พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - บทที่ 1742 ความรำคาญใจเยอะเกินไป
โดยเฉพาะมู่หรงซิงหัว ขณะมองเหมียวอี้พูดคุยกับตงฟางเลี่ยอย่างไม่เย่อหยิ่งหรือไม่ถ่อมตน นางก็ยิ่งแอบสะท้อนใจ ชั่วพริบตาเดียวก็กลายเป็นเจ้าอาณาเขตแล้ว ในปีนั้นนางอาศัยอำนาจเฉาว่านเสียงไต่เต้าจากหัวหน้าภาคไปเป็นรองหัวหน้าภาค แต่ท่านนี้กลับเริ่มจากทหารเลวตลาดสวรรค์จนกลายเป็นหัวหน้าภาค เกรงว่าในปีนั้นไม่ว่าใครก็คงนึกไม่ถึง!
และความเปลี่ยนแปลงตั้งแต่เหมียวอี้ควบคุมสถานการณ์ในงานเลี้ยงวันเกิดท่านปู่สวรรค์เซี่ยโห้วจนกระทั่งตอนนี้ มู่หรงซิงหัวก็เห็นอยู่ในสายตา ความสามารถในการใช้กลอุบายเปลี่ยนแปลงเหตุการณ์เหมือนคว่ำเมฆเสกฝนนี้ ถามหน่อยว่าคนระดับเดียวกับหนิวโหย่วเต๋อในใต้หล้านี้มีใครทำได้บ้าง? นางยอมรับว่าตัวเองไม่มีความสามารถนี้ ได้แต่ทอดถอนใจที่ตัวเองสู้ไม่ไหว
ตอนที่นางยังไม่ได้มาพึ่งพาเหมียวอี้ ก็ยังนึกว่าตัวเองมาช่วยเหลือเขาตอนลำบากเหมือนส่งถ่านให้กลางหิมะ ยังนึกว่าอีกฝ่ายกำลังตกต่ำจนยากจะกลับมาผงาดได้อีก แต่ใครจะคิดว่ายามอยู่ภายใต้สถานการณ์ที่ยากลำบากขนาดนั้น พออีกฝ่ายพลิกตัวก็หลุดพ้นความลำบากแล้วทันที ทั้งยังได้ก้าวสูงขึ้นอีกระดับด้วย อีกฝ่ายรู้แจ้งในใจตั้งแต่แรกแล้ว นางรู้สึกขำเมื่อนึกถึงความคิดตัวเองตอนมาสมัครทีแรก อีกฝ่ายไม่จำเป็นต้องมีนางเลย นางคิดเองเออเองว่ามาส่งถ่านให้ท่ามกลางหิมะ
ผู้ชายที่ยอดเยี่ยมก็ยังยอดเยี่ยมอยู่เสมอ…นี่คือประโยคที่มู่หรงซิงหัวพึมพำในใจ
ตงฟางเลี่ยเองก็ไม่ได้มีเจตนาจะอยู่ต่อเลยจริงๆ พอบอกจะไปก็ไปเลย เรียมรวมกำลังพลกองทัพองครักษ์แล้วออกเดินทางทันที
ที่จริงคนระดับเขาก็ไม่จำเป็นต้องเห็นเหมียวอี้อยู่ในสายตาเลย ทั้งสองอยู่คนละระดับกัน การที่คุยกับเหมียวอี้อย่างสุภาพเยือกเย็นได้นานขนาดนี้ ก็เพราะการแสดงความสามารถของเหมียวอี้ทำให้เขาไม่ถือตัว
คนออกไปผ่านทางใต้ดินในจวนแม่ทัพภาค เหมียวอี้นำกำลังพลส่วนหนึ่งมาส่งบนพื้นดินด้วยตัวเอง
หลังจากมองคล้อยหลังคนกลุ่มนี้หายลับไปแล้ว เหมียวอี้ก็นำคนกลุ่มนี้กลับมาประชุมในตำหนักใหญ่ หลังจากเขานั่งลงบนตำแหน่งหลักแล้ว กลุ่มคนก็กุมหมัดคารวะอย่างพร้อมเพรียงกัน “คารวะท่านหัวหน้าภาค!”
เป็นมนุษย์มีจิตใจใฝ่ทางโลก ต่อให้เป็นคนในแดนฝึกตนก็ยากที่จะเลี่ยงค่านิยม ความเคารพนับถือในตอนนี้ย่อมเกี่ยวข้องกับอำนาจที่อยู่ในมือเหมียวอี้ ซึ้งสามารถกำหนดตำแหน่งในอนาคตให้คนพวกนี้ได้ สำหรับคนในแดนฝึกตน ต่อให้ตำแหน่งจะสูงต่ำต่างกันแค่ติดเดียว ทว่าความแตกต่างทางด้านเวลาสำหรับอนาคตไม่ใช่แค่ปีสองปี แต่เป็นพันปีหมื่นปี ถึงขนาดไกลกว่านั้นด้วยซ้ำ
“ไม่ต้องมากพิธี!” เหมียวอี้ผายมือเล็กน้อย แล้วขมวดคิ้วบอกว่า “ทุกคนล้วนเป็นคนของจวนแม่ทัพภาค…พูดได้เต็มปากแล้ว ทุกคนล้วนเป็นผู้ยอดเยี่ยมของจวนหัวหน้าภาค ทุกคนก็รู้เช่นกันว่าว่าที่จวนหัวหน้าภาคมีหลายตำแหน่งกำลังว่างอยู่ แต่ปัญหาใหญ่สุดในตอนนี้ก็คือ หลังจากทุกคนถูกลดตำแหน่งเป็นเทพแห่งภูผาเทพกับแห่งผืนดินแล้วยศก็ต่ำเกินไป ไม่เหมือนพวกที่โดนลดตำแหน่งแล้วไม่กระทบกับยศ ส่วนใหญ่มีคนคอยคุยให้เบื้องหลัง คนพวกนั้นไม่มีทางมาขอพึ่งพาข้าเช่นกัน คนที่ค่อนข้างโชคร้ายอย่างพวกเจ้าถึงตัดสินใจมาพึ่งพาข้า”
คำพูดนี้ทำให้ทุกคนอมยิ้ม ที่เขาพูดไม่ถูกหรอกหรือ ถ้าก่อนหน้านี้รู้สึกว่ายังมีหวังสักหน่อย ยังมีเบื้องบนช่วยพูดให้สักหน่อย ใครจะมาขอพึ่งพาที่ตลาดผีล่ะ?
เหมียวอี้พูดต่อไปว่า “ทุกคนต่างก็ได้เห็นคำสั่งของราชินีสวรรค์แล้ว ตอนนี้จวนหัวหน้าภาคไม่เหมือนจวนแม่ทัพภาคตลาดผีในเมื่อก่อน จวนแม่ทัพภาคตลาดผีเมื่อก่อนตั้งอยู่ที่ตลาดผี ตอนนี้ถูกแยกเข้าสังกัดตำหนักนารีสวรรค์อย่างเป็นทางการ ราชินีสวรรค์ถ่ายทอดคำสั่งให้ข้าวางขอบข่ายงานให้เรียบร้อย หาตำแหน่งให้ครบ แต่กำลังพลของพวกเราน้อย เทียบกับจวนหัวหน้าภาคที่อื่นไม่ติด แต่ตอนนี้ในสังกัดมีรองหัวหน้าภาคสองตำแหน่ง แม่ทัพภาคสิบตำแหน่ง รองแม่ทัพภาคยี่สิบตำแหน่ง ผู้บัญชาการใหญ่หนึ่งร้อยตำแหน่ง รองผู้บัญชาการใหญ่สองร้อยตำแหน่ง ผู้บัญชาการหนึ่งพันตำแหน่ง รองผู้บัญชาการสองพันตำแหน่งครบหมด ถ้านับผู้ช่วยผู้บัญชาการลงไปอีกก็หนึ่งหมื่น ผู้บังคับการกองร้อยหนึ่งแสน ผู้บังคับการกองห้าหนึ่งล้าน เอาล่ะ กำลังพลหนึ่งแสนของพวกเราไม่มีใครได้เป็นทหารธรรมดาเลย ทุกคนล้วนได้เป็นขุนนาง เรื่องแบบนี้ข้าก็เพิ่งรู้เหมือนกัน เป็นสิ่งที่ตอนแรกข้าก็นึกไม่ถึงเหมือนกัน”
“ฮ่าๆ…” คนกลุ่มนี้อดหัวเราะไม่ได้ คิดไปคิดมาก็พบว่าเป็นอย่างนี้จริงๆ กำลังพลหนึ่งแสนไม่มีใครเป็นพลทหารสักคน ทุกคนล้วนได้ตำแหน่งขุนนาง ทุกคนได้ประสบกับเรื่องอัศจรรย์อย่างนี้เป็นครั้งแรกเช่นกัน
ชิงเยว่ยิ้มและบอกว่า “นายท่าน อาศัยความสามารถของหัวหน้าภาคของพวกเรา พูดแล้วต้องรับผิดชอบไหว ทุกคนว่ามั้ยล่ะ?”
“ใช่แล้ว!” กลุ่มคนส่งเสียงตอบพร้อมกัน
เมื่อเห็นว่าตรงนี้บรรยากาศค่อนข้างดี เหมียวอี้ก็พูดต่อว่า “ทุกคนอย่าดีใจเร็วเกินไปนัก ก็อย่างที่บอก ยศของพวกเจ้าต่ำเกินไป คนที่ยศสูงหน่อยก็แค่ทหารสวรรค์เกราะดำเท่านั้น ต่อให้ข้าดันทุรังช่วยพวกเจ้าก็ดันได้แค่ตำแหน่งผู้บังคับการกองร้อยกับผู้ช่วยผู้บัญชาการ อย่างน้อยตำแหน่งนั้นก็ต้องมียศเกราะทอง พวกเจ้าคิดว่ามีคุณสมบัติพอหรือเปล่า? ข้าเองก็ไม่มีสมองมากพอที่จะฝืนดันพวกเจ้าขึ้นตำแหน่ง เพราะนี่ไม่ใช่แค่คนสองคน เป็นการเลื่อนยศหมู่ให้หนึ่งแสนคน ไม่ว่าเปลี่ยนเป็นใครก็ดันไม่ไหวทั้งนั้น พวกเจ้าลองพูดมาซิ จะทำยังไงดี?”
พวกเขาพูดไม่ออกทันที มีคนไม่น้อยรู้สึกคับแค้นอีกครั้งที่ตอนแรกถูกลดตำแหน่ง เห็นได้ชัดว่าทำให้พวกเขาไต่เต้าขึ้นมาอีกได้ยาก แต่จะว่าไป ที่จริงคนที่กลั่นแกล้งพวกเขาในปีนั้นก็ไม่อยากให้พวกเขาได้เงยหน้าอ้าปากง่ายๆ อยู่แล้ว แต่นี่ไม่ได้อยู่ในที่เดิม ถ้าอยู่ที่เดิมแล้วผลงานเข้าตาคนใหญ่คนโตเบื้องบนเมื่อไร ก็ยังมีโอกาสกลับคำพิพากษา เมื่อกลับคำพิพากษาแล้วก็ยังมีโอกาสคืนยศคืนตำแหน่ง แต่ทุกคนมาพึ่งพาที่ตลาดผีแล้ว ที่นี่ไม่มีอำนาจกลับคำพิพากษาในพวกเขา อยู่ที่เดิมมีโอกาสกลับกลับคำพิพากษาให้พวกเขามากกว่า
จู่ๆ เสียงของหลงซิ่นก็ทำลายความเงียบ “แต่ก็ใช่ว่าจะไม่เคยมีตัวอย่างให้เห็น การขยายจวนแม่ทัพภาคเพื่อเลื่อนขั้นให้ครอบคลุมทั้งจวนหัวหน้าภาคแบบนี้ เป็นเรื่องที่มีมานมนานแล้ว สามารถทำให้กำลังพลเดิมทั้งหมดเลื่อนหนึ่งขั้น ก็ต้องดูว่านายท่านจะพยายามสำเร็จหรือเปล่า”
“อ้อ!” เหมียวอี้ตาเป็นประกาย ชี้เขาพร้อมบอกว่า “เรื่องนี้เจ้าลองคิดให้ดี ดูรายละเอียดมาว่าเป็นตัวอย่างที่ไหน ขอเพียงหาตัวอย่างมาได้ ข้าจะพยายามช่วงชิงจากเบื้องบนมาให้ทุกคน”
ชิงเยว่แสยะยิ้ม “ยศชั้นเดียวจะไปมีประโยชน์อะไร อาศัยแค่ยศของทุกคนตอนนี้ เลื่อนขึ้นขั้นเดียวก็ไม่แตกต่างกันเท่าไรหรอก เปลี่ยนอะไรไม่ได้”
เหมียวอี้โบกมือ “พูดอย่างนั้นก็ไม่ถูก มีใครบ้างที่ไม่ไต่เต้าขึ้นมาทีละขั้น ดีกว่าไม่ได้เลื่อนเลย ถ้ามีหนึ่งขั้นเป็นพื้นฐานแล้ว ครั้งหน้าถึงจะเลื่อนสูงขึ้นได้อีก ถ้าไม่พยายามไขว่คว้าตอนนี้ ครั้งหน้าก็ไม่มีโอกาสแล้ว”
ชิงเยว่พยักหน้าแล้วถอนหายใจเบาๆ ตอนนี้ไปเทียบกับศึกใหญ่ปีนั้นไม่ได้แล้ว เมื่อเกิดเรื่องวุ่นวายเยอะ โอกาสสร้างผลงานก็มากขึ้นด้วย ตอนนี้ใต้หล้าเงียบสงบ ถ้าอยากจะเลื่อนทีละขั้นจนถึงยศเดิมของนางในปีนั้น ก็ยากยิ่งกว่าก้าวขึ้นฟ้าจริงๆ
เหมียวอี้จึงบอกว่า “ทุกคนก็เลิกคิดมากได้แล้ว ราชินีสวรรค์ดูแลขนาดนี้ จู่ๆ ก็ให้ตำแหน่งว่างเยอะขนาดนี้ เป็นเรื่องที่น่าดีใจเกินคาดเหมือนกัน ถ้าไม่มีการดูแลนี้ ทุกคนก็ยังต้องเลื่อนขึ้นมาทีละขั้นเหมือนกันไม่ใช่เหรอ ในเมื่อตำแหน่งอยู่ในมือพวกเราแล้ว สังกัดสายตรงของตำหนักนารีสวรรค์ก็มีแค่กำลังพลกลุ่มของพวกเรา ไม่มีคนนอกมาแย่งพวกเราแล้ว ตำแหน่งพวกนี้หนีเราไม่พ้นหรอก สักวันหนึ่งก็ต้องเป็นของทุกคน คิดมากไปก็มีแต่เรื่องเพ้อเจ้อทั้งนั้น เอาอย่างนี้แล้วกัน ข้าจะช่วยไขว่คว้ามาให้ทุกคนอย่างสุดความสามารถ จะดีจะร้ายสามสิบคนที่อยู่ตรงนี้ก็เป็นยอดฝีมือระดับพลังอิทธิฤทธิ์อนันตภาพ เริ่มจากตำแหน่งผู้บังคับการกองร้อยก่อนแล้วกัน ส่วนคนอื่นๆ ที่ระดับต่ำกว่านั้น ทั้งหมดไปเป็นผู้บังคับการกองห้าก่อน แน่นอนว่านี่เป็นแค่ความประสงค์ส่วนตัวของข้า ส่วนตำหนักนารีสวรรค์จะอนุญาติหรือไม่ก็ไม่แน่ ถ้าไม่อนุญาต ทุกคนก็เริ่มจากจุดเริ่มต้นแล้วกัน คิดว่ายังไงกันบ้าง?”
ทุกคนสงบจิตสงบใจ แล้วกุมหมัดคารวะพร้อมกัน “น้อมรับคำสั่ง!”
ทุกคนคุยง่ายมาก ที่สำคัญคือคุยยากไม่ได้ เพราะยศและตำแหน่งของทุกคนล้วนอยู่ที่นี่ เมื่อเทียบกับเหมียวอี้แล้วห่างกันเกินไป มารดาเจ้าเถอะ ขนาดจะวางแผนแย่งชิงตำแหน่งยังไม่มีคุณสมบัติเลย และข้างบนก็ไม่มีคนที่คอยควบคุมเขาลงมาทีละชั้นอีก ทั้งตำหนักนารีสวรรค์หาใครที่มีอำนาจบัญชาการไม่เจอสักคน จะให้พวกนางในหรือพวกสนมมาบังคับบัญชาก็คงไม่ได้ แน่นอนว่าตอนนี้ราชินีสวรรค์มีอำนาจนี้ แต่ราชินีสวรรค์ก็มาทำเรื่องนี้ถึงที่นี่ไม่ได้ อย่างมากก็แค่ถ่ายทอดคำสั่งอยู่ไกลๆ เป็นไปไม่ได้ที่นางจะมาเกลื้อกกลั้วกับพวกผู้ชายด้วยตัวเอง ต่อให้ราชินีสวรรค์ยอมทำแต่เกรงว่าราชันสวรรค์คงไม่ยอมให้ทำ ดังนั้นก็ยังต้องพึ่งพาเหมียวอี้อยู่ดี และถ้าจะย้ายคนมาจากตลาดสวรรค์ ก็ยังไม่ต้องพูดถึงว่าราชินีสวรรค์เองจะวางใจหรือเปล่า อย่างน้อยก็ต้องถามเหมียวอี้ก่อนว่าอนุญาตหรือไม่ เหมียวอี้ไม่อนุญาตหรอก ถ้าไม่กดเบื้องล่างเอาไว้ ถ้าปล่อยให้มีคนถ่อมาแย่งตำแหน่งที่สัญญาว่าจะให้คนพวกนี้แล้ว เกรงว่าคงจะไม่มีใครควบคุมได้ ตอนหลังจะตายอย่างไรก็ยังไม่รู้เลย
นอกเสียจากราชินีสวรรค์จะมีความสามารถขยายขนาดให้ทางนี้ได้ สามารถย้ายคนกลุ่มใหญ่ที่สามารถควบคุมกำลังพลทางนี้ได้ ไม่อย่างนั้นถ้ามากันแค่ไม่กี่คนแล้วอยากจะควบคุมทหารของเหมียวอี้ เห็นเหมียวอี้ที่ผู้ซึ่งสร้างกำลังพลขึ้นมาด้วยมือตัวเองเป็นโคลนที่บีบง่าย เห็นว่าเหมียวอี้ไม่กล้ายุยงให้พวกลูกน้องเล่นงานให้ตายงั้นเหรอ? ถ้าเล่นงานตายแล้วฝั่งนี้จะอ้างอย่างไรก็ได้ เมื่อคนพวกนี้มารวมตัวกันก็ต้องเกาะกลุ่มเป็นพวกเดียวกันโดยธรรมชาติอยู่แล้ว ทุกคนล้วนมีจิตใจระแวงระวังฝ่ายอื่น กังวลว่าอำนาจบางฝ่ายจะเข้ามาล้างแค้นพวกเขา ถ้าเหมียวอี้จะวางแผนทำร้ายจริงๆ ก็อย่าว่าแต่คนแค่ไม่กี่คนเลย ต่อให้มาเป็นร้อยเป็นพันก็ตายอยู่ดี ยิ่งคนมาเยอะก็ยิ่งมีตำแหน่งให้ครอบครองเยอะ เบื้องล่างยิ่งให้การตอบรับเยอะ ทุกคนที่มาพึ่งพาตลาดผีล้วนมีอุดมการณ์ ไม่ได้มาเพื่อเป็นพลทหาร
เมื่อมีเหตุผลเหล่านี้ประกอบกัน การที่เหมียวอี้อยู่แดนรัตติกาลก็ได้เปรียบกว่าโดยธรรมชาติอยู่แล้ว เท่ากับเหมียวอี้เป็นเพียงคนเดียวที่มีอำนาจตัดสินใจที่จวนหัวหน้าภาคแห่งนี้ ไม่ต่างอะไรกับพระราชา เหมือนเป็นกระดาษขาวแผ่นหนึ่งจริงๆ ตราบใดที่ไม่ออกนอกกรอบ เหมียวอี้อยากจะวาดอะไรก็วาดได้ตามใจชอบ
หลังจากกลุ่มคนแยกย้ายกันไป อวิ๋นจือชิวก็นำเฟยหงและเชียนเอ๋อร์เสวี่ยเอ๋อร์ออกมา พวกนางแสดงความยินดีด้วยกัน “ยินดีกับนายท่านที่ได้เลื่อนตำแหน่ง”
อวิ๋นจือชิวยิ้มอย่างเบิกบานใจ นางรู้ว่าผู้ชายคนนี้นั่งตำแหน่งนี้แล้วต้องเสี่ยงอันตรายมากขนาดไหน ใบหน้าเฟยหงก็ยิ่งเปี่ยมไปด้วยรอยยิ้มแห่งความสุข นึกไม่ถึงว่าเหมียวอี้จะกลายเป็นเจ้าอาณาเขตเร็วขนาดนี้ ยิ่งเหมียวอี้มีอำนาจมาก ก็ยิ่งมีหวังจะช่วยชีวิตมารดาของนางมากขึ้น เชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์ละคนอื่นๆ ก็ย่อมดีใจอยู่แล้ว
“ฮ่าๆ!” เหมียวอี้หัวเราะพลางโบกมือ วางแผนมานานขนาดนี้ แต่พอได้ขึ้นตำแหน่งจริงๆ กลับไม่ได้ตื่นเต้นดีใจอะไรมาก เพราะว่าเตรียมใจไว้นานแล้ว
หลังจากคุยกันได้สักประเดี๋ยว ก็กลับมาที่ห้องตัวเองพร้อมอวิ๋นจือชิว จากนั้นเหมียวอี้ก็หยิบระฆังดาราติดต่อกับเซี่ยโห้วเฉิงอวี่ ผลก็คือพบว่าติดต่อไม่ได้แล้ว หมายความว่าอะไร?
เหมียวอี้เลอะเลือนนิดหน่อย เพราะคนที่เป็นฝ่ายสร้างช่องทางการติดต่อนี้ก็คือราชินีสวรรค์ แล้วทำไมถึงติดต่อไม่ได้ล่ะ?
เขาเองก็ไม่รู้ว่าตอนนี้ราชินีสวรรค์อาจจะไม่สะดวกคุยหรือเปล่า จึงตัดสินใจว่าจะรออีกสักหน่อยแล้วค่อยว่ากัน
หยางชิ่งได้รับข่าวว่าเรื่องหัวหน้าภาคแดนรัตติกาลสำเร็จแล้ว ขณะที่กำลังดีใจก็ถือโอกาสชี้แนะเล็กน้อย บอกให้เขาระวังตัวเวลามีเรื่องลับต้องติดต่อกับราชินีสวรรค์ อย่าให้คนอื่นที่ตำหนักนารีสวรรค์รู้เรื่อง
ก่อนหน้านี้ยังแปลกใจฝั่งราชินีสวรรค์อยู่เลย ตอนนี้หยางชิ่งก็มาเอ่ยถึงอีก หรือว่าจะมีเบาะแสอะไร? เหมียวอี้รีบถาม : หมายความว่ายังไง?
…………………………