พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - บทที่ 1761 บินไปสิ
รอบนี้ท่านขุนนางเหมียวตะลึงค้างของจริง ไม่ได้ตะลึงเพราะความงามและเรือนร่างที่ทำให้เลือดลมชายสูบฉีด แต่ตะลึงเพราะวิธีการบินของอวี้หลัวช่า เคยเห็นคนโหดมาก่อน แต่ไม่เคยเห็นใครโหดขนาดนี้ ยังบินแบบนี้ได้อีกเหรอ?
เป็นครั้งแรกที่เขาเห็นคนที่ถอดเสื้อผ้าบิน ผู้หญิงคนหนึ่งถอดเสื้อผ้าบินอยู่บนฟ้า ยอดฝีมือระดับสำแดงฤทธิ์ช่างเข้าใจเล่นจริงๆ!
ความคิดเหลือเชื่อต่างๆ นานา พรั่งพรูขึ้นในใจ เหมียวอี้ค่อนข้างตกใจ ที่สำคัญคือไม่เคยเห็นจริงๆ เขาไม่เข้าใจ ไม่รู้ว่าทำแบบนี้แล้วบินได้จริงๆ หรือนางมีพลังอิทธิฤทธิ์เป็นพื้นฐาน ถ้าเป็นอย่างหลัง เช่นนั้นก็เกิดปัญหาแล้ว
อวี้หลัวช่ายิ่งบินยิ่งเขามาใกล้ ใกล้จนทั้งสองฝ่ายเห็นสีหน้าของกันและกันชัดเจน
เร็วเข้า! เร็วเข้า! เร็วเข้า! เหมียวอี้ที่คล้องคอเหยี่ยวมารวานรยักษ์เร่งให้มันบินอย่างสุดชีวิต
แต่จนใจที่เหยี่ยวมารวานรยักษ์บาดเจ็บสาหัสเกินไป ตรงส่วนท้องมีเลือดสดไหลไม่หยุด ปากส่งเสียงร้องครางเป็นระยะ ปีที่กระพือก็เหมือนจะหนักขึ้นเรื่อยๆ ขยับปีกช้าลงเรื่อยๆ แล้ว เรื่องความเร็วก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึง ระดับความสูงลดลงตลอดทาง
วูบ! เงามืดสายหนึ่งใต้แสงอาทิตย์แฉลบผ่านศีรษะเหมียวอี้ไป เขาที่กำลังหมอบและกอดคอเหยี่ยวมารวานรยักษ์เงยหน้ามอง เห็นอวี้หลัวช่าที่ใช้แขนขาทั้งสี่กางเสื้อผ้าแฉลบผ่านหัวหัวเขาไป กำลังจ้องเขาด้วยสายตาเย็นเยียบ พร้อมทั้งตวาดเสียงแข็ง “หนิวโหย่วเต๋อ!”
ความเคียดแค้นในน้ำเสียงทำให้คนตัวสั่นทั้งที่ไม่ได้หนาว ราวกับเห็นไปหนาวแทรกออกมาจากร่องฟันของนาง
ระดับความสูงในการบินลดลงเร็วมาก เหมียวอี้ตระหนักได้ว่าเหยี่ยวมารวานรยักษ์บินไม่ไหวแล้วจริงๆ เขาตบบ่าเหยี่ยวมารวานรยักษ์ บอกใบ้ให้เหยี่ยวมารวานรยักษ์ร่อนลงพื้น เพราะเขารู้สึกว่าอยู่บนฟ้าไม่ปลอดภัย ถ้าเหยี่ยวมารวานรยักษ์บินไม่ไหวแล้วดิ่งตกลงมาจะทำอย่างไร?
เหยี่ยวมารวานรยักษ์หยุดขยับปีแล้ว มันกางปีกร่อนและพุ่งไปที่พื้นในแนวเฉียง
วูบ! วูบ! วูบ!
อวี้หลัวช่าบินวนอยู่บนฟ้ารอบแล้วรอบเล่า แขนขาทั้งสี่ที่กางเสื้อผ้าเอียงตัวบินฉวัดเฉวียนอยู่กลางอากาศ บินวนรอบเหยี่ยวมารวานรยักษ์ เห็นได้ชัดว่าความเร็วนั้นเหนือกว่าเหยี่ยวมารวานรยักษ์ที่ร่างกายใหญ่เทอะทะ และปราดเปรียวกว่าเหยี่ยวมารวานรยักษ์เยอะด้วย
เหยี่ยวมารวานรยักษ์กางปีกประคองตัวเองอย่างลำบาก อวี้หลัวช่าที่อยู่บนฟ้าสง่างามเก๋ไก๋มาก ไม่ใช่แค่สามารถเอียงตัวบินวนได้ ทั้งยังพลิกตัวได้ด้วย ทำให้เหมียวอี้ยิ่งสงสัยว่าผู้หญิงคนนี้ยังควบคุมพลังอิทธิฤทธิ์ได้หรือเปล่า
อวี้หลัวช่าที่บินร่อนขึ้นร่อนลงได้แสดงความงามของรูปร่างผู้หญิงเต็มที่ เรือนร่างงามขาวหมดจดที่อรชรอ่อนช้อยจนทำให้เลือดลมสูบฉีดพลิกไปพลิกมาอยู่ภายใต้แสงอาทิตย์ ชายกระโปรงที่กางออกปลิวไสวอยู่กลางอากาศ ประกอบกับฉากหลังท้องฟ้าสีคราม เรียกได้ว่าสวยงดงามจนทำให้จิตใจผ่อนคลาย
ความงามที่พบเห็นได้ยากในโลกแบบนี้ เหมียวอี้กลับไม่มีกะจิตกะใจมาสัมผัส เขากำลังรีบใช้ความคิด ไตร่ตรองว่าควรจะรับมืออย่างไร ต่อให้นอนฝันก็นึกไม่ถึงว่าจะเกิดสถานการณ์อย่างนี้ขึ้น เขาถึงขั้นมองเสื้อผ้าบนร่างกายตัวเองหลายครั้ง คิดว่าควรจะถอดเสื้อผ้าแล้วบินเลียนแบบอวี้หลัวช่าหรือไม่ แต่เขาไม่เคยใช้วิธีการนี้มาก่อนเลย จึงไม่มีความมั่นใจเลยสักนิด
ในที่สุดเขาก็ตัดสินใจแล้ว ว่าถ้ารอดชีวิตไปจนถึงตอนที่สามารถใช้พลังอิทธิฤทธิ์ได้ จะต้องทดลองบินเหมือนอวี้หลัวช่าแน่นอน จะดูว่าตัวเองจะเล่นอย่างนี้ได้หรือไม่
วูบ! วูบ! วูบ!
อวี้หลัวช่ายังคงบินร่อนอยู่บนฟ้ารอบแล้วรอบเล่า บางครั้งก็ลอดผ่านด้านล่างของเหยี่ยวมารวานรยักษ์ไปอย่างรวดเร็ว บางครั้งก็แฉลบผ่านด้านบนเหยี่ยวมารวานรยักษ์ไป ทำเอาเหมียวอี้ต้องคอยระวังตัวอย่างสูง กังวลว่าผู้หญิงคนนี้จะฉวยโอกาสลงมือหรือเปล่า
สรุปก็คืออวี้หลัวช่าเอาแต่จ้องเหมียวอี้ไม่ละสายตา บินวนอยู่ข้างๆ อย่างนั้น
ดวงตาทั้งคู่ของเหยี่ยวมารวานรยักษ์เหมือนง่วงมาก เดี๋ยวหลับตาเดี๋ยวลืมตา บางครั้งปีกที่กางออกก็มีเค้าลางว่าจะตกลง
เหมียวอี้รู้ว่ามันทนต่อไปไม่ไหวแล้ว จ้องพื้นดินที่กำลังจะพุ่งลงไป มันกำลังร่อนพุ่งไปที่พื้นดินจริงๆ
ชั่วพริบตาที่กำลังจะกระแทกพื้น เหมียวอี้พลันโบกกระบี่ตบหัวเหยี่ยวมารวานรยักษ์ พร้อมตะโกนอย่างเกรี้ยวกราด “ตื่น!”
ชั่วขณะนั้นเหยี่ยวมารวานรยักษ์ตื่นนิดหน่อย มันเงยหน้าและดึงร่างตัวเองขึ้นมาเล็กน้อย
แต่สายไปเสียแล้ว ยังตกกระแทกที่ป่าผืนเล็กเขียวชอุ่มแห่งหนึ่งอยู่ดี เพียงแต่ชั่วขณะที่มันดึงตัวขึ้นมายามตกกระแทก อย่างน้อยก็ลดแรงกระแทกให้เบาลงได้ในระดับหนึ่ง
ตอนที่ตกกระแทกในป่าผืนเล็ก สองมือของเหมียวอี้ปล่อยจากคอเหยี่ยวมารวานรยักษ์แล้ว เขาพลิกตัวกลิ้งไปข้างหลัง สองเท้ารีบเหยียบหนึ่งที กระโดดออกมาแล้ว หลีกเลี่ยงไม่ให้ชนกระแทกหน้าไปพร้อมเหยี่ยวมารวานรยักษ์
โครม!
ป่าไม้ล้มไปแถบหนึ่ง ถูกร่างมหึมาของเหยี่ยวมารวานรยักษ์ชนล้มตลอดทาง
ถึงแม้เหมียวอี้จะเด้งออกมาด้านข้างแล้ว แต่ก็ยังถูกแรงเฉื่อยจากการชนของเหยี่ยวมารทำให้ร่างกระเด็นไปที่ป่าในแนวเฉียง ศีรษะกระแทกกับต้นไม้ต้นหนึ่งแล้วจริงๆ ภายใต้สถานการณ์เร่งด่วน เขารีบโบกกระบี่ฟัน กระบี่วิเศษผลึกแดงคมมาก แม้จะขาดพลังอิทธิฤทธิ์คอยเสริมอานุภาพ แต่ก็ยังคมจนตัดต้นไม้ขาดได้ภายในครั้งเดียว
เดิมทีเหมียวอี้คิดว่าไม่มีปัญหา แต่พอลงมือแล้วถึงรู้สึกได้ ว่าเมื่อขาดพลังอิทธิฤทธิ์คอยเสริมอานุภาพ การตอบสนองของตัวเองก็เร็วไม่เท่าเมื่อก่อนแล้ว ตอนออกแรงฟันกระบี่วิเศษผลึกแดง เขารู้สึกว่ามันหนักกว่าเมื่อก่อนหลายเท่า ความปราดเปรียวในการเรียกใช้ก็เทียบกับเมื่อก่อนไม่ได้เช่นกัน
ความตั้งใจเดิมของเขาก็คือ ตัวเองฟันกระบี่ทีเดียวแล้วลำต้นขาด พอลำต้นล้มลง ตัวเองก็หลบไม่ให้ถูกชน ทว่าหลังจากโบกกระบี่ฟันหนึ่งครั้ง เขาถึงรู้ว่าช้าเกินไป แม้ลำต้นจะถูกฟันขาดแล้ว ทว่ายังไม่ทันรอให้มันล้มลงมา ร่างกายก็ยังเข้าไปกระแทกเหมือนเดิม
ชั่วขณะนั้นเขาถูกชนจนสับสนวุ่นวาย คนล้มลงพื้นพร้อมลำต้น ตกกระแทกบนพื้นแล้ว เขากลิ้งลงมาตามพื้นที่ลาด แล้วก็ชนกับต้นไม้ที่อยู่ใต้เนินก่อนจะหยุด ปากกระอักเลือดสดคำหนึ่ง ร่างกลิ้งไปนอนอยู่ตรงนั้นแล้วหอบหายใจแรง
นอกจากจะเจ็บแปลบแสบร้อนทรวงอกแล้ว ยังรู้สึกได้ถึงความเจ็บปวดของแขนขาทั้งสี่หลังจากกลิ้งลงจากเนินเขา เหมียวอี้ที่กำลังหอบหายใจอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา นานแล้วที่ไม่ได้สัมผัสความรู้สึกมนุษย์ธรรมดาแบบนี้
ผ่านไปไม่นาน ความรู้สึกเย็นสดชื่นที่ผ่อนคลายจนทำให้อยากครางก็ปลอบประโลมไปทั้งตัว เหมียวอี้หัวเราะอีกครั้ง รู้ว่าสมุนไพรเซียนซิงหัวแสดงบทบาทแล้ว สมุนไพรเซียนซิงหัวที่เขายัดใส่ปากล่วงหน้าแสดงสรรพคุณแล้ว เมื่อมีสิ่งนี้รับประกัน เขาก็รู้ว่าตราบใดที่ตัวเองไม่ขาดใจก็จะไม่ตาย
“เหอะๆ…” เสียงหัวเราะหยุดชะงัก เหมียวอี้มองผ่านรอยระหว่างกิ่งไม้แล้วเห็นเงาคนแฉลบลงต่ำเข้ามา อวี้หลัวช่านั่นเอง
เขาหันหน้า สายตามองตามทิศทางที่อวี้หลัวช่าแฉลบไป ผ่านไปครู่เดียว ตรงจุดที่ไม่ไกลก็มีเสียงต้นไม้โยกไหวดังมา เหมือนจะมีอะไรสักอย่างตกลงพื้นแล้ว
เหมียวอี้ขยับหัวคิ้ว ไม่ต้องบอกเลย นางตัวแสบที่จ้องตนมาตลอดบินลงมาที่นี่แล้ว
เหมียวอี้พลิกตัวลุกขึ้น ขยับแขนขาทั้งสี่ พบว่านอกจากเจ็บหน้าอกเพราะโดนกระแทก สภาพร่างกายโดนรวมก็ไม่ได้แย่ ไม่ได้สาหัสเหมือนที่จิตนาการไว้ ไม่ส่งผลกระทบต่อการเคลื่อนไหวของตัวเอง เพียงแต่กระบี่วิเศษหล่นหายไปไหนแล้วก็ไม่รู้
เขามองไปรอบๆ ครู่หนึ่ง เจอกระบี่วิเศษตกอยู่ตรงกลางเดินเขา จึงรีบวิ่งเข้าไปหา เขาต้องเอากระบี่วิเศษมาไว้ในมือให้ได้ เพราะมันคือที่พึ่งสุดท้ายในตอนนี้ เขาไม่สามารถนำของที่อยู่ในมิติเก็บสมบัติมาใช้ได้เลย
เขาเพิ่งจะเก็บกระบี่วิเศษไว้ในมือ ก็ได้ยินเสียงเหยียบกิ่งไม้ดังอยู่พักหนึ่ง พอหันกลับไปมอง ก็เห็นอวี้หลัวช่าวิ่งตะบึงเข้ามาแล้ว ขณะที่วิ่งก็ใส่เสื้อผ้าไปด้วย ทั้งสองเห็นกันและกันแล้ว
เหมียวอี้เลิกคิ้ว เห็นสภาพตอนผู้หญิงคนนี้วิ่ง ดูเหมือนไม่มีพลังอิทธิฤทธิ์คอยช่วย เขาหันตัวมาแล้วถือกระบี่ยืนรอตรงกลางเนินเขา
อวี้หลัวช่าวิ่งมาถึงใต้เนินเขาก็หยุดแล้ว นางจ้องหนิวโหย่วเต๋อที่อยู่บนเนิน พร้อมขบเขี้ยวเคี้ยวฟันเรียก “หนิวโหย่วเต๋อ!”
ปากก็เรียกอย่างเคียดแค้น แต่มือยังยังไม่หยุดเคลื่อนไหว กำลังดึงเศษผ้ามาห่อหุ้มร่างกาย เพียงแต่ก่อนหน้านี้นางเคยฉีกเสื้อผ้าบนตัว รอยโหว่ที่เคยฉีกออกเหมือนจะไม่ทางทำให้สมบูรณ์เหมือนเดิมได้ สุดท้ายนางจึงดึงผ้าคาดเอวมามัดเสื้อผ้าไว้บนร่างกายเสียเลย
บนตัวเหมียวอี้เต็มไปด้วยกิ่งไม้ใบหญ้า
บนตัวอวี้หลัวช่าก็ไม่ได้ดีไปกว่ากันสักเท่าไร มวยผมหลวมและมีใบไม้ติดกระจาย บนตัวก็มีพวกกิ่งไม้ต้นหญ้าเช่นกัน หนอนบุ้งที่ไต่บนหัวไหล่นางถูกปัดทิ้งไปแล้ว
มองไปมองมา เหมียวอี้ก็รู้สึกบันเทิงแล้ว เพราะเขาแน่ใจแล้ว ว่าผู้หญิงคนนี้ควบคุมพลังอิทธิฤทธิ์ไม่ได้ ไม่อย่างนั้นคงไม่กลายเป็นอย่างนี้หรอก
เหมียวอี้ปักกระบี่ในมือลงพื้น แล้วถามเหมือนสอดรู้สอดเห็นว่า “อวี้หลัวช่า ข้าแปลกใจมากเลย เจ้าไม่มีพลังอิทธิฤทธิ์คอยเสริมอานุภาพ ก่อนหน้านี้เจ้าบินอยู่บนฟ้าได้ยังไง?” ฉากที่อีกฝ่ายบินอยู่บนฟ้าทำให้เขาตะลึงค้างจริงๆ มารดาเจ้าเถอะ บินได้อย่างสง่างามเกินไปแล้ว ความงดงามอย่างนั้นสง่างามเปี่ยมพลังกว่าใช้พลังอิทธิฤทธิ์ทะยานฟ้าเสียอีก
อวี้หลัวช่าแค้นจนอยากจะถลกหนังเขาอยู่แล้ว จะมีอารมณ์มาคุยเรื่องไร้สาระแบบนี้ได้อย่างไร นางพุ่งร่างออกมา วิ่งไปหาเหมียวอี้บนเนินเขาด้วยความรวดเร็ว การเคลื่อนไหวกระฉับกระเฉงปราดเปรียวมาก
เหมียวอี้หัวเราะแห้ง หยิบกระบี่แล้ววิ่งหนีเลย วิ่งขึ้นเนินไปแล้ว
ทว่าการเคลื่อนไหวของอวี้หลัวช่าเหมือนจะปราดเปรียวกว่าหนึ่งระดับ นางเหยียบลำต้นเป็นระยะ ใช้มือดึงกิ่งไม้ ร่างกายพลิ้วไหว ไม่นานก็ไล่ตามเหมียวอี้ทันแล้ว แทบจะขึ้นเนินพร้อมกับเขาเลย
เหมียวอี้ที่หันกลับมามองค่อนข้างแปลกใจ พบว่าผู้หญิงคนนี้ว่องไวเหมือนลิงตัวเมีย ขนาดอยู่ในป่าตัวเองยังวิ่งไม่ทันนางเลย ที่สำคัญคือกระบี่วิเศษผลึกแดงบนตัวเขากลายเป็นตัวถ่วง มันค่อนข้างหนัก ส่งผลกระทบต่อความเร็วของเขาโดยตรง
เหมียวอี้ไม่หนีแล้ว สุดท้ายทั้งสองก็ยืนเผชิญหน้ากัน
อวี้หลัวช่าสีหน้าเย็นเยียบ ชี้เขาพร้อมตะคอก “บังอาจทำร้ายข้าเหรอ!”
เหมียวอี้หัวเราะแห้ง “ข้าทำร้ายเจ้าเสียที่ไหนล่ะ? เจ้าทำร้ายข้าชัดๆ เจ้าฆ่าสัตว์พาหนะของข้าแล้ว ทำร้ายข้าจนสภาพเป็นแบบนี้”
อวี้หลัวช่าตะคอก “ยังมาปลิ้นปล้อนอีก เจ้ารู้สถานการณ์ที่นี่ชัดเจนมาตั้งแต่แรก ถึงได้พกเหยี่ยวมารวานรยักษ์ติดตัวมาด้วยไง เห็นได้ชัดว่าเจ้าหลอกให้ข้ามาติดกับดัก”
เหมียวอี้พูดหยอกว่า “เปล่าเสียหน่อย ข้าบอกแล้วไงว่าจะมาสืบทางให้ก่อน มีอันตรายอะไรก็จะแบกรับไว้ก่อน ไม่ได้ให้เจ้าตามมานี่ เจ้าเป็นฝ่ายบุกเข้ามาเองนะ เป็นเจ้าต่างหากที่โลภ ทำไมกลับมาโทษข้าแล้วล่ะ?”
ถ้าเปลี่ยนเป็นยามปกติ เหมียวอี้ไม่กล้าพูดหยอกอีกฝ่ายแบบนี้เลย กังวลว่าอีกฝ่านจะบีบคอเขาตาย แต่ด้วยสถานการณ์ในตอนนี้ พอนึกว่ายอดฝีมือระดับสำแดงฤทธิ์ผู้น่าเกรงขามไม่มีทางทำอะไรได้ ถูกดึงระดับลงมาเท่ากับเขาแล้ว แค่คิดยังรู้สึกสะใจเลย
“อย่าพูดไร้สาระ จะออกไปจากที่นี่ยังไง? ขอแค่เจ้าบอกข้ามา ข้ารับรองว่าจะปล่อยวางเรื่องในอดีต” อวี้หลัวช่ากล่าวด้วยน้ำเสียงโมโห
เหมียวอี้เงยหน้าหัวเราะลั่น “อวี้หลัวช่า ข้าจะบอกความจริงเจ้าแล้วกัน ขอเพียงมาถึงที่นี่แล้ว ก็จะไม่มีทางออกไปอีก เจ้าเองก็สัมผัสได้แล้วเหมือนกัน ใช้พลังอิทธิฤทธิ์ไม่ได้แล้ว ยังจะไปได้ยังไง?”
“อย่ามาเล่นลูกไม้นี้ ต้องมีวิธีออกไปสิ ไม่อย่างนั้นเจ้าไม่บุกมาที่นี่หรอก” อวี้หลัวช่ากล่าว
………………