พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - บทที่ 1751.2 ล้มไม่เป็นท่า (2)
ชิงเยว่ตอบว่า “ผู้ชายอย่างประมุขไป๋เหมือนดาวที่ส่องแสงรุ่งโรจน์ ในโลกนี้ไม่มีใครเทียบได้ มีเสน่ห์ที่ทำให้ผู้หญิงวิ่งเข้าหาเหมือนแมลงเม่าบินเข้ากองไฟ ถึงแม้จะไม่เคยเห็นว่าเขาสำส่อน แต่จะเป็นไปได้ยังไงที่ทั้งชีวิตจะมีผู้หญิงแค่คนเดียว ต่อให้ตีให้ตายข้าก็ไม่เชื่อว่าก่อนรู้จักประมุขปีศาจเขาจะไม่เคยแตะต้องผู้หญิงคนอื่นมาก่อน ตอนแรกข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่ตอนนำทัพใหญ่ล้อมโจมตีประมุขไป๋ ข้าก็เคยได้ยินฮ่าวเต๋อฟางเอ่ยถึงครั้งหนึ่ง ถึงได้รู้ว่าลี่หัวกับประมุขไป๋เคยมีความสัมพันธ์กันช่วงหนึ่ง ตอนหลังประมุขไป๋ได้ใหม่ลืมเก่า ได้รู้จักกับประมุขปีศาจ ลี่หัวแค้นใจเรื่องนี้มาตลอด นางเลยสมคบกับปราสาทดำเนินจันทร์แอบทรยศประมุขไป๋ ในช่วงสำคัญของศึกเดือดครั้งนี้ ลี่หัวลอบโจมตีประมุขไป๋ ทำให้ประมุขไป๋บาดเจ็บ ฝ่าบาทถึงได้มีโอกาสขังประมุขไป๋ไว้ในเจดีย์สยบปีศาจ ไม่อย่างนั้นด้วยสถานการณ์ตอนแรก แม้ฝ่าบาทจะมีความมั่นใจในชัยชนะ แต่ประมุขไป๋ก็เก่งกาจเกินไปจริงๆ ต่อให้กำจักกำลังพลของประมุขไป๋ได้ แต่ก็อาจกำจัดตัวประมุขไป๋ไม่ได้ ถ้าประมุขไป๋อยากจะหนีไป เกรงว่าทัพใหญ่ก็ขังเขาไม่ไหว”
มีเรื่องอย่างนี้ด้วยเหรอ? เหมียวอี้ประหลาดใจไม่หยุด “หมายความว่า เจ้าก็เข้าร่วมศึกใหญ่ที่ล้อมโจมตีตอนนั้นด้วยเหรอ?”
ชิงเยว่ขานรับ “ไม่ใช่แค่ข้านะ หลงซิ่นก็เข้าร่วมเหมือนกัน นั่นคือศึกที่ดุเดือดรุนแรงที่สุดที่ข้าเคยเจอเลย แต่ตอนนี้มานึกถึงก็ยังกลัวไม่หาย เมื่อประมุขไป๋ถือกระบี่อยู่ในมือ ก็ไม่มีใครต้านทานได้เลยจริงๆ เพื่อที่จะช่วยประมุขปีศาจในปีนั้น เขาก็เหมือนเป็นบ้าไปแล้ว แค่ยอดฝีมือที่ตายด้วยมือเขาก็ไม่น้อยกว่าหมื่น แต่สุดท้ายสถานการณ์ก็ไม่เอื้อให้ชนะ กอปรกับฝ่าบาทใช้อาวุธลับซึ่งก็คือธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ เดิมทีประมุขไป๋เป็นยอดฝีมือแห่งยุคที่สยบใต้หล้าได้ แต่กลับพังด้วยมือของผู้หยิงคนเดียว น่าเสียดายแล้ว”
“กระบี่?” เหมียวอี้ถาม “อาวุธที่ประมุขไป๋ใช้คือกระบี่เหรอ?”
“ใช่!” ชิงเยว่พยักหน้า เห็นเหมียวอี้มีปฏิกิริยาแปลกๆ จึงถามกลับ “หรือว่ามีอะไรไม่ถูกต้องตรงไหนเหรอ?”
“เปล่า” เหมียวอี้ส่ายหน้า แล้วถามอย่างไม่แน่ใจอีก “เจ้าแน่ใจนะว่าประมุขไป๋ถูกขังในเจดีย์สยบปีศาจ ไม่ได้หายไปไหน?” นี่คือหนึ่งในสิ่งที่เขาสงสัยมาตลอด คนที่รู้เรื่องราวเบื้องลึกไม่ยอมบอก คนที่ไม่รู้เรื่องราวเบื้องลึกก็บอกว่าไม่รู้อะไรทั้งนั้น
ชิงเยว่ตอบว่า “แน่นอนอยู่แล้ว ประมุขไป๋ยอมตายเพื่อประมุขปีศาจ ตอนที่ประมุขปีศาจตกเป็นตัวประกันอยู่ในมือฝ่าบาท จุดจบของประมุขไป๋ก็ถูกลิขิตแล้ว แต่ตอนนั้นร่างทิพย์หนึ่งร่างจากเก้าร่างของประมุขไป๋ฝ่าวงล้อมออกมาได้ ยอดฝีมือจำนวนมากไล่สังหารตลอดทาง จนกระทั่งหลายร้อยปีหลัง ฝ่าบาทถึงได้ประกาศต่อใต้หล้าอย่างเป็นทางการ ว่าสังหารร่างทิพย์นั้นของประมุขไป๋ได้แล้ว”
เหมียวอี้เงียบไปพักหนึ่ง ไม่รู้ว่านึกอะไรขึ้นได้ สุดท้ายก็ถามอีกว่า “ประมุขไป๋หน้าตาเป็นยังไง? ผมสีขาวหรือเปล่า?”
“ผมขาวเหรอ?” ชิงเยว่หลุดขำทันที “นายท่านคงไม่คิดว่าชื่อประมุขไป๋มาจากผมสีขาวหรอกใช่มั้ย? เขาไม่ได้มีผมขาว ทั้งศีรษะมีแต่ผมดำขลับดุจเส้นไหม”
“เจ้าแน่ใจนะว่าไม่ได้ผมขาว?” เหมียวอี้สงสัย
ชิงเยว่ “ก็ต้องแน่ใจอยู่แล้ว ยังไงข้าก็รู้จักเจ้า เจอหน้าเขาไม่ใช่แค่ครั้งสองครั้ง ทั้งยังเคยพูดคุยต่อหน้าเขาด้วย ไม่ถึงขั้นตาบอดแยกสีผมของเขาไม่ออกหรอกมั้ง?”
เหมียวอี้เงียบไปอีกพักหนึ่ง “ก่อนหน้านี้เจ้าบอกว่าประมุขไป๋มีเสน่ห์ที่ดึงดูดผู้หญิงเหมือนแมลงเม่าบินเข้ากองไฟ คงจะหน้าตาดีมากเลยใช่มั้ย?”
ชิงเยว่พยักหน้าด้วยความปลงอนิจจัง “หน้าตาดีมาก หล่อมากจริงๆ ข้าเองก็ไม่รู้ว่าจะบรรยายหน้าตาเขายังไง เอาเป็นว่าถ้าพูดถึงหน้าตากับบุคลิก จะบอกว่าเขา ‘ใต้หล้าไร้ผู้ใดเทียบเทียม’ ก็ไม่ถือว่ากล่าวเกินไป ถ้าพูดถึงความสามารถก็เป็นที่สุดแห่งยุคเช่นกัน คนที่ไม่เคยเจอเขาไม่มีทางจินตนาการถึงเสน่ห์ของเขาได้หรอก อย่างน้อยข้าก็ยังไม่เคยเห็นผู้ชายคนไหนดูดีกว่าเขาเลย ไม่เคยเห็นเขาสวมใส่เสื้อผ้าหรูหราอะไร ใส่แต่ชุดขาวตลอด ที่บ่ามีผ้าคลุมไหล่สีเขียวอมฟ้า ดูสูงส่งมีระดับ แต่ก็ดูเป็นมิตรเข้าถึงง่ายด้วย ครั้งแรกที่ข้าได้คุยกับบเขาแบบต่อหน้า พอมานึกดูตอนนี้ก็ยังรู้สึกขำ ข้าเหมือนคนโง่คนหนึ่งที่มองเขา หัวใจเต้นรัว ไม่น่าเชื่อว่าจะรู้สึกเหมือนเป็นสาวน้อยที่มีรักครั้งแรก…ข้าไม่กลัวว่าตัวเองจะน่าหัวเราะเยาะหรอก ขอเพียงเขาเต็มใจ ตอนนั้นข้าคงยินดีเป็นฝ่ายถวายตัวให้เองแล้ว แต่ข้าก็เจียมตัวเหมือนกัน อีกฝ่ายไม่ได้ชอบข้า ข้าแค่แอบคิดเพ้อฝันลับหลังก็พอ คาดว่าในปีนั้นคงจะมีผู้หญิงที่คิดเหมือนข้าไม่น้อย แต่แค่เจียมตัวไม่กล้าแสดงความรู้สึกให้เขารู้ก็เท่านั้นเอง ผู้ชายแบบนี้น่ะ คาดว่าคงมีผู้หญิงไม่กี่คนหรอกที่มั่นใจว่าจะครอบครองเขาได้ ได้แต่มองเขาอยู่ไกลๆ เท่านั้น สูงจนเกินเอื้อม นายท่าน ข้าไม่เคยเห็นบุคคลที่น่าทึ่งขนาดนั้นมาก่อนเลยจริงๆ”
เหมียวอี้ไม่สนใจคำพูดคลั่งรักของนาง แต่แอบพยักหน้าตรงที่นางบอกว่า ‘ใส่แต่ชุดขาวตลอด ที่บ่ามีผ้าคลุมไหล่สีเขียวอมฟ้า’ ในที่สุดก็สอดคล้องกันแล้ว ส่วนรูปร่างหน้าตา เขาก็คิดว่าใต้หล้าไร้ผู้ใดเทียบเทียมจริงๆ เพียงแต่ตอนนี้มีบางเรื่องที่เขารู้สึกคลุมเครือ อย่าบอกนะว่าประมุขปราสาทดำเนินจันทร์ไม่ใช่คนของท่านนั้น? แล้วปราสาทดำเนินจันทร์นี่เรื่องอะไรอีก?
ความคิดวนกลับมาที่ปราสาทดำเนินจันทร์อีกครั้ง เหมียวอี้ถามว่า “ในเมื่อประมุขปราสาทดำเนินจันทร์กับประมุขไป๋เคยมีความสัมพันธ์กันช่วงหนึ่ง แสดงว่าหน้าตาคงใช้ได้เลยน่ะสิ?”
“เอ่อ…” ชิงเยว่ถามอย่างงุนงง “เมื่อครู่นายท่านเพิ่งไปเจอมาไม่ใช่เหรอ?”
“ตอนเจอกันมีผ้าม่านกั้น มองเห็นหน้าตานางไม่ชัด” เหมียวอี้ตอบ
ชิงเยว่กลั้นขำนิดหน่อย สงสัยเพิ่งจะเห็นแค่เงาก็โดยอีกฝ่ายไล่ออกมาแล้ว นางตอบว่า “หน้าตาก็ไม่แย่อยู่แล้ว สวยมาก สวนกว่าอนุภรรยาคนนั้นของท่านอีก แต่ก็ไปมีเรื่องด้วยไม่ไหว ขนาดประมุขไป๋ยังเสียเปรียบนนางเลย”
วังสวรรค์ ตำหนักดาราจักร ตอนที่เกาก้วนกำลังเดินเข้ามา ประมุขชิงก็กำลังคุยกับพวกลูกน้องคนสนิทอยู่ข้างใน
หลังจากเข้ามาทำความเคารพแล้ว เกาก้วนก็ยื่นแผ่นหยกแผ่นหนึ่งให้ด้วยสีหน้าเรียบเฉย พอแผ่นหยกมาถึงมือ ประมุขชิงอ่านแล้วก็รู้สึกบันเทิง
ซ่างกวนชิง ซือหม่าเวิ่นเทียน โพ่จวินและอู๋ฉวี่พากันมองไปที่เกาก้วน ไม่รู้ว่าเกาก้วนรายงานอะไรประมุขชิง ไม่น่าเชื่อว่าจะทำให้ประมุขชิงหัวเราะลั่น
“เฮ้อ เจ้าลูกลิงนี่ชอบวอนเจ็บตัว” ประมุขชิงกล่าวอย่างสนใจ โยนแผ่นหยกในมือลงบนโต๊ะยาว พอเห็นพวกลูกน้องมองเขาด้วยสีหน้างุนงง ถึงได้อธิบายส่งเดชพร้อมรอยยิ้ม “หนิวโหย่วเต๋อ หาที่ดีๆ สร้างจวนที่แดนรัตติกาลไม่ได้ เลยคิดจะไปสร้างที่ปราสาทดำเนินจันทร์ อยากจะขอยืมพื้นที่ปราสาทดำเนินจันทร์ปักหลัก ข้าให้สัญญาเขาไว้แล้ว ว่าขอเพียงเขาทำให้ปราสาทดำเนินจันทร์ตอบตกลงได้ ข้าก็จะอนุญาต ใครจะคิดว่าเจ้าลูกลิงนั่นจะถ่อไปถึงปราสาทดำเนินจันทร์จริงๆ”
พวกลูกน้องมองหน้ากัน มีเรื่องอย่างนี้ด้วยเหรอ?
ซือหม่าเวิ่นเทียนกุมหมัดถามด้วยความสงสัย “ฝ่าบาท อย่าบอกนะว่าลี่หัวอนุญาตแล้ว?”
ประมุขชิงตอบปนหัวเราะ “ลี่หัวไม่ให้เขาพบหน้าด้วยซ้ำ บอกให้เขาไสหัวกลับไป พวกเจ้าเดาซิว่าเจ้าเด็กนั่นทำอะไร? เขาบอกต่อหน้าฝูงชนว่าสงสัยว่าปราสาทดำเนินจันทร์จะซ่อนผู้ร้ายหลบหนีของตำหนักสวรรค์ไว้ ออกคำสั่งให้ค้นปราสาทดำเนินจันทร์”
พอได้ยินแบบนี้ พวกลูกน้องก็เริ่มทำสีหน้าอัศจรรย์ใจ มีเพียงเกาก้วนที่ยังสีหน้าราบเรียบไร้อารมณ์
“หรือว่าจะถูกลี่หัวทำร้ายกลับมาแล้วขอรับ?” ซือหม่าเวิ่นเทียนกล่าวปนหัวเราะ
ประมุขชิงหัวเราะเบาๆ “ไม่ได้ทำร้ายหรอก พอยัดข้อหาใหญ่นี้แล้ว ลี่หัวก็ยอมพบเขา แต่หลังจากนางรู้เจตนาของเจ้าลูกลิงนั่น ก็ไม่ได้ไว้หน้าสักเท่าไร สรุปก็คือเจ้าเด็กนั่นโดนปฏิเสธจนทำตัวไม่ถูก หน้าม่อยคอตกกลับไปแล้ว ตอนนี้เหมือนกำลังสั่งคนให้ค้นหาไปทั่ว หาที่สร้างจวนใหม่”
ซือหม่าเวิ่นเทียนพยักหน้า “ที่ปฏิเสธก็สมเหตุสมผลแล้ว ถ้าลี่หัวตอบตกลงได้ นั่นต่างหากที่แปลกขอรับ”
ประมุขชิง “ในเมื่อพูดถึงเจ้าเด็กนี่แล้ว งั้นก็จะพูดอีกเรื่องหนึ่งเลยแล้วกัน เจ้าเด็กนั่นรายงานขึ้นมาที่ตำหนักนารีสวรรค์ โลภยื่นขอธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์หนึ่งหมื่นคัน ราชินีสวรรค์เลยมาหาข้า ตามหลักแล้ว กำลังพลท้องถิ่นทุกๆ หนึ่งแสนคนจะได้ธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์เพียงหนึ่งพันคันเท่านั้น แต่เจ้าเด็กนี่อ้างเหตุผลเยอะมาก บอกว่าเพราะพวกเขามีกำลังคนน้อย แต่อาณาเขตที่ดูแลใหญ่มาก จึงต้องมีอาวุธเยอะหน่อย อีกทั้งศักยภาพของพวกเขาก็ยังเหนือกว่ากำลังพลท้องถิ่นทั่วไปด้วย ทั้งยังบอกอีกว่ากำลังพลใต้สังกัดของตำหนักนารีสวรรค์กับกำลังพลท้องถิ่นควรจะได้รับการปฏิบัติต่างกันบ้าง พวกเจ้าคิดว่ายังไง จะให้หรือไม่ให้?”
พวกเขาไตร่ตรองสักพัก แล้วเกาก้วนก็กล่าวเสียงเรียบว่า “ตามหลักแล้ว การที่เขาขอแบบนี้ก็ใช่ว่าไร้เหตุผล กำลังพลใต้สังกัดของราชินีสวรรค์ จะปฏิบัติให้แตกต่างกับกำลังพลกลุ่มอื่นก็ใช่ว่าจะทำไม่ได้ แต่เจ้าเด็กนี่ชอบก่อเรื่อง ยิ่งกำลังพลใต้สังกัดเขาแข็งแกร่งเท่าไร เกรงว่าจะไม่ยอมเอาค่าจ้างเพียงน้อยนิด กอปรกับตำหนักนารีสวรรค์ควบคุมเขาไม่ค่อยเข้มงวด ถ้าให้ธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์อีกหนึ่งหมื่นคัน ก็จะทำให้เขาเป็นเสือติดปีก ยังไม่รู้เลยว่าเขาจะก่อเรื่องอะไรที่แดนรัตติกาลอีก ความเห็นของข้าน้อยก็คือ ไม่ให้ขอรับ!”
ประมุขชิงเลิกคิ้วเล็กน้อยจนแทบไม่สังเกตเห็น เอามือลูบเคราพลางมองคนอื่น “พวกเจ้าคิดว่ายังไง?”
คนที่เหลือสบตากัน เหมือนรู้สึกว่าจะให้หรือไม่ให้ก็ได้ พากันตอบว่า “ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจขอฝ่าบาทขอรับ!”
………………