พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - บทที่ 1738 เลือกที่สร้างจวนใหม่
เว่ยซูฟังจนอกสั่นขวัญแขวน ประมุขชิงที่เซี่ยโห้วท่าเอ่ยถึงทำให้เขาตกใจ ทำลายจินตนาการของเขาแล้ว “ในเมื่อนายท่านมองทะลุแล้ว เหตุได้ไม่บอกเรื่องนี้กับสี่อ๋องสวรรค์?”
“ทำไมต้องบอกสี่อ๋องสวรรค์ล่ะ? บอกพวกเขาแล้วเกิดผลดีอะไรกับตระกูลเซี่ยโห้วเหรอ?” เซี่ยโห้วท่าถามเหมือนแปลกใจ
“เมื่อสี่อ๋องสวรรค์พังทลายเมื่อไร จะไม่ต้องกังวลหรอกหรือว่าเงื้อมมือมารของประมุขชิงจะยื่นไปที่ตระกูลเซี่ยโห้วอีก?” เว่ยซูถาม
เซี่ยโห้วท่าหัวเราะเบาๆ “เขาเคยหยุดความคิดนี้เสียเมื่อไรล่ะ? เขาทำอย่างนี้มาตลอดไม่ใช่เหรอ? แต่เขาทำได้หรือยังล่ะ? ข้าบอกแล้ว ว่ากำลังภายนอกของพวกเรายังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของประมุขชิง ดังนั้นสิ่งที่ประมุขชิงกลัวที่สุดก็คือสิ่งที่พวกเราซ่อนไว้ ซึ่งเขาไม่มีทางควบคุมได้ สิ่งที่กลัวไม่ได้มีแค่สองสามเรื่อง สิ่งเหล่านั้นไม่ได้อยู่ในกระดานหมาก มันอยู่นอกสายตาและขอบเขตการควบคุมจากเขา ตระกูลเซี่ยโห้วของข้าก็เป็นหนึ่งในนั้น เขาอยากจะให้ใต้หล้าหมุนเวียนเป็นวัฎจักรอยู่ในมือเขาอย่างนี้ตลอด แต่ถ้าไม่มีตระกูลเซี่ยโห้วของข้าให้ความร่วมมือก็เลิกคิดไปได้เลย มีแต่ต้องให้ตระกูลเซี่ยโห้วดูอยู่ข้างๆ เขาถึงจะเล่นได้อย่างลื่นไหล ไม่อย่างนั้นก็สามารถดึงเขาไปเป็นตัวหมากให้เล่นได้ทุกเมื่อ สถานการณ์ในใต้หล้าทุกวันนี้ ถ้าไม่มีตระกูลเซี่ยโห้วจงใจผลักดัน ประมุขชิงจะเล่นจนสถานการณ์กลายเป็นอย่างนี้ได้เหรอ? ข้าสามารถพลิกกระดานหมากของเขาได้ทุกเมื่อ ทำให้เขาเล่นต่อไม่ได้ เขามองคนในใต้หล้าเป็นตัวหมาก แล้วเขาเองเป็นตัวหมากของใครล่ะ? เจ้าอย่าลืมนะว่าใครเป็นคนสนับสนุนให้ประมุขชิงขึ้นสู่ตำแหน่ง!”
ชั่วพริบตานั้นเว่ยซูก็เข้าใจกระจ่างแล้ว การที่ประมุขชิงอยากทำให้ใต้กล้าเกิดวัฏจักรหมุนเวียนก็เป็นสิ่งที่ตระกูลเซี่ยโห้วอยากเห็นเช่นกัน เขาพยักหน้าช้าๆ “ประมุขชิงก็เป็นตัวหมากในมือตระกูลเซี่ยโห้วเหมือนกัน ก็เหมือนอย่างที่นายท่านเคยบอก ผลักให้ประมุขชิงโดดเด่นอยู่ข้างหน้า เมื่อใต้หล้ามีการเปลี่ยนแปลงเมื่อไร ประมุขชิงก็จะเป็นหนังหน้าไฟตลอดไป ตอนนี้ประมุขชิงกำลังเล่นละคร ตระกูลเซี่ยโห้วของเราก็กำลังเล่นเป็นเพื่อเขา ดังนั้นไม่จำเป็นต้องบอกสี่อ๋องสวรรค์”
เซี่ยโห้วท่าถอนหายใจ “คนเราเกิดมาในโลกนี้ มีใครบ้างที่ไม่เสแสร้ง? ชีวิตคนเราก็เหมือนละคร ทั้งหมดล้วนอาศัยทักษะการแสดง ข้าแค่กลัวว่าจะมีใครไม่เข้าใจหลักการนี้ ต้องการจะกระโดดออกไปอยู่ในที่แจ้งให้ได้ แสดงจุดอ่อนของตัวเองให้คนอื่นโจมตี เมื่ออยู่ในที่แจ้งไม่ช้าก็เร็วจะโดนคนอื่นหลอกใช้ประโยชน์ ต่อให้ยิ่งใหญ่ขนาดไหน แต่ก็กันทวนในที่แจ้งกับธนูในที่ลับจากทั้งใต้หล้าไม่ไหวหรอก คนที่ลงหมากทำไมต้องกลายเป็นหมากให้คนอื่นใช้ประโยชน์ด้วย ถ้าเจ้ามีโอกาสก็ไม่คุยกับเขาสักหน่อยแล้วกัน”
เว่ยซูเงียบไปพักหนึ่ง รู้ว่าเขากำลังหมายถึงใคร จึงเอ่ยรับเสียงเบา “ขอรับ!”
ลำธารนับพันหมื่นสายที่เกิดจากหิมะละลายกำลังไหลเอื่อยอยู่กลางภูเขาเขียวขจี บนภูเขาเขียวมีหิมะขาวปกคลุมยอด
โต๊ะหินตัวหนึ่งบนยอดเขา ชายชุดเหลืองคนหนึ่งกับชายชุดดำคนหนึ่งกำลังแข่งหมากล้อมกัน จู่ๆ ก็มีเงาคนคนหนึ่งเหาะลงจากฟ้า มาเหยียบลงพื้นอยู่ตรงจุดไกลๆ ทั้งสองหันหน้ามองพร้อมกัน
ผู้ที่มาสวมหน้ากาปลอม กำลังจ้องประเมินพวกเขาสองคนเงียบๆ แล้วเอ่ยถามเสียงเรียบ “เฉินเชียนชิว เซียวหลิงโป?”
ทั้งสองลุกขึ้นช้าๆ ด้วยแววตาระแวดระวัง ชายชุดเหลืองถามว่า “เป็นพวกเราเอง เจ้าเป็นใคร มาที่นี่ทำไม?”
“อยู่ด้วยกันก็ยิ่งดี หลังจากได้รับคำสั่งแล้วไปรายงานตัวทันที หากเกินกำหนดเวลาจะไม่รอ” ผู้ที่มาหยิบแผ่นหยกสองแผ่นแบ่งโยนให้ทั้งสอง
ทั้งสองเพิ่งจะรับแผ่นหยกมาไว้ในมือ ผู้ที่มาก็ถลันตัวพุ่งขึ้นฟ้าไปโดยไม่พูดพร่ำทำเพลงแล้ว หายไปในท้องฟ้า ดูจากความเร็วนี้ก็เห็นได้ชัดว่าวรยุทธ์ไม่ธรรมดา อย่างน้อยก็วรยุทธ์เหนือกว่าพวกเขาสองคน
ชายชุดเหลืองก็คือเฉินเชียนชิว เป็นเทพคงคาที่ตีนเขาแห่งนี้ ส่วนชายชุดดำก็คือเซียวหลิงโป เป็นเทพแห่งภูผาของขุนเขาแหง่นี้ ทั้งสองมองหน้ากันเลิกลั่ก รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย จากนั้นก็มองแผ่นหยกรูปแบบเฉพาะของตำหนักสวรรค์ แล้วร่ายอิทธิฤทธิ์ตรวจอ่าน พบว่าไม่ใช่สิ่งของอื่นใด เป็นแผ่นหยกแต่งตั้งตำแหน่งของจวนแม่ทัพภาคตลาดผีนั่นเอง บนนั้นเขียนรายชื่อของพวกเขาเอาไว้ สิ่งเดียวที่ขาดไปก็คือตราอิทธิฤทธิ์ของทั้งสอง ขอเพียงทั้งสองลงตราอิทธิฤทธิ์ของตัวเองตรงช่องว่างที่กำหนดไว้ ก็จะกลายเป็นคนของจวนแม่ทัพภาคตลาดผีอย่างเป็นทางการแล้ว
ทั้งสองเงยหน้ามองกัน ต่างก็ตื่นเต้นดีใจอย่างบอกไม่ถูก เป็นเพราะชิงเยว่กับหลงซิ่นที่เฝ้าประตูจวนแม่ทัพภาคตลาดผีทำให้พวกเขาตกใจ ขนาดนักพรตระดับสำแดงฤทธิ์ยังได้เฝ้าประตูใหญ่ แล้วพวกเราจะนับเป็นตัวอะไรล่ะ? ทำให้พวกเขากดดันพอสมควร ไม่ค่อยหวังว่าจะผ่านการคัดเลือกแล้ว ใครจะคิดว่าจะเกิดเรื่องเหนือความคาดหมายอย่างนี้
หลังจากสบตากันด้วยรอยยิ้ม ทั้งสองก็พยักหน้าให้กัน แล้วลงตราอิทธิฤทธิ์ของตัวเองลงบนแผ่นหยกแต่งตั้งตำแหน่งพร้อมกัน
“พี่เซียว จะออกเดินทางเมื่อไร?” เฉินเชียนชิวถามด้วยรอยยิ้ม
เซียวหลิงโปตอบปนเสียงหัวเราะ “อีกฝ่ายบอกแล้วว่าถ้าเกินกำหนดเวลาจะไม่รอ ก็ต้องออกเดินทางเดี๋ยวนี้อยู่แล้วสิ?”
เฉินเชียนชิวมองไปรอบๆ แล้วถามอย่างลังเล “ต้องส่งต่องานก่อนแล้วค่อยไปหรือเปล่า?”
เซียวหลิงโปจับข้อมือเขา “หลังจากส่งต่องานแล้วค่อยไปเหรอ? เจ้าไม่กลัวจะโดนกลั่นแกล้งหรือไง? ถ้าชักช้าจะเกิดการเปลี่ยนแปลงได้ง่าย ไปรายงานตัวที่จวนแม่ทัพภาคตลาดผีก่อนแล้วค่อยใช้ระฆังดาราส่งข่าวมาบอกก็ได้”
“แบบนี้จะไม่ก่อให้เกิดปัญหาอะไรเหรอ?” เฉินเชียนชิวยังลังเล
“หนิวโหย่วเต๋อเป็นคนกลัวปัญหารึไงล่ะ? มิหนำซ้ำฝ่าบาทก็มีคำสั่งแล้ว ว่าสี่ทัพห้ามขัดขวางกำลังพลที่จะไปขอพึ่งพา…ทำไมจู่ๆ เจ้ากลายเป็นคนพูดมากเหมือนผู้หญิงไปแล้วล่ะ ที่นี่มีอะไรน่าอาลัยอาวรณ์ คอยดูดีกว่าว่าพวกเราจะติดตามหนิวโหย่วเต๋อแล้วสร้างผลงานยังไงบ้าง ไป!” เซียวหลิงโปดึงแขนเขาเหาะขึ้นฟ้าไปแล้ว
ทั้งสองก้มมองภูเขาและแหล่งน้ำข้างล่างจากบนฟ้า อดไม่ได้ที่จะวนหลายรอบ ถูกขังอยู่ที่นี่มาหลายปี ในที่สุดตอนนี้ก็จะได้หลุดพ้นแล้ว สุดท้ายทั้งสองก็เหลือไว้เพียงเสียงโห่ร้องที่ดังสะเทือนเมฆ จากนั้นก็พุ่งฝ่าชั้นบรรยากาศออกไปอย่างรวดเร็ว เด็ดขาดไม่ลังเล ไม่หันกลับมาอีก…
นอกจวนแม่ทัพภาคตลาดผี คนที่ต่อแถวสมัครยังไม่หายไปทั้งหมด ทำให้สภาพตลาดผีที่เบียดเสียดยังไม่หายไป
แต่สองคนที่เฝ้าประตูจวนแม่ทัพภาคตลาดผีกลับเปลี่ยนไปแล้ว มีผู้ที่ผ่านการคัดเลือกทยอยกันได้รับแจ้งและกลับมาอยู่ใต้สังกัดจวนแม่ทัพภาคตลาดผีอย่างเป็นการทาง กลายเป็นสมาชิกของจวนแม่ทัพภาคตลาดผี ไม่ต้องให้ชิงเยว่กับหลงซิ่นเฝ้าประตูอีกแล้ว
เมื่อสมาชิกทยอยกันมาถึง จวนแม่ทัพภาคจุกำลังพลหนึ่งแสนไม่ไหว เหมียวอี้จึงออกจากตลาดผีแล้ว มาตรวจสอบสภาพพื้นที่ใกล้ๆ ตลาดผี เลือกที่พักที่สามารถจุกำลังพลได้ สุดท้ายก็เลือกภูเขาใหญ่ที่ดูอันตรายลูกหนึ่ง แล้วส่งคนไปไล่ภูตผีกับผู้ที่ไม่เกี่ยวข้องที่อยู่รอบๆ ออกไป
ผู้ที่ติดตามเดินทางคือกำลังพลกลุ่มหนึ่งของกองทัพองครักษ์ ก่อนที่การเดิมพันจะจบลง ความปลอดภัยของเหมียวอี้ยังเป็นเรื่องสำคัญอันดับหนึ่งในขอบเขตหน้าที่ของตงฟางเลี่ย
ชิงเยว่กับหลงซิ่นถูกเหมียวอี้เรียกให้ติดตามมาด้วย ทั้งสามเดินทอดน่องอยู่บนยอดเขา หันมองเขาภูตพเนจรที่จมอยู่ในแสงขมุกขมัว
เหมียวอี้ยืนเอามือไขว้หลัง กล่าวในขณะเงยหน้ามองท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาว “ตลาดผีจุกำลังพลหนึ่งแสนไม่ไหว ถ้าให้คนมากขนาดนี้อยู่ที่เขาภูตพเนจรตลอด ตึกศาลาสัตยพรตก็ไม่ยอมเช่นกัน ไม่ช้าก็เร็วที่ต้องเลือกที่สร้างจวนใหม่ ตามความเห็นของพวกเจ้าทั้งสอง เลือกสร้างที่ไหนถึงจะเหมาะสม?”
ชิงเยว่ หลงซิ่นยืนอยู่ทางซ้ายและขวาข้างกายเขา หลังจากครุ่นคิดสักครู่ ชิงเยว่ก็ตอบว่า “สถานที่ต้องเลือกที่แดนรัตติกาลเท่านั้น ถ้าออกนอกพื้นที่มา สี่ทัพก็ไม่อนุญาตเช่นกัน แต่แดนรัตติกาลก็ไม่ใช่ที่พักที่ดีอะไรเลยจริงๆ ไม่อย่างนั้นคงถูกสี่ทัพแบ่งกันไปนานแล้ว สถานที่ที่ปัจจัยแวดล้อมดีหน่อยก็มีอยู่แห่งหนึ่ง แค่ไม่รู้ว่าตำหนักสวรรค์จะอนุญาตหรือเปล่า”
“เจ้าคงไม่ได้หมายถึงปราสาทดำเนินจันทร์หรอกใช่มั้ย?” หลงซิ่นถาม
ชิงเยว่เอียงหน้ามองเขา “หรือนอกจากปราสาทดำเนินจันทร์แล้ว ยังมีที่ไหนที่เหมาะสมอีก?”
“เจ้าถูกปิดกั้นข่าวสารมานานเกิน คงจะไม่รู้ชัดน่ะสิ ว่าทางฝ่าบาทจงใจจะห่างเหินสิบปราสาทดำเนิน สัญญาแล้วว่าจะให้ดาวดำเนินจันทร์กับปราสาทดำเนินจันทร์เป็นพื้นที่ส่วนตัว ตำหนักสวรรค์จะไม่แทรกแซง ต่อให้ตำหนักสวรรค์ตอบตกลง แต่เกรงว่าปราสาทดำเนินจันทร์จะไม่ตอบตกลงให้กำลังพลของตำหนักสวรรค์เข้ามาประจำหรอกมั้ง” หลงซิ่นลังเล
ชิงเยว่กล่าวว่า “ปราสาทดำเนินจันทร์มีดวงจันทร์เก้าดวง ในอาณาเขตนั้นเท่ากับมีดาวเคราะห์สิบดวง ไม่ว่าจะอยู่บนดาวเคราะห์ดวงไหนก็ล้วนมองเห็นจันทร์เก้าดวง ในจำนวนนั้นมีดาวเคราะห์หกดวงที่สภาพแวดล้อมงดงามเหมาะแก่การลงหลักปักฐาน ขอเพียงตำหนักสวรรค์เอ่ยปาก ให้พวกเขาแบ่งดาวเคราะห์สักดวงให้พวกเราสร้างจวน คาดว่าปราสาทดำเนินจันทร์คงไม่กล้าไม่ตอบตกลง ต้องดูว่าท่านแม่ทัพภาคจะเอ่ยปากขอกับตำหนักสวรรค์ได้หรือเปล่า”
หลงซิ่นสังเกตได้ถึงความเจ้าเล่ห์ที่ฉายแวบเข้ามาในดวงตานาง จึงเอียงหน้ามองเหมียวอี้
เหมียวอี้ขมวดคิ้ว ครั้งนี้ถ้าสามารถกลายเป็นหัวหน้าภาคแดนรัตติกาลสำเร็จจริงๆ ก็ยังไม่รู้เลยว่าต้องเฝ้าอยู่ที่แดนรัตติกาลนานขนาดไหน อยู่ในที่ไร้แสงเดือนแสงตะวันตลอดก็น่าเบื่อจริงๆ จึงกล่าวด้วยความลังเล “เดี๋ยวข้าจะกลับไปลองดูแล้วกัน ถ้าไม่ได้จริงๆ แล้วค่อยว่ากัน” เขาโบกมือลง นับว่าปิดประเด็นสนทนานี้แล้ว
เมื่อมองไปรอบๆ เห็นกำลังพลกองทัพองครักษ์ที่ตามอยู่ไม่ไกลกำลังจ้องทางนี้ ไม่รู้ว่านึกอะไรขึ้นได้ จู่ๆ เหมียวอี้ก็ยิ้มจืดๆ อีก “ได้ยินว่าช่วงนี้สหายเก่าของพวกเจ้ามารำลึกความหลังถึงประตูบ้าน ไม่รู้ว่าคุยกันสนุกหรือเปล่า?”
เมื่อได้ยินคำถามนี้ ทั้งสองก็เงียบไป
เหมียวอี้มองซ้ายมองขวา “ทำไมเหรอ? หรือว่ามีอะไรที่ไม่สะดวกจะพูด?”
หลงซิ่นส่ายหน้าถอนหายใจ “ไม่นับว่าเป็นสหายเก่าหรอก ที่จริงแล้วคนรู้จักเก่ามาหา ช่วยอ๋องสวรรค์ก่วงส่งข่าวให้ข้า”
เหมียวอี้ร้องอ๋อ แล้วถามอีกว่า “หรือว่าก่วงลิ่งกงยังกล้าขู่เจ้าอีก? ถ้าเป็นแบบนี้ก็บอกมาได้เลย ข้าจะรายงานทันทีว่าตำหนักสวรรค์ขัดขวางการรับสมัครคน”
หลงซิ่นถอนหายใจ “นายท่านคิดมากไปแล้ว ไม่ได้มาเพราะเรื่องนี้ คนที่มาบอกเพียงว่า โจวจ้าวปิดบังหลอกลวงก่วงลิ่งกงมาตลอด ตอนนี้ก่วงลิ่งกงล้างความอัปยศให้ข้าแล้ว ลงโทษประหารโจวจ้าวแล้ว…ก่วงลิ่งกงบอกข้าอีกว่า ยินดีต้อนรับกลับทัพตะวันตกได้ทุกเมื่อ บอกว่าจะใช้งานข้าในตำแหน่งสำคัญแน่นอน ขอเพียงข้าตอบตกลง เขาก็จะกลับคำพิพากษาให้ข้าทันที ไม่ต้องมาเริ่มต้นใหม่ที่นี่”
เหมียวอี้ทำท่าเหมือนดีใจแทนเขา “นั่นก็เป็นเรื่องที่งดงามจริงๆ วัดที่เป็นจวนแม่ทัพภาคของข้าเล็กเกินไปแล้ว อ๋องสวรรค์ก่วงชอบแบบนี้ ถ้ายอมให้เจ้ารับตำแหน่งสำคัญ ไม่ว่าจะเลือกตำแหน่งไหนก็สูงกว่าแม่ทัพภาคอย่างข้าอยู่แล้ว”
หลงซิ่นกล่าวปนเสียงหัวเราะ “ก่วงลิ่งกงกำจัดจอมพลไปคนหนึ่งเพื่อข้าแล้ว ถ้าข้าเชื่อ ก็คงไม่ต่างอะไรจากคนโง่ จุดประสงค์ที่ดึงข้ากลับไปไม่ใช่เพื่อปลอบใจข้าหรอก แต่ทำเพื่อชื่อเสียงของตัวเองเท่านั้น ในเมื่อข้าทรยศเขาแล้ว ถ้ากลับไปก็อยู่สบายได้เพียงระยะหนึ่ง ไม่ได้อยู่สบายไปทั้งชาติหรอก ไม่ช้าก็เร็วที่จะต้องตาย ก่วงลิ่งกงไม่มีทางปล่อยให้ข้าเงยหน้าที่ทัพตะวันตกได้หรอก แล้วอีกอย่าง ตอนนี้ข้าก็เป็นคนของจวนแม่ทัพภาคตลาดผี นายท่านจะปล่อยให้ข้านึกจะมาก็มานึกจะไปก็ไปเหรอ?”
“ถ้าให้ผลประโยชน์มากพอ ข้าก็พิจารณาจะยกเจ้าให้เขาได้นะ” เหมียวอี้กล่าว
หลงซิ่นกลอกตาแล้วถอนหายใจเบาๆ ทันที “ข้านึกไม่ถึงว่าก่วงลิ่งกงจะเด็ดขาดขนาดนี้ ไม่น่าเชื่อว่าจะกวาดล้างโจวจ้าวอย่างนี้แล้ว เพียงแต่ข้านับถือฮูหยินหลันหลิงท่านนั้นมาตลอดจริง ถึงข้าจะแค้นตระกูลโจวแต่กลับไม่เคยแค้นนาง นางมีจุดจบแบบนั้นช่างทำให้ข้า…เฮ้อ! แต่ก็นับว่าตายอย่างมีคุณค่าเหมือนกัน อย่างน้อยก็ไม่เคยได้รับความอัปยศ”
เหมียวอี้พยักหน้าเบาๆ เขาเองก็ได้ยินเรื่องที่หลันหลิงปลิดชีพตัวเองแล้วเช่นกัน จากนั้นหันกลับมามองชิงเยว่ “แล้วเจ้าล่ะมีสหายคนไหนมา?”
ชิงเยว่แสยะยิ้ม “คล้ายๆ กับเขานั่นแหละ ซูอวิ้นฝากมาบอก ว่าขอเพียงข้ายอมกลับไป ก็จะปล่อยผ่านเรื่องในอดีตได้ ขอเพียงข้าตอบตกลง นางก็จะสาบานต่อหน้าฝูงชน”
…………………………