พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - บทที่ 1746 รับสมัครสายลับเข้ามา
จะไม่ให้คนเหล่านี้ตกใจก็คงยาก เพราะในบรรดากำลังพลเกรียงไกรหนึ่งแสนที่รับเข้ามาใหม่ มีอยู่คนหนึ่งชื่อว่าหยวนกง เหมือนจะมาจากดาวมหาสมุทรด้วย ทั้งยังวรยุทธ์ไม่ต่ำ นั่นก็คือบงกชกลายขั้นแปด นี่คือความบังเอิญเหรอ? ถ้าเป็นคนเดียวกันจริงๆ นั่นจะหมายความว่าอะไรล่ะ?
อวิ๋นจือชิวพลิกมือหยิบแผ่นหยกแผ่นหนึ่งขึ้นมาตรวจอ่าน ส่วนเหมียวอี้ก็ถามอีก “แล้วเทพแห่งผืนดินนั่นวรยุทธ์เท่าไร?”
สวีถังหรานพึมพำในใจว่านี่มันเรื่องอะไรกัน ส่วนปากก็ตอบว่า “ฉู่อันเทียนไม่รู้รายละเอียด เพราะยามปกติเทพแห่งผืนดินนั่นก็ไม่ค่อยเผยวรยุทธ์ บวกกับไม่อยากแหวกหญ้าให้งู้ตื่น ฉู่อันเทียนเลยไม่กล้าติดต่อกับเบื้องบนของเทพแห่งผืนดิน แต่ฉู่อันเทียนแน่ใจได้ว่าวรยุทธ์อีกฝ่ายถึงระดับบงกชกลายแล้วแน่นอน”
“วรยุทธ์สูงขนาดนี้ทำไมเป็นเทพแห่งผืนดิน เจ้าคงได้ฟังสาเหตุมาบ้างใช่มั้ย?” เหมียวอี้ถาม
สวีถังหรานพยักหน้า “ฉู่อันเทียนคนนี้สืบได้บ้างนิดหน่อย เทพแห่งผืนดินที่ชื่อหยวนกงคนนี้ ตอนที่ตำหนักสวรรค์เพิ่งก่อตั้งขึ้นก็ถูกลดตำแหน่งเป็นเทพแห่งผืนดินทันที สาเหตุก็เพราะฆ่าน้องชายภรรยาของผู้บังคับบัญชา หลังจากถูกลดขั้นเป็นเทพแห่งผืนดิน ก็ไม่เคยถูกเลื่อนตำแหน่งขึ้นอีกเลย”
เหมียวอี้มองอวิ๋นจือชิวที่อยู่ข้างกัน อวิ๋นจือชิวที่กำลังถือแผ่นหยกพยักหน้าที่ตึงเครียดเล็กน้อย ประวัติเทพแห่งผืนดินที่สวีถังหรานเล่าสอดคล้องกับหยวนกงที่เพิ่งเข้ามา เป็นเทพแห่งผืนดินที่ถูกลดตำแหน่งตอนตำหนักสวรรค์เพิ่งก่อตั้งเพราะฆ่าน้องชายภรรยาของผู้บังคับบัญชา สถานที่ ตัวละคร พื้นเพสอดคล้องกันทั้งหมด น่าจะไม่ผิดพลาด
ทันใดนั้นในห้องก็เปลี่ยนเป็นเงียบสงบลง หยางเจาชิงกับเชียนเอ๋อร์สีหน้าแย่ลงอย่างเห็นได้ชัด บรรยากาศนี้ทำให้สวีถังหรานอึดอัดไปทั้งตัว ถามอย่างค่อนข้างหวาดระแวงว่า “นายท่าน อย่าบอกนะว่าหยวนกงมีปัญหาอะไร?”
เหมียวอี้หลุบตาก้มหน้า “ทางนี้เพิ่งรับทหารเกรียงไกรหนึ่งแสน ในจำนวนนั้นมียอดฝีมือระดับพลังอิทธิฤทธิ์อนันภาพสามสิบคน เจ้าอย่าบอกเชียวนะว่าจนป่านนี้แล้วเสวี่ยหลิงหลงยังไม่ได้บอกเจ้า”
สวีถังหรานพยักหน้าอย่างงุนงง “เสวี่ยหลิงหลงบอกข้าน้อยแล้ว แล้วเกี่ยวกับ…” จู่ๆ เหมือนตระหนักอะไรได้ เบิกตาโพลงแล้ว “หรือนายท่านกำลังจะบอกว่า รับหยวนกงคนนี้เข้ามาในจวนแม่ทัพภาคแล้ว?”
“เจ้าตอบถูกแล้ว ตอนนี้เป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของหัวหน้าภาคผู้นี้!” เหมียวอี้พยักหน้าตอบเสียงต่ำ
“…” สวีถังหรานอ้าปากกว้าง ทำสายตาตกใจเกินเหตุ ตะลึงค้างแล้วจริงๆ ล้อเล่นอะไรกัน ตัวละครที่เหมือนกับเฉาหม่าน ตัวละครที่แอบควบคุมกลุ่มก๊วนในใต้หล้าไว้ไม่รู้ตั้งเท่าไร ไม่น่าเชื่อว่าจะกลายเป็นลูกน้องของนายท่านแล้ว? เขากลืนน้ำลายอย่างคอแห้ง แล้วถามอย่างกังวลนิดหน่อยว่า “เอ่อ…จะเป็นไปได้ยังไง ตัวละครแบบนี้ ฐานะแบบนี้ จะมาขอพึ่งพาที่จวนแม่ทัพภาคตลาดผีได้ยังไง?”
เหมียวอี้แสยะหัวเราะ “นึกไม่ถึงละสิ?”
สวีถังหรานส่ายหน้าเหมือนกลองป๋องแป๋ง
“ข้าเองก็นึกไม่ถึงเหมือนกัน ถ้าไม่ใช่เพราะเจ้าเอ่ยถึง ใครจะไปคาดคิดล่ะ?” เหมียวอี้หรี่ตากล่าวเสียงต่ำ อดไม่ได้ที่จะส่ายหน้าเช่นกัน “ตระกูลเซี่ยโห้วเอ๋ย ตัวละครที่กุมอำนาจมหาศาลขนาดนี้ ไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นเทพแห่งผืนดินที่ไร้ชื่อเสียงคนหนึ่ง ซ่อนไว้ลึกขนาดนี้ สงบเสงี่ยมเจียมตัวขนาดนี้ ไม่ว่าใครก็คิดไม่ถึงทั้งนั้น! ไม่แปลกใจที่นอกจากเฉาหม่านแล้ว ในใต้หล้าก็ไม่มีใครคลำเจอก้นบึ้งของตระกูลเซี่ยโห้ว แค่ดูจากหยวนกงนี่ก็รู้แล้ว!”
“เฮ้อ!” อวิ๋นจือชิวถอนหายใจเบาๆ แล้วส่ายหน้าบอกว่า “ก็เพราะซ่อนไว้ลึกขนาดนี้ไง เลยไม่ถูกคนอื่นค้นพบได้ง่ายๆ นายท่านลองคิดดูสิ คนที่มีฐานะแบบนี้ ไปหลบอยู่ที่ไหนก็ต้องกังวลว่าจะเผยพิรุธทั้งนั้น ถ้าใช้ฐานะนักพรตอิสระก็จะเกิดเรื่องได้ง่ายอีก เพราะนักพรตอิสระไม่ได้คุยกันด้วยกฎระเบียบเหมือนคนในขอบข่ายงานตำหนักสวรรค์ เรื่องปลาใหญ่กินปลาเล็กพบเห็นบ่อยจนเป็นเรื่องปกติ เกิดวามขัดแย้งกันได้ง่าย ถ้าพลังโดดเด่นเกินไปในหมู่นักพรตอิสระ ก็จะดึงดูดสายตาคนอื่นได้ง่าย จะหลบอยู่ในสังคมมนุษย์ก็ไม่เหมาะสม พออายุขัยมากหน่อยก็ต้องเปลี่ยนตัวตน พอสลับตัวตนบ่อยๆ ก็ถูกสังเกตเห็นได้ง่ายอีก แต่ถ้าอยู่ในตำแหน่งสูงของตำหนักสวรรค์ ก็จะกลายเป็นคนที่ถูกจับตาดูได้ง่าย จะได้เข้าไปพัวพันกับการแย่งชิงผลประโยชน์ทั้งข้างล่างข้างบน ไม่สะดวกต่อการควบคุมอำนาจใต้ดิน จะให้เขาเป็นคนไร้ความทะเยอะทะยานอยู่บนตำแหน่งสูงของตำหนักสวรรค์ตลอดไปเชียวหรือ?
แล้วความผิดปกติเรื่องความก้าวหน้าในการฝึกตนกับทรัพยากรฝึกตนจะอธิบายยังไงล่ะ? แต่ถ้าไม่มีหนังเสืออย่างตำหนักสวรรค์คอยคุ้มครองก็จะเจอปัญหาได้ง่ายเช่นกัน อย่างน้อยถ้ามีหนังสือระดับตำหนักสวรรค์คลุมอยู่ ก็ไม่มีคนนอกกล้ามาทำซี้ซั้วกับเขาแล้ว หาข้ออ้างให้โดนลดตำแหน่งเป็นเทพแห่งผืนดิน หลบอยู่ในมุมโดยไม่ดึงดูดสายตาคนอื่น แบบนั้นก็ดีสุดๆ แล้ว ปัญหาต่างๆ ที่กล่าวมาข้างต้น ถ้าหลบได้ก็พยายามหลบ อย่างน้อยในระยะยาวก็ทำให้เขาบริหารอำนาจใต้ดินได้อย่างสงบใจ บอกได้เลยว่าวิธีการนี้ของตระกูลเซี่ยโห้วเหนือชั้นมากทีเดียว”
เหมียวอี้พยักหน้าด้วยความจนใจ “ในเมื่อเป็นอย่างนี้ แล้วคนฐานะอย่างเขาถ่อมาพึ่งพาที่จวนแม่ทัพภาคตลาดผีหมายความว่าอะไรล่ะ? อย่าบอกนะว่ามาเป็นสายลับที่นี่? ฐานะแบบนี้มาเป็นสายลับ ถือว่าลดตัวเกินไปหรือเปล่า?”
“ไม่สนว่าเขาจะลดตัวหรือเปล่า แต่เขาต้องมีองค์ประกอบในการเป็นสายลับแน่นอน” อวิ๋นจือชิวกล่าว
“ถ้าเจ้าคาดเดาถูก หนึ่งแสนปีก่อนเขายอมทุ่มให้ตัวเองถูกลดตำแหน่งเป็นเทพแห่งผืนดิน ตอนนี้ออกมาเพื่อต้องการความก้าวหน้าอีก ไม่ฟังดูขัดแย้งในตัวเองไปหน่อยเหรอ?” เหมียวอี้ถาม
อวิ๋นจือชิวส่ายหน้า “ตามความเห็นข้า มันไม่ขัดแย้งในตัวเองเลยสักนิด นายท่านลองคิดดูสิว่าตอนที่เขาถูกลดตำแหน่งเขามีภูมิหลังเป็นยังไง? ตอนที่เขาถูกลดตำแหน่ง ก็เป็นหลังจากที่สถานการณ์โดยรวมในใต้หล้าปั่นป่วนได้ไม่นาน เพื่อที่จะช่วยประมุขชิงกับประมุขพุทธะสร้างความสมดุลของใต้หล้า อำนาจใต้ดินของตระกูลเซี่ยโห้วเสียทรัพยากรไปมหาศาล บางอย่างที่ไม่ควรเปิดเผยก็เปิดเผยแล้ว ต้องสร้างเครือข่ายอำนาจใต้ดิน ต้องควบคุมอำนาจใต้ดินใหม่ ตอนนั้นที่หยวนกงถูกลดตำแหน่งเป็นเทพแห่งผืนดินเพื่อไปบริหารเรื่องนี้ก็ถือว่าเป็นโอกาสเหมาะ อีกทั้งยังผ่านไปหลายปีขนาดนี้ คาดว่าคงบริหารได้สมบูรณ์แบบพอสมควร บางเรื่องใช้ประโยชน์จากระฆังดาราควบคุมก็พอแล้ว ไม่จำเป็นต้องโผล่หน้าไปทุกที่อีก และถ้าอยู่ในตำแหน่งเทพแห่งผืนดินนานเกินไปก็อาจะไม่ใช่เรื่องดี นายท่านที่อยู่ทางนี้กำลังรับสมัครคนพอดี ยังไม่ต้องพูดถึงว่าอาศัยโอกาสนี้กลับมายิ่งใหญ่อีกครั้ง
นายท่านไม่รู้สึกเหรอว่านี่เป็นโอกาสที่เขาจะได้ชำระล้างมลทินให้ตัวเอง? ถ้ามาผ่านงานที่นี่สักรอบ อีกทั้งก่อนหน้านี้ก็มีประวัติถูกลดตำแหน่ง ลดตำแหน่งเป็นเวลาหนึ่งแสนปีเต็มๆ เชียวนะ ใครจะไปคิดว่าจะเป็นคนของตระกูลเซี่ยโห้ว? ใครจะคิดว่าหนึ่งในตัวละครที่กุมอำนาจใต้ดินของตระกูลเซี่ยโห้วจะมานั่งตำแหน่งสูงอยู่ในจวนหัวหน้าภาคแดนรัตติกาล? ในภายหลังไม่ว่าใครที่อยากจะสืบกำพืดของเขา ไม่ว่าจะสืบยังไงก็หาพิรุธไม่เจอ การเปลี่ยนแปลงตัวตนนี้สมบูรณ์แบบจริงๆ ถ้าไม่ถูกสวีถังหรานบังเอิญเจอ ท่านนี้ก็ซ่อนตัวได้อย่างไร้เบาะแสเลยจริงๆ เรียกได้ว่าไม่มีใครสงสัยเขาแน่ แล้วฝั่งนี้ก็อยู่ในขอบเขตอำนาจของตึกศาลาสัตยพรตด้วย เป็นหลักประกันความปลอดภัยของเขาเช่นกัน อีกทั้งจวนหัวหน้าภาคแดนรัตติกาลก็อยู่สังกัดตำหนักนารีสวรรค์ แค่สร้างโอกาสนิดหน่อยก็ย้ายเขาไปรับตำแหน่งที่ตลาดสวรรค์ได้แล้ว พอมาถึงฝั่งนี้ก็มีพื้นที่ว่างไว้เป็นทางหนีทีไล่ให้หยวนกงอยู่แล้ว มิหนำซ้ำตัวอยู่ในจวนหัวหน้าภาคแดนรัตติกาลยังฉวยโอกาสสืบความจริง…” น้ำเสียงประโยคสุดท้ายฟังดูไม่ค่อยปกติ แอบชี้แนะอะไรบางอย่าง
เหมียวอี้พยักหน้าช้าๆ รู้ว่านางหมายถึงอะไร ตระกูลเซี่ยโห้วอยากรู้เรื่องความสัมพันธ์ระหว่างเขากับหกลัทธิ จึงอดไม่ได้ที่จะแสยะยิ้ม “ช่างเป็นตระกูลเซี่ยโห้วที่รอบคอบคิดการณ์ไกล” ในใจเขาค่อนข้างเดือดดาล เกิดอารมณ์ชั่ววูบอยากจะกำจัดหนึ่งในตัวละครยักษ์ที่กุมอำนาจใต้ดินของตระกูลเซี่ยโห้วทิ้ง ดูซิว่าตระกูลเซี่ยโห้วยังจะโอ้อวดได้ถึงไหน
เขาหันกลับไปมองสวีถังหรานที่ตะลึงเหม่อแบบที่ดึงสติกลับมาได้ยาก “ฉู่อันเทียนนั่นถูกตระกูลเซี่ยโห้วควบคุมได้ยังไง?” เขาค่อนข้างสนใจว่าตระกูลเซี่ยโห้วควบคุมคนได้อย่างไร
สวีถังหรานดึงสติกลับมา แล้วตอบด้วยรอยยิ้มเจื่อน “ไม่ได้ใช้วิธีการพิเศษอะไรหรอก ตระกูลเซี่ยโห้วกุมจุดอ่อนอย่างหนึ่งของฉู่อันเทียนไว้ ในปีแรกๆ ฉู่อันเทียนเคยทำความผิดเรื่องใหญ่ถึงชีวิตมาก่อน เขาขืนใจสนมของฝ่าบาท หลังจากนั้นก็ฆ่าปิดปากสนมคนนั้น”
คนในห้องอึ้งทันที เหมียวอี้แปลกใจ “สนมของฝ่าบาทเหรอ? ฉู่อันเทียนไปใกล้คิดกับสนมของฝ่าบาทได้ยังไง? สถานการณ์เป็นยังไง?”
สวีถังหรานถอนหายใจ “ที่จริงตอนแรกเขาก็ไม่รู้ว่าผู้หญิงคนนั้นเป็นสนมของฝ่าบาท รู้แค่ว่าเป็นผู้หญิงที่สวยสุดๆ คนหนึ่ง หลังจากชิงตัวมาเล่นแล้ว เดิมทีคิดจะรับเป็นอนุภรรยา เป็นเพราะผู้หญิงคนนั้นสวยเลิศเลอมาก เขาชอบนางสุดๆ แต่ใครจะคิดว่าตอนหลังที่ตำหนักสวรรค์จะเกิดความเคลื่อนไหวใหญ่ขึ้น มีการค้นหาผู้หญิงคนนี้ไปทั่ว เขาถึงได้รู้ว่าเป็นสนมของราชันสวรรค์ที่กลับมาเยี่ยมครอบครัว ออกไปเที่ยวข้างนอกก็เลยถูกเขาชิงตัวไป เขาก็เลยกลัวแทบแย่ ฆ่าผู้หญิงคนนี้ทิ้งเสียเลย เมื่อเวลานานไปตำหนักสวรรค์หาสนมคนนั้นไม่เจอ เรื่องก็เลยผ่านไป เดิมทีฉู่อันเทียนนึกว่าเรื่องนี้ผ่านไปแล้ว แต่ใครจะคิดว่าเรื่องที่แม้แต่เทพกับผีก็ไม่รู้ ทว่าตัวละครกับนั่นกลับรู้แล้วแล้ว ตอนหลังก็เลยอยู่ในการควบคุมตลอด ตอนหลังเขารู้สึกว่าเรื่องนั้นมีเงื่อนงำนิดหน่อย สนมของราชันสวรรค์ผู้สง่าภูมิฐาน ต่อให้จะไม่เป็นที่โปรดปรานแค่ไหน แต่อย่างน้อยข้างกายก็ต้องมีองครักษ์สิ ทำไมถึงปล่อยให้เขาลงมือสำเร็จได้ง่ายๆ ขนาดนี้ เขาสงสัยนิดหน่อยว่าตัวเองติดกับดักตระกูลเซี่ยโห้วเข้าแล้วหรือเปล่า แต่เขาเองก็ไม่มีหลักฐานอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้เหมือนกัน”
พอพูดอย่างนี้ พวกเขากลับรู้สึกว่าความสงสัยของฉู่อันเทียนก็ใช่ว่าจะไม่มีเหตุผล มีความเป็นไปได้สูงว่าจะติดกับดักตระกูลเซี่ยโห้วแล้ว ทุกคนพูดไม่ออกกับตระกูลเซี่ยโห้ว ช่างใจกล้าจริงๆ ขนาดสนมของราชันสวรรค์ก็ยังกล้าเอามาเป็นหมากในแผนการได้ตามอำเภอใจ
สุดท้ายเหมียวอี้ที่ครุ่นคิดพักหนึ่งก็ตัดสินใจแล้ว ถ่ายทอดเสียงบอกอวิ๋นจือชิวว่า “เรื่องพันธมิตรทะเลดาว เจ้าติดต่อกับหยางชิ่งหน่อยว่าจะจัดการยังไง ตอนนี้ข้าไม่มีสมาธิมาสนใจ”
อวิ๋นจือชิวพยักหน้า
เหมียวอี้บอกสวีถังหรานอีกว่า “ลำบากเจ้าแล้ว แยกกับเสวี่ยหลิงหลงหลายปี รีบกลับไปพักผ่อนเถอะ มีเรื่องอะไรค่อยคุยกันทีหลัง”
อย่าพูดอย่างนี้สิ! ธุระหลักยังไม่ได้คุยเลยนะ ข้าลำบากลำบากออกเงินออกแรงไปมากขนาดนี้เพื่ออะไรล่ะ! สวีถังหรานร่ำร้องในใจ แต่ภายนอกกลับกล่าวอย่างจริงจังว่า “ไม่ลำบากขอรับ การทำงานเพื่อนายท่านเป็นเรื่องที่อยู่หน้าที่ของข้าน้อย ใช่แล้ว นายท่าน กำลังพลหนึ่งแสนที่รับเข้ามาใหม่ก็ต้องมีการเตรียมตำแหน่งสิ ไม่ทราบว่าทางตำหนักนารีสวรรค์มีข้อจำกัดอะไรต่อตำแหน่งว่าในจวนหัวหน้าภาคหรือเปล่าขอรับ? ข้าน้อยรู้ว่าตัวเองว่าวรยุทธ์ไม่ได้ยอดเยี่ยมอะไร ดังนั้นไม่ว่านายท่านจะจัดตำแหน่งอะไรให้ข้าน้อย ข้าน้อยก็จะไม่บ่นสักคำแน่นอน” พูดจาน่าฟัง แต่ตัวเขาเองไม่อาจปิดบังสีหน้าแววตาที่เฝ้าคอยได้เลย
อวิ๋นจือชิวเหล่ตามองเขาแล้วหัวเราะ
เหมียวอี้เลิกคิ้วเล็กน้อย เขารู้สันดานเจ้าเวรนี่ดีเกินไป ตอนแรกที่อยู่ตลาดสวรรค์ เรื่องที่ทำเพื่อให้ตัวเองได้ไต่เต้า เขาจะไม่เอ่ยถึงเพราะเป็นอดีตไปแล้ว เขานับว่าดูออก ว่าถ้าวันนี้ไม่ยกหินออกจากใจเจ้าเวรนี่ คาดว่าคงไม่มีอารมณ์ไปจู๋จี๋กับเสวี่ยหลิงหลงแล้ว
เพียงแต่เดิมทีเจ้าหมอนี่ก็เป็นผู้ช่วยของตนอยู่แล้ว นอกจากจะประจบสอพลอให้สบายใจ แต่ก็มีวิธีการทำงานที่พอใช้ได้จริงๆ ถึงแม้จะทำทุกอย่างโดยไม่สนวิธีการก็ตาม แต่ก็ต้องยอมรับว่าขอเพียงแค่ยื่นงานให้ทำ เจ้าหมอนี่ก็จะทำสำเร็จทุกครั้ง อย่างไรเสียก็เอ่ยถามแล้ว เรื่องตำแหน่งในจวนหัวหน้าภาคก็ไม่จำเป็นต้องปิดบังเขา จึงบอกเรื่องที่ใครให้ตำแหน่งมาเยอะมากรวมทั้งสิ่งที่ตัวเองตัดสินใจให้ฟัง
หลังจากได้รู้ว่ายศของทหารเกรียงไกรหนึ่งแสนยังต่างกับตนเกินไป สวีถังหรานที่รีบกลับมาสุดชีวิตก็โล่งอกแล้ว
“ข้ากำลังคิดเรื่องจะเลื่อนยศหมู่หนึ่งขั้นยังไง…” เหมียวอี้อธิบายสิ่งที่หลงซิ่นบอกให้ฟัง แล้วสุดท้ายก็พยักหน้าให้สวีถังหราน “ยศของเจ้าสามารถนั่งตำแหน่งแม่ทัพภาคได้ไม่มีปัญหา ถ้าเลื่อนยศอีกขั้น เจ้าก็จะเป็นยศเกราะม่วงสี่แถบแล้ว ยศสูงพอสำหรับเป็นรองหัวหน้าภาคแล้ว ถ้าจัดการเรื่องเลื่อนยศหมู่สำเร็จ ยศของพวกเจาชิงก็ยังไม่สูงพอ ทั้งจวนหัวหน้าภาคมีแค่เจ้าที่ยศถึง เดี๋ยวข้าจะรายงานขึ้นไปที่ตำหนักนารีสวรรค์ พยายามช่วงชิงตำแหน่งรองหัวหน้าภาคมาให้เจ้าแล้วกัน”
………………………