พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - บทที่ 1763 บุกป่าฝ่าดง
เหมียวอี้วิ่งตามไป สองมือควงกระบี่ฟัน โครม! ต้นไม้ต้นใหญ่อีกต้นล้มลง อวี้หลัวช่าพลิกตัวทะยานไปบนต้นไม้อีกต้นแล้ว
เป็นแบบนี้ซ้ำไปซ้ำมา เหมียวอี้ฟันต้นไม้ไปสิบกว่าต้นต่อเนื่องกันแต่ก็ยังแตะต้องอวี้หลัวช่าไม่ได้แม้แต่ปลายขน จนกระทั่งอวี้หลัวช่ากระโดดไปบนต้นไม้ใหญ่อีกต้นที่ต้องใช้คนห้าหกคนโอบถึงจะมิด เหมียวอี้ฟันหลายครั้งกว่าจะโค่นต้นไม้ล้มได้ กระบี่ที่จมลงในลำต้นแทบจะดึงไม่ออก ตอนนี้เขาดึงได้หยุดมือแล้ว
เขาหอบหายไปพลางเงยหน้ามองอวี้หลัวช่าที่ยืนอยู่บนกิ่งไม้ แล้วตะโกนถามเสียงดัง “นี่เจ้าเป็นแม่ลิงเหรอ?”
อวี้หลัวช่าก้มมองลงมาจากที่สูง “เจ้าเคยเห็นแม่ลิงที่สวยขนาดนี้หรือเปล่าล่ะ?”
เหมียวอี้พ่นเสียงทางจมูก “กระโดดไปกระโดดมาเดี๋ยวเจ้าก็เหนื่อยตาย”
“ฟันต่อไปเถอะ ถ้าเก่งนักก็ฟันให้หมดป่า คอยดูซิว่าเจ้าจะเหนื่อยตายหรือเปล่า” อวี้หลัวช่ากล่าว
เหมียวอี้คิดจะฟันให้หมดป่าจริงๆ แต่พอเห็นนางกระโดดแบบนั้น เขาก็มองไปรอบๆ อย่างจนปัญญา มีต้นไม้ส่วนใหญ่ที่แข็งแรงทนทาน บางต้นฟันเป็นร้อยครั้งก็อาจจะไม่ล้มก็ได้ ถ้าออกแรงฟันต่อไปก็อาจจะเหนื่อยตายจริงๆ
เขาสามารถปีนขึ้นไปได้ แต่ก็ต้องยอมรับว่าตอนอยู่บนต้นไม้ตัวเองอาจไม่ปราดเปรียวเท่านาง เวลานางตัวแสบนี่จะปราดเปรียวขึ้นมาก็ราวกับคนไม่มีกระดูก ตอนนี้เขาเพิ่งค้นพบว่าระบำมารสวรรค์ที่อวิ๋นจือฝึกกับระบำมารสวรรค์ที่นางตัวแสบนี่ฝึกต่างกันไม่ใช่น้อยๆ ถ้าตัวเองปีนขึ้นไปก็อาจจะตามแม่ลิงตัวนี้ไม่ทันก็ได้
“อวี้หลัวช่า เจ้าไม่เห็นเหรอว่าบนต้นไม้มีหนอนบุ้งเยอะขนาดไหน?” เหมียวอี้พลันตะโกนถาม
อวี้หลัวช่ามองไปรอบๆ ด้วยความระแวดระวังทันที พอแสดงนิสัยธรรมชาติของผู้หญิงออกมาแล้ว ถึงได้รู้ว่าโดนอุบายตื้นๆ ของอีกฝ่ายขู่ให้ตกใจ นางมองลงใต้ต้นไม้พลางกัดฟันกรอด ผลก็คือพบว่าเหมียวอี้ถือกระบี่เดินออกไปแล้ว
นางกระโดดจากต้นไม้ต้นหนึ่งไปบนต้นไม้อีกต้นหนึ่งทันที ไล่ตามไปตลอดทาง
เหมียวอี้หันกลับมามองเป็นระยะ เขาไม่ได้สนใจ เดินไปยังจุดที่ตัวเองตกลงมาก่อนหน้านี้ จุดหมายปลายทางหาได้ไม่ยาก เป็นจุดที่มีต้นไม้ล้มเป็นวงกว้าง
พอเจอเหยี่ยวมารวานรยักษ์ที่ตกกระแทกอยู่บนพื้น ก็พบว่าหัวของมันจมอยู่ในดิน เขาเดินวนพลางเอามือคลำหลายรอบ พบว่ามันตายสนิทแล้ว ไม่มีโอกาสช่วยชีวิตกลับมาได้อีกแล้ว
เขาเงยหน้ามองอวี้หลัวช่าที่นั่งอยู่บนต้นไม้ รู้สึกแค้นจนกัดฟันกรอด เขานำเหยี่ยวมารวานรยักษ์ตัวนี้มาก็เพราะรู้ถึงสถานการณ์ของดาวเคราะห์ดวงนี้ เตรียมจะนำมาเป็นสัตว์พาหนะ ไม่น่าเชื่อว่าจะตายด้วยน้ำมืออวี้หลัวช่าอย่างนี้ ตอนนี้ตัวเองไม่มีพลังอิทธิฤทธิ์ไว้พึ่งพาแล้ว ถ้าคิดจะอาศัยพลังเท้าตัวเองเดินตามหา ก็ยังไม่รู้เลยว่าต้องใช้เวลานานแค่ไหน คนอยู่บนพื้นดินมีขีดจำกัดด้านสายตา แบบนี้ก็ยุ่งยากแล้ว
เดิมทีเขาสามารถนำสัตว์พาหนะที่บินได้มาได้หลายตัว แต่ก็กลัวอวี้หลัวช่าจะสงสัยถึงไม่พกมาด้วย ตั๊กแตนหยินหยางก็ไม่ได้เอามาเช่นกัน
สรุปก็คือครั้งนี้โดนอวี้หลัวช่าทำร้ายเสียยับเยิน โชคดีที่เขาเตรียมตัวไว้ล้ำหน้ากว่าอีกฝ่าย เตรียมตัวป้องกันไว้ล่วงหน้าหลายปีแล้ว
ตอนนี้คิดมากไปก็ไม่มีประโยชน์ เหมียวอี้จ้องศพของเหยี่ยวมารวานรยักษ์เงียบๆ พักหนึ่ง สุดท้ายก็ถอนหายใจเบาๆ ถือกระบี่ฟันขาเหยี่ยวมารวานรยักษ์จนเกิดแผลรอยหนึ่ง อวี้หลัวช่าที่นั่งอยู่บนต้นไม้แปลกใจว่าเจ้าหมอนี่คิดจะทำอะไร จนกระทั่งเห็นเหมียวอี้ใช้กระบี่กรีดเนื้อชิ้นหนึ่งตรงเอวถึงได้เข้าใจ ที่แท้ก็กำลังตุนอาหารนี่เอง เพราะตอนนี้ไม่มีพลังอิทธิฤทธิ์คอยดูดพลังงานจากฟ้าดินแล้ว ถ้าไม่เติมพลังให้กายเนื้อก็จะอดทนอยู่ได้ไม่นาน
จากนั้นก็ตัดเนื้ออีกหลายชิ้นยัดเข้าปากและเคี้ยวกลืนลงท้อง ไม่ว่าจะดิบหรือไม่ ไม่ว่าจะรสชาติย่แค่ไหน แต่เติมท้องให้อิ่มก่อนแล้วค่อยว่ากัน
พอกินแก้ขัดเหมือนคนยุคดึกดำบรรพ์เสร็จแล้ว เหมียวอี้มองไปรอบๆ แล้วเดินไปทางงยอดเขาลูกหนึ่งที่อยู่ไม่ไกล
รอจนกระทั่งเหมียวอี้เดินออกไปไกลหน่อย อวี้หลัวช่าก็รีบลงมาจากต้นไม้ เดินไปข้างศพเหยี่ยวมารวานรยักษ์ แล้วเริ่มพยามใช้มือฉีกเหมียวอี้ตรงจุดที่เคยตัดเนื้อไว้ นางคิดจะตุนอาหารให้ตัวเองเหมือนกัน ผลปรากฏว่าเนื้อเหยี่ยวมารวานรยักษ์ไม่ได้เหนียวธรรมดา ทั้งยังลื่นเป็นมันด้วย ฉีกไม่ออกเลย สุดท้ายก็ปีนขึ้นไปใช้ฟันกัดเสียเลย
เหมียวอี้ที่คอยระวังตัวอยู่เป็นระยะย่อมเห็นฉากนี้แล้ว เขาหลุดขำอย่างอดไม่ได้ สามารถทำให้พุทธะหน้าหยกผู้สง่าน่าเกรงขามกลายเป็นอย่างนี้ได้ ก็นับว่าตัวเองไม่ขาดทุนแล้ว
อยากจะตุนอาหารเหรอ? เหมียวอี้ทำสายตาลอกแล่ก ในใจเกิดความคิดชั่วร้าย จู่ๆ ก็ตะโกนเสียงดังว่า “อวี้หลัวช่า เจ้าค่อยๆ กินไปเถอะ ข้านำไปก่อนแล้วนะ” พูดจบก็วิ่งเข้าไปในป่า
อวี้หลัวช่าที่ยังกัดเนื้อไม่ออกแม้แต่คำเดียวเงยหน้ามอง นางทิ้งอาหารทันที ยังกินเนื้อไม่ได้สักคำ รีบตามออกไป
ไม่ไล่ตามไม่ได้หรอก ตอนนี้ไม่มีพลังอิทธิฤทธิ์แล้ว ถ้าปล่อยให้เหมียวอี้หนีไปจนหาไม่พบ แล้วนางจะออกจากที่นี่ได้อย่างไรล่ะ จะให้แก่ตายอยู่ที่นี่จริงๆ ไม่ได้ จะต้องจับตาดูเจ้าหนุ่มนั่นไว้ นางไม่เชื่อว่าเหมียวอี้จะมมีหนทางออกจากที่นี่ ตราบใดที่จับตาดูเอาไว้ นางก็จะรู้แล้วว่าเหมียวอี้จะใช้วิธีการไหนหนีออกไป แบบนั้นนางถึงจะมีหนทางออกไป
เหมียวอี้พกกระบี่หนักบนตัว ทั้งยังมีเนื้อชิ้นใหญ่ห้อยพะรุงพะรัง เดิมทีก็ไม่ปราดเปรียวเท่าอวี้หลัวช่าอยู่แล้ว ไม่นานนางก็ไล่ตามทัน
เหมียวอี้หันกลับมามองแวบเดียว เห็นอวี้หลัวช่าที่ไม่ได้กินเนื้อสักคำ แต่กลับหน้าเปื้อนเลือดแดงจนเสียภาพพจน์หมดแล้ว เหมียวอี้ก็หัวเราะจนเจ็บท้อง
อวี้หลัวช่าเองก็ไม่เปลืองแรงกับการขึ้นต้นไม้อีก เพียงตามเหมียวอี้อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล ไม่ว่าเหมียวอี้จะไปไหน นางก็จะตามไปที่นั่น
ตอนนี้นางไม่มีท่าทีว่าจะลงมือกับเหมียวอี้ ก่อนหน้านี้ลงมือกับเขาก็เพราะคิดว่าฝีมือตัวเองไม่เลวและสามารถควบคุมเขาได้ แต่หลังจากประมือกันถึงได้พบว่าอีกฝ่ายเหมือนจะห้าวหาญกว่าตอนมีพลังอิทธิฤทธิ์เสียอีก ต่อให้ทั้งสองคนต่างก็ไม่ใช้อาวุธ แต่เวลาต่อสู้กันขึ้นมา นางก็อาจจะไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเหมียวอี้ก็ได้ มิหนำซ้ำเหมียวอี้ยังมีกระบี่วิเศษช่วยเสริมอีก
สุดท้ายเหมียวอี้ก็ปีนขึ้นไปบนยอดเขาเป้าหมาย เขาทอดสายตามองไปโดยรอบ หันกลับมามองจุดที่เหยี่ยวมารวานรยักษ์ตก จากนั้นมองดวงอาทิตย์บนฟ้าอีกครั้ง นึกเชื่อมโยงกับสภาพพื้นที่ที่ตัวเองเห็นตอนอยู่บนท้องฟ้า แล้วนึกย้อนตำแหน่งของสถานที่ผนึกที่อยู่ในความทรงจำรอบหนึ่ง ไม่นานก็ได้ตำแหน่งคร่าวๆ แล้ว
สายตาเขามองไปยังทิศทางที่ตัดสินได้คร่าวๆ ใช้ระยะทางไม่ไกลมากก็สามารถเดินออกจากป่าผืนนี้ได้แล้ว นอกป่าเหมือนจะมีทุ่งหญ้าแห่งหนึ่งด้วย
หลังจากยืนยันยอดเขาอีกไม่กี่แห่ง ในหัวก็กำหนดตำแหน่งได้แล้ว เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้หลงทางในป่า เขาทอดสายมองไปยังตำแหน่งที่สะดุดตาตรงปลายสุดของทุ่งหญ้าอีก เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ตัวเองเดินเบี่ยงออกจากเส้นทาง เขาถึงได้ลงจากยอดเขาแล้วเดินไปข้างหน้าต่อ
อวี้หลัวช่าก็ตามติดไม่ห่างเลยจริงๆ ตามต่อไปในระยะที่ไม่ใกล้ไม่ไกล ตรงหน้ามีเหมียวอี้โบกกระบี่เบิกทาง นางที่ตามหลังไปก็สบายขึ้นไม่น้อย
มีน้ำตกและน้ำพุ เหมียวอี้เด็ดใบไม้ใบใหญ่ห่อเป็นชามเพื่อตักน้ำดื่มดับกระหาย อวี้หลัวช่าที่ตามหลังมาก็เลียนแบบเขาบ้าง
เมื่อเจอผลไม้ป่าที่ไม่รู้จักชื่อม เห็นว่าสัตว์เล็กกินได้ อวี้หลัวช่าก็ปีนขึ้นไปเด็ดแล้วห่อไว้ในกระโปรงทันที เดินไปด้วยกินไปด้วย เหมียวอี้ที่หันกลับมามองเป็นครั้งคราวรู้สึกขำ พบว่าผู้หญิงคนนี้ฉลาดจริงๆ ด้วย นึกถึงภาพที่นางถอดเสื้อผ้าบินอยู่บนฟ้า แล้วก็ภาพที่กระโดดขึ้นต้นไม้อีก เขาอดไม่ได้ที่จะยิ้มเจื่อน ต้องยอมรับว่าผู้หญิงคนนี้มีความสามารถในการปรับตัวไม่ธรรมดา ไม่แปลกใจที่ไต่เต้าขึ้นตำแหน่งพุทธะหน้าหยกได้
ระหว่างทางบางครั้งก็จะเจอสัตว์ป่าดุร้าย อวี้หลัวช่าหนีขึ้นไปหลบบนต้นไม้ทันที รอจนเหมียวอี้โบกกระบี่ฆ่าทิ้งแล้วถึงได้ลงมา
เดินเท้าได้เกือบสองชั่วยามเต็มๆ ทั้งสองถึงได้เดินตามกันขึ้นไปบนป่าภูเขา ข้างหน้าเป็นทุ่งหญ้ากว้างโล่งแห่งหนึ่ง มีเพียงจุดไกลๆ ที่สามารถมองเห็นยอดเขาได้รางๆ
เหมียวอี้หันกลับมามอง เห็นว่าในที่สุดอวี้หลัวช่าก็ไม่มีป่าให้หลบแล้ว มุมปากเขาก็ยิ้มเจ้าเล่ห์ แล้วเดินไปข้างหน้าต่อ
จู่ๆ บนทุ่งหน้าก็มีเสียงวิ่งตะบึง ทั้งสองพากันหยุด เห็นเพียงอาชามังกรฝูงหนึ่งวิ่งตะบึงอย่างอิสระอยู่ไม่ไกล
ที่นี่มีอาชามังกรด้วยเหรอ? เหมียวอี้ดีใจทันที ราวกับได้เห็นพลังเท้า แต่จากนั้นก็ยิ้มเจื่อนอีก เพราะตัวเองไม่สามารถควบคุมพลังอิทธิฤทธิ์ได้ ถ้าอยากจะสยบอาชามังกรก็เป็นการรนหาที่ตายจริงๆ ถ้ามีพลังอิทธิฤทธิ์มาสยบอาชามังกร ก็แสดงว่าไม่จำเป็นต้องไปควบคุมอาชามังกรแล้ว เพราะตัวเองสามารถเหาะได้
ตอนนี้เขาเริ่มคิดถึงเฮยทั่นแล้ว ถ้ามีเจ้าอ้วนมาเป็นพลังเท้าก็จะสบายขึ้นแน่นอน ไม่รู้เหมือนกันว่าเฮยทั่นที่อยู่แดนมรณะดึกดำบรรพ์จะเป็นอย่างไรบ้าง
ชายหญิงคู่นี้มองอาชามังกรตาเป็นมันอยู่ไกลๆ แค่มองเฉยๆ ก็พอ อย่างอื่นไม่ต้องไปคิดถึงแล้ว ทั้งสองเดินทางไปข้างหน้าต่อ
จนกระทั่งสีของท้องฟ้าเปลี่ยนเป็นใกล้ค่ำ จู่ๆ เหมียวอี้ก็ไม่เดินต่อแล้ว อวี้หลัวช่าก็หยุดแล้วเช่นกัน เพียงแต่อวี้หลัวช่าเบิกตากว้างขึ้นหลายส่วน หันเลี้ยวแล้ววิ่งหนีทันที
“คอยดูซิว่าตอนนี้เจ้าจะหนีไปไหนได้อีก!” จู่ๆ เหมียวอี้ก็หันตัวมา หัวเราะเสียงแปลกๆ แล้วถือกระบี่ไล่ตามอย่างบ้าคลั่ง
ทั้งสองวิ่งไล่กันบนทุ่งหญ้าที่สูงต่ำไม่เสมอกัน
ไล่ตามกันนานมาก ท้องฟ้าใกล้จะเป็นสีดำแล้ว เหมียวอี้ก็ยังไล่ตามอวี้หลัวช่าไม่ทัน ผู้หญิงคนนี้ร่างกายปราดเปรียวมากทีเดียว วิ่งได้เร็วกว่าเขาเสียอีก ไม่ใช่แค่ตามไม่ทัน ระยะห่างระหว่างทั้งสองทิ้งห่างกันเรื่อยๆ ด้วย
สุดท้ายเหมียวอี้กักกระบี่ยาวลงพื้นพลางหอบหายใจ เขาไม่ไล่ตามแล้ว ทางอวี้หลัวช่าก็เหมือนจะเหนื่อยแล้วเช่นกัน ไม่หนีแล้ว
“มารดาเจ้าเถอะ นับว่าเจ้าโหด!” เหมียวอี้ที่ค่อยยังชั่วแล้วโบกกระบี่ชี้อวี้หลัวช่าพร้อมตะโกนด่า จากนั้นเล็งทิศทางแล้วไปข้างหน้าต่อ
ระหว่างทางเจอลำธารสายหนึ่ง เหมียวอี้ก็นั่งยองๆ ใช้สองมือวักดื่ม จากนั้นยืนขึ้นแล้วก็เดินไปข้างหน้าต่อ อวี้หลัวช่าที่ตามมาข้างหลังทำตามอีกครั้ง
เหมียวอี้เดินไปข้างหน้าได้ไม่ไกล บังเอิญเจอโครงกระดูกของสัตว์อะไรสักอย่างที่ไม่รู้จัก พอเดินกลับไปแล้วก็ถอยกลับมาอีก แล้วหยิบกระดูกต้นขาขึ้นมา ใช้กระบี่วิเศษเจาะให้เป็นรูหนึ่งรู แล้วเริ่มเดินกลับมาข้างหลัง
อวี้หลัวช่าไม่รู้ว่าเขากำลังจะทำอะไร จึงหลบไปด้านข้างเล็กน้อยเพื่อรักษาระยะห่างที่ปลอดภัย
เหมียวอี้กลับมาที่ลำธารอีกครั้ง แช่กระดูกต้นขาลงในน้ำ ตรงรูที่เจาะไว้มีฟองอากาศลอยออกมา หลังจากใส่น้ำไว้ครึ่งหนึ่งแล้ว ก็ออกแรงเขย่าให้มันพุ่งขึ้นมา แล้วเทน้ำสกปรกข้างในรดต้นหญ้า เขาทำซ้ำอย่างนี้หลายครั้ง จนกระทั่งน้ำที่เทออกมาเปลี่ยนเป็นสีใส เขาถึงได้กรอกน้ำจนเต็มอีกครั้งแล้วขยุ้มกองหญ้ามาอุดไว้ จากนั้นถอดผ้าคาดเอวมัดกระดูกต้นขาที่เติมน้ำจนเต็มคาดไว้ข้างหลัง เสร็จแล้วเดินทางไปข้างหน้าต่อ
อวี้หลัวช่าเข้าใจเจตนาของเขาแล้ว แต่นางก็ได้แค่มองตาปริบๆ เพราะในมือตัวเองไม่มีอุปกรณ์นี้
ฟ้ามืดแล้ว เห็นดาวแล้ว ทั้งสองยังคงเดินตามกันไปบนทุ่งหญ้า
จนกระทั่งเดินมาถึงภูเขาใหญ่จุดหมายที่กำหนดไว้ เหมียวอี้ที่เดินขึ้นมาถึงกลางไหล่เขาถึงได้หยุด ฟ้ามืดแล้วมองเห็นไม่ชัด เมื่อไม่แน่ใจเป้าหมายถัดไปก็ไม่สะดวกจะเดินต่อ ไม่อย่างนั้นอาจจะเดินออกนอกเส้นทางได้
เมื่อหาสถานที่หลบลมเจอแล้ว เขาก็ตัดกิ่งไม้แห้งมานิดหน่อย แล้วเจาะไม้จุดไฟ สุมไฟกองหนึ่งขึ้นมา เขานั่งอยู่ข้างกองไฟ หลังจากน้ำเนื้อที่พกมาด้วยย่างจนสุกแล้ว ก็หั่นเป็นชิ้นกินเติมลงกระเพาะ ส่วนที่เหลือก็วางตากไว้ข้างกองไฟ ยังไม่รู้ว่าต้องเดินทางอีกนานแค่ไหน ต้องเตรียมตัวไว้ล่วงหน้าสักหน่อย
อวี้หลัวช่าก็ก่อกองไฟเช่นกัน นั่งข้างกองไฟและจ้องเหมียวอี้ที่อยู่ทางนี้ นางกำลังดมกลิ่นเนื้อ ขณะมองเหมียวอี้กินเนื้ออยู่ตรงนั้น นางก็แอบกลืนน้ำลายเบาๆ แล้วหยิบผลไม้ในกระโปรงออกมากัดกิน
เหมียวอี้ที่กินอิ่มแล้วถอนกระบอกกระดูกข้างหลังออกมาดื่มน้ำไม่กี่อึก ถึงแม้น้ำที่แช่อยู่ข้างในจะเปลี่ยนรสชาติจนไม่ค่อยดีเท่าไร แต่เขาก็ยังหัวเราะใส่อวี้หลัวช่าอย่างยั่วยุอารมณ์
………………