรื่องกับผู้หญิงคนนี้ไม่ไหว
เมื่อเห็นประมุขชิงหัวเราะอย่างสำราญใจ จ้านหรูอี้ก็แค่มองเขาครู่เดียวด้วยสีหน้าเรียบเฉย
ทว่าเมื่อประมุขชิงถูกสายตาเย็นชานี้มองเพียงแวบเดียว ก็หยุดหัวเราะในทันที หัวเราะไม่ออกแล้ว เอามือลูบจมูกจากเก้อเขินเล็กน้อย
ฉากนี้ทำให้ซ่างกวนชิงรีบย้ายสายตาหนี รีบก้มหน้าแสร้งทำเป็นมองไม่เห็น ในใจแอบรู้สึกปลงไม่หยุด พบว่าสรรพสิ่งในโลกนี้บางสิ่งควบคุมบางสิ่งได้เสมอ คนที่สามารถใช้สายตาควบคุมฝ่าบาทให้เชื่อฟังได้ ในใต้หล้าก็คงจะมีแต่ผู้หญิงคนนี้แล้ว ถามหน่อยว่าเขาจะกล้ายั่วโมโหนางได้อย่างไร
…………………………
[1] กระต่ายตายจิ้งจอกร้องไห้ 兔死狐悲 อุปมาว่าในหมู่สัตว์เดรัจฉานย่อมเห็นใจซึ่งกันและกัน