พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - บทที่ 1745 ข้อมูลชุดใหญ่
ก่อนหน้านี้หาไม่ได้เลยสักคน หลังจากเงียบหายไป จู่ๆ ก็มาบอกว่ารับได้สามแสน ถ้าไม่นึกว่าตัวเองฟังผิดก็แปลกแล้ว
เมื่อเห็นทุกคนทำท่าเหมือนไม่เชื่อ สวีถังหรานก็รีบบอกว่า “ข้าน้อยไม่กล้าอ้อมค้อมต่อหน้านายท่าน…” ขณะที่พูดก็มองซ้ายมองขวา อึกอักเหมือนอยากจะพูดแต่ก็เงียบไป เหมือนมีบางอย่างที่ไม่รู้ว่าสมควรพูดหรือเปล่า
“ตรงนี้ไม่มีคนนอก” เหมียวอี้ถาม
“ขอรับ!” สวีถังหรานเอ่ยรับ แล้วเล่าว่า “สามแสนคนนี้ไม่ได้ทยอยรับมาทีละคน แต่เป็นกลุ่มของนักพรตอิสระที่ตั้งขึ้นเอง ตอนแรกที่ข้าน้อยได้รับภารกิจจากนายท่าน ก็คิดว่านายท่านคงรีบร้อยใช้คน ถ้าค่อยๆ รับมาทีละคน ประสิทธิภาพการทำงานก็ช้าเกินไป ข้าน้อยก็เลยเล็งกลุ่มนักพรตอิสระที่ชื่อว่า ‘พันธมิตรทะเลดาว’ ช่วงไม่กี่ปีมานี้ครุ่นคิดหาวิธีการมาตลอดว่าจะสยบพวกเขายังไง สุดท้ายข้าน้อยก็คิดวิธีการหนึ่งขึ้นได้ ถ้าจะจับโจรก็ต้องจับหัวหน้าโจร หลังจากสิ้นเปลืองพลังความคิดไปไม่น้อย สุดท้ายก็ทำให้ฉู่อันเทียนหัวหน้าพันธมิตรทะเลดาวยอมจำนนแล้ว ทำให้ฉู่อันเทียนยอมส่งรายชื่อสมาชิกพันธมิตรทะเลดาวให้แต่โดยดี”
หัวหน้ากลุ่มที่คุมคนหลายแสนถูกเจ้าควบคุมง่ายๆ อย่างนี้เลยเหรอ? เหมียวอี้พึมพำในใจ ถามว่า “ฉู่อันเทียนคนนี้วรยุทธ์เท่าไร?”
สวีถังหรานไอแห้งก่อนจะตอบว่า “ระดับสำแดงฤทธิ์ขั้นหนึ่งขอรับ”
พอได้ยินแบบนี้ อวิ๋นจือชิวและคนอื่นๆ ก็ทำสายตาฉงนสนเท่ห์ เหมียวอี้เลิกคิ้ว “ผู้นำกลุ่มที่ควบคุมคนหลายแสนได้ ทั้งยังมีวรยุทธ์ระดับสำแดงฤทธิ์ขั้นหนึ่ง จะถูกเจ้าควบคุมได้ง่ายๆ อย่างนี้เชียวหรือ?”
“เอ่อคือ…” พอพูดถึงตรงนี้ สวีถังหรานก็ก็เหมือนจะขวยเขินนิดหน่อย เห็นได้ชัดว่ากินปูนร้อนท้อง “ถ้าควบคุมตรงๆ ก็จัดการยากอยู่แล้ว แต่การศึกมิหน่ายเล่ห์ ฉู่อันเทียนคนนี้ค่อนข้างลำบาก ไม่น่าเชื่อว่าจะไม่กล้ามีลูกมีเมียแบบเปิดเผย กลับต้องแอบหลบๆ ซ่อนๆ เลี้ยงเมียและลูกชายซ่อนไว้ในที่แห่งหนึ่งเงียบๆ แต่ด้วยสถานการณ์ที่สุดแสนจะบังเอิญ ข้าน้อยดันสืบรู้เสียได้ หลังจากวิเคราะห์ทีละขั้นตอน ข้าน้อยถึงได้พบว่าทำไมฉู่อันเทียนคนนี้ถึงต้องแอบเลี้ยงภรรยาและลูกชาย เดิมทีพันธมิตรทะเลดาวเป็นอำนาจที่ตระกูลเซี่ยโห้วแอบควบคุมไว้
ฉู่อันเทียนก็ถูกตระกูลเซี่ยโห้วควบคุมอยู่เหมือนกัน ภรรยาและลูกชายที่เขาแอบเลี้ยงไว้ลับหลังตระกูลเซี่ยโห้วก็คือทางหนีทีไล่ที่เขาเก็บไว้ให้ตัวเอง ตระกูลเซี่ยโห้วไม่รู้เรื่องนี้ หลังจากข้าน้อยคิดหาทางควบคุมภรรยาและลูกชายของฉู่อันเทียนไว้แล้ว จึงนักฉู่อันเทียนให้มาเจรจาด้วยตัวเอง แล้วบีบเขาด้วยเรื่องที่แอบทำลับหลังตระกูลเซี่ยโห้ว ในที่สุดก็บีบให้เขายอมศิโรราบได้แล้ว ถ้าจะพูดให้ชัดก็คือ เขาไม่ได้กลัวข้าน้อย แต่กลัวตระกูลเซี่ยโห้ว ก่อนที่จะได้บัญชีรายชื่อมา ข้าน้อยก็นึกว่าพันธมิตรทะเลดาวมีสมาชิกแค่พันสองพันคนตามที่ร่ำลือกัน แต่หลังจากได้เห็นบัญชีรายชื่อ ข้าน้อยถึงได้ตกตะลึงมาก ถึงได้รู้ว่าจำนวนคนของพันธมิตรทะเลดาวที่กระจายอยู่ทั่วทุกที่มีประมาณสามแสนกว่าคน ถึงขั้นว่าท่ามกลางกำลังพลตำหนักสวรรค์ก็ยังมีสมาชิกของพวกเขาเลย”
คนในห้องมองเขาอย่างพูดไม่ออก สงสัยจะไม่ใช่การรับคนอย่างสง่าผ่าเผย ใช้วิธีการต่ำช้าอีกแล้ว ควบคุมผู้นำกลุ่มใหญ่ขนาดนี้ไว้ คนในห้องนี้เดาว่าขั้นตอนคงไม่สบายๆ เหมือนที่เขาเล่า ในระหว่างนั้นอาจจะใช้วิธีการที่ทำให้คนยกนิ้วสาปแช่งไปหลายอย่างแล้วก็ได้
แต่เรื่องที่เกี่ยวข้องกับตระกูลเซี่ยโห้วยังทำให้พวกเขาตกใจมาก เหมียวอี้ขมวดคิ้ว “เจ้าแน่ใจนะว่าเป็นกำลังที่ตระกูลเซี่ยโห้วควบคุมโดยตรง?”
สวีถังหรานตอบว่า “ฉู่อันเทียนสรุปไว้แบบนี้ แต่ไม่ใช่บุคคลที่มาควบคุมฉากหน้า ตามที่ฉู่อันเทียนบอก คนส่วนใหญ่ของพันธมิตรทะเลดาวไม่รู้ว่าตัวเองเป็นกำลังของตระกูลเซี่ยโห้ว ส่วนฉู่อันเทียนก็ฟังคำสั่งจากใครบางคนที่แม้กระทั่งเขาเองก็ไม่รู้ตัวตนชัดเจน ตอนแรกเขาก็ไม่รู้ว่าตัวเองถูกตระกูลเซี่ยโห้วควบคุม จนกระทั่งมีครั้งหนึ่งเขาไปตลาดสวรรค์แล้วบังเอิญเฉียดกับคนลึกลับผู้นั้น เขาปะปนกับกลุ่มคนเพื่อสะกดรอยตามไปตลอดทาง ถึงพบว่าคนคนนั้นเข้าไปในร้านค้าของตระกูลเซี่ยโห้ว ทั้งยังอยู่ที่นั่นหลายวันกว่าจะออกมา เป็นไปไม่เลยที่จะเข้าไปซื้อของในร้าน ไม่มีเหตุผลที่เข้าไปหลายวันแล้วเพิ่งออกมา และตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา เขาถึงเริ่มสงสัยว่าคนที่ควบคุมเขาเกี่ยวข้องกับตระกูลเซี่ยโห้ว”
จู่ๆ อวิ๋นจือชิวที่ขมวดคิ้วเล็กน้อยก็ถามว่า “เขากับบุคคลลึกลับนั่นเฉียดกันที่ตลาดสวรรค์ เขาสังเกตเห็นคนลึกลับ แล้วคนลึกลับจะไม่สังเกตเห็นเขาเชียวหรือ?”
สวีถังหรานกุมหมัดคารวะ “ฮูหยินอาจจะไม่รู้บางอย่าง ตอนนั้นทั้งสองต่างก็เปลี่ยนใบหน้าแล้ว ตามหลักแล้วบนถนนมีคนมากขนาดนั้น เวลาเดินเฉียดกันแล้วไม่ได้ตั้งใจตรวจสอบก็จะแยกอีกฝ่ายไม่ออกเลย แต่ฉู่อันเทียนคนนี้มีความสามารถพิเศษที่คนอื่นไม่รู้ นั่นก็คือสามารถดมกลิ่นแล้วแยกคนได้ ไม่อย่างนั้นก็ไม่มีทางสังเกตพบแบบนี้เลย”
ที่แท้ก็เป็นอย่างนี้ อวิ๋นจือชิวพยักหน้าเล็กน้อย บอกใบ้ให้เขาพูดต่อไป
สวีถังหรานพูดต่อไป “ฉู่อันเทียนเองก็อยากรู้ว่าตัวเองถูกตระกูลเซี่ยโห้วควบคุมหรือเปล่า บังเอิญครั้งนั้นพาคนจำนวนหนึ่งไปปฏิบัติการลับด้วยพอดี คนพวกนั้นบอกว่าที่จริงคนของพันธมิตรทะเลดาวไม่ได้อยู่ในรายชื่อของพันธมิตรทะเลดาว แต่เป็นคนในเครือข่ายที่เขาแอบรวบรวมไว้ อาศัยพลังของเขา ถ้าจะให้คนพวกนี้ยอมจำนนมาทำงานให้ก็ไม่ใช่เรื่องยาก คนของพันธมิตรทะเลดาวไม่รู้ถึงการมีตัวตนของคนพวกนี้เลย ที่จริงสาเหตุที่ข้าน้อยพุ่งเป้าไปที่ฉู่อันเทียน ก็เพราะมีหนึ่งในคนพวกนี้บังเอิญเผยพิรุธ หลังจากฉู่อันเทียนพบบุคคลลึกลับ ข้างกายก็มีคนพวกนี้อยู่ด้วยพอดี…”
“พิรุธอะไร?” อวิ๋นจือชิวแทรกถามด้วยแววตาวูบไหว พอเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับตระกูลเซี่ยโห้ว นางก็อ่อนไหวเป็นพิเศษ
สวีถังหรานแอบด่าว่าตัวเองปากพล่อย พูดอะไรก็ไม่พูด มาพูดเรื่องนี้ทำไม แต่ในเมื่อถูกถามแล้ว ถ้าไม่มีคำอธิบายที่สมเหตุสมผลก็คงไม่เหมาะ ทำได้เพียงเล่าออกมาอย่างเก้อเขิน ลูกน้องคนนั้นของฉู่อันเทียนเข้ามาในบ่อนพนันที่เขาเปิดไว้ในตลาดมืด แล้วตอนโดนหวงเสี้ยวเทียนวางแผนขู่เอาเงิน ก็ถูกล้วงความลับเรื่องฉู่อันเทียนด้วยเหมือนกัน แต่หวงเสี้ยวเทียนไปมีเรื่องกับฉู่อันเทียนไม่ไหว เพราะฉู่อันเทียนวรยุทธ์สูงเกินไป ต่อให้สวีถังหรานพาพวกทหารสวรรค์มาด้วยก็จัดการไม่ไหวอยู่ดี หวงเสี้ยวเทียนกลัวว่าฉู่อันเทียนจะรู้ว่าตัวเองรู้ความลับ ก็เลยฆ่าปิดปากลูกน้องคนนั้นไปเสียเลย แต่หวงเสี้ยวเทียนก็นึกไม่ถึงว่าตอนหลังสวีถังหรานจะมารับสมัครคนให้โถงชุมนุมอัจฉริยะ แล้วบังเอิญสวีถังหรานก็ชอบความลับที่เขากุมไว้พอดี สวีถังหรานก็เลยถือโอกาสค้นหาเบาะแสจากตัวคนที่โดนฆ่าปิดปาก พบว่าเป็นลูกน้องคนสนิทที่คอยดูแลภรรยาและลูกให้ฉู่อันเทียน สวีถังหรานง้างปากจนรู้ความลับมากมาย ถึงได้ควบคุมภรรยาและลูกของฉู่อันเทียนไว้ได้
แน่นอนว่าเขาไม่เอ่ยถึงวิธีการต่ำช้าในระหว่างนั้น
อวิ๋นจือชิวฟังจบแล้วพยักหน้า “พูดต่อเลย”
สวีถังหรานไอแห้ง ก่อนจะเล่าว่า “หลังจากฉู่อันเทียนพบตัวละครลับคนนั้น บังเอิญว่าข้างกายมีลูกน้องอยู่ด้วยพอดี และเป็นเพราะตัวละครลับอยู่ในร้านค้าของตระกูลเซี่ยโห้วหลายวัน ทำให้เขามีเวลามากพอที่จะวางกำลัง เขาก็เลยให้คนไปเฝ้าที่นอกประตูดวงดาวหลายแห่งในอาณาเขตดาวนั้น แต่ดาราจักรกว้างใหญ่ แล้วเขาก็ไม่กล้าให้อีกฝ่ายรู้ว่าตนกำลังสืบเรื่องอีกฝ่ายด้วย สุดท้ายก็เลยปล่อยให้เบาะแสขาดหายไป แต่เขาเชื่อว่าตัวละครลับคงจะไม่ได้ไปสถานที่เดิมเพียงครั้งเดียว ก็เลยใช้วิธีการที่โง่เขลา นั่นก็คือส่งคนไปเฝ้าตรงทิศทางที่ตัวละครลับหายไปอีกครั้ง เฝ้าจับตาดูอยู่แค่ทิศทางเดียว แล้วช่วงเวลาที่ตัวละครลับอาจจะติดต่อมาหาเขา
เขาก็เฝ้าอยู่ที่ร้านค้านั้น ขอเพียงตัวละครลับปรากฏตัวที่ร้านค้า ไม่ว่าจะไปที่ไหน เขาก็จะไม่ปล่อยให้หายไปจากที่ทิศทางที่เฝ้าไว้ ผลก็เป็นอย่างที่เขาคาดไว้ ตอนหลังตัวละครลับปรากฏตัวอีก พอพบแล้วก็ตามเข้าไปในจุดที่วางกำลังพลซุ่มไว้ทันที ทุกอย่างดำเนินไปด้วยความระมัดระวังที่สุด เขาใช้เวลาหนึ่งหมื่นปีเต็มๆ กว่าจะพบว่าผู้ที่ตัวละครลับไปหาก็คือเทพแห่งผืนดินคนหนึ่งที่ไม่ค่อยมีชื่อเสียง ทั้งยังพบว่าตัวละครลับมีท่าทีเคารพยำเกรงเทพแห่งผืนดินนั่นมากด้วย
ฉู่อันเทียนตระหนักได้แล้วว่าเทพแห่งผืนดินคนนี้ไม่ธรรมดา แต่ในระหว่างที่เฝ้าสังเกตการณ์หลายพันปีหลังจากนั้น ก็ไม่เจอความผิดปกติอะไรจากเทพแห่งผืนดินนี่เลย นอกจากวรยุทธ์สูง อย่างอื่นก็ไม่ต่างจากเทพแห่งผืนดินทั่วไป แค่บางครั้งจะมีกลุ่มคนที่หลากหลายมาเยี่ยมคารวะเท่านั้นเอง เขาลองไปสืบเรื่องคนอื่นๆ ที่ติดต่อกับเทพแห่งผืนดิน แต่ก็เหมือนกับตัวละครลับคนนั้น ยากที่จะสืบเจออะไร เขาเองก็ไม่มีกำลังมากถึงขนาดตรวจสอบทุกคนที่ไปเยี่ยมคารวะได้ แต่ตอนที่เขาวางมือเรื่องนี้ได้ไม่นาน ในระหว่างที่คลุกคลีกับพันธมิตรกลุ่มอื่น เขากลับบังเอิญพบว่าในกลุ่มอื่นก็มีตัวละครลับอีกคนที่เคยไปคารวะเทพแห่งผืนดินมา แล้วตอนหลังเขาก็ไปตีสนิทด้วย ถึงแม้อีกฝ่ายจะปลอมแปลงใบหน้าแล้ว แต่กลิ่นอายบนตัวก็ปิดบังเขาไม่ได้ เขาถึงได้รู้สึกกว่ากลุ่มคนที่ตัวละครลับพวกนั้นควบคุมไม่ได้มีแค่พันธมิตรทะเลดาว ยิ่งมีกำลังมากขนาดนี้ก็ยิ่งทำให้เขามั่นใจว่าเป็นตระกูลเซี่ยโห้ว และสิ่งที่ทำให้เขาหวาดกลัวยิ่งกว่านั้นก็คือ ตอนหลังที่เขาอยู่ในบ้านผู้อาวุโสคนหนึ่งของพันธมิตรทะเลดาว เขาก็ได้เจอตัวละครลับอีกคน
ถึงแม้อีกฝ่ายจะเปลี่ยนใบหน้าแล้ว แต่เขาก็เพิ่งเข้าใจว่าคนที่ตัวละครลับกลุ่มนี้ควบคุมไม่ได้มีแค่หัวหน้าพันธมิตรทะเลดาวอย่างเขา ยังมีผู้อาวุโสหรือคนอื่นที่ถูกบงการอย่างลับๆ อีก เมื่อตัวละครลับไม่พอใจเขาเมื่อไร เบื้องล่างก็จะมีคนมาแทนที่เขาได้ทุกเมื่อ นี่จึงเป็นเหตุผลที่ทำให้เขาแอบมีลูกมีเมียเอาไว้เป็นทางหนีทีไล่ให้ตัวเอง และตามที่เขาคาดเดาได้จากเบาะแสหลายอย่างในหลายปีมานี้ เขาสงสัยว่าเทพแห่งผืนดินที่ตัวละครลับพวกนั้นเคารพก็น่าจะเป็นตัวละครที่คล้ายกับเฉาหม่านแห่งตึกศาลาสัตยพรต เพียงแต่เฉาหม่านควบคุมตลาดผี ส่วนเทพแห่งผืนดินนั่นควบคุมกลุ่มพันธมิตรใหญ่ๆ”
เหมียวอี้กับอวิ๋นจือชิวมองหน้ากันเลิกลั่ก นึกไม่ถึงว่าการให้สวีถังหรานออกไปรับคนเข้าโถงชุมนุมอัจฉริยะจะทำให้ขุดข้อมูลชุดใหญ่ขนาดนี้
แต่เหมียวอี้ก็ปวดประสาทนิดหน่อย ยัไม่ต้องสนใจว่าข้อมูลจะใหญ่ขนาดไหน เขาขมวดคิ้วถามว่า “สวีถังหราน เจ้ากำลังล้อเล่นกับข้าหรือเปล่า? กลุ่มพันธมิตรทะเลดาวที่ถูกตระกูลเซี่ยโห้วควบคุม ตอนนี้เจ้าจะทำให้กลายเป็นคนของโถงชุมนุมอัจฉริยะเหรอ เจ้าจะให้ข้าใช้งานยังไง?”
มีหรือที่สวีถังหรานจะยอมให้ผลงานตัวเองหายไปอย่างไร้ร่องรอย รีบกล่าวด้วยสีหน้าจริงจังว่า “นายท่าน ในเมื่อพวกเรารู้แล้วว่าเป็นคนของตระกูลเซี่ยโห้ว ก็ไม่มีอะไรน่ากังวลหรอก ในทางกลับกัน พวกเขาเลี้ยงตัวเองได้โดยไม่ต้องให้พวกเราจ่ายเงิน ทั้งยังเอามาช่วยพวกเราหาเงินได้ด้วย ตราบใดที่จุดอ่อนของพวกเราไม่ตกอยู่ในมือพวกเขา คนมากขนาดนี้ ถ้าไม่ใช้งานก็จะเสียของนะ! นอกจากนี้ นายท่าน ตระกูลเซี่ยโห้วนอกจากเฉาหม่านที่เปิดเผยตัวตน อำนาจฝ่ายอื่นก็ไม่รู้อะไรเลย ตอนนี้พวกเรากลับรู้เรื่องเทพแห่งผืนดินคนนั้นแล้ว ตอนหลังต่อให้เอาเรื่องนี้มาเป็นผลประโยชน์แลกเปลี่ยนกับอำนาจฝ่ายอื่น ก็ถือเป็นธุรกิจที่ทำเงินดีรายการหนึ่งเลย การที่เรารู้ฐานะของเทพแห่งผืนดินนั่น ที่จริงก็มีประโยชนืไม่น้อยเลยนะ” เขากำลังเตือนเหมียวอี้ทางอ้อมว่าผลงานของเขาไม่เล็กนะ
เหมียวอี้คิดไปคิดมาก็รู้สึกว่าใช่ แต่พูดถึงขั้นนี้แล้ว ฐานะของเทพแห่งผืนดินนั่นสำคัญขนาดนั้น ไม่อาจไม่ถามให้ชัดเจน “สืบตัวตนฉากหน้าของเทพแห่งผืนดินนั่นชัดเจนหรือยัง?”
สวีถังหรานพยักหน้าซ้ำๆ “แน่นอนอยู่แล้ว ฉู่อันเทียนจับตาดูเขามาหลายปี คงไม่ถึงขั้นไม่รู้เรื่องนี้ เทพแห่งผืนดินอยู่ที่ดาวมหาสมุทร ชื่อว่าหยวนกง วรยุทธ์ไม่ธรรมดา…”
ใครจะคิดว่ายังไม่ทันพูดจบ หลายคนในห้องก็เบิกตากว้างแล้ว เหมียวอี้ก็ยิ่งถามตัดบทว่า “ชื่ออะไรนะ? เจ้าบอกว่าเทพแห่งผืนดินนั่นชื่ออะไรนะ?”
สวีถังหรานไม่ค่อยเข้าใจ ตอบอย่างงุนงงว่า “หยวนกง ชื่อหยวนกง หรือว่านายท่านรู้จัก?”
เหมียวอี้กับอวิ๋นจือชิวหันหน้ามาสบตากันอย่างพูดไม่ออก
…………………………