พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - บทที่ 1766 ศีลแปดตกเบ็ด
ไม่แปลกใจที่ตามติดพัวพันไม่เลิก ที่แท้ก็ไม่เคยยอมแพ้เรื่องสมบัติลับเลย นางไม่เชื่อเลยว่าที่นี่คือสถานที่ผนึกพระปีศาจหนานโป!
เหมียวอี้พึมพำในใจ เรียกได้ว่าทั้งโมโหทั้งอยากขำ ก่อนจะมาดาวเคราะห์ดวงนี้ ผู้หญิงคนนี้ถึงขั้นสงสัยว่าที่นี่คือสถานที่ผนึกพระปีศาจหนานโป ตัวเองยังต้องตั้งใจอธิบายให้ฟังอีก พอตอนนี้จะมาบอกว่าที่นี่คือสถานที่ผนึกพระปีศาจหนานโป ผู้หญิงคนนี้กลับไม่เชื่อแล้ว นี่เรียกว่าเป็นบ้าอะไรกัน
ชั่วพริบตานั้น เหมียวอี้เลิกคิ้วเล็กน้อย เขาแทบจะแน่ใจได้ ว่าถ้ายืนยันสถานที่ซ่อนสมบัติลับเมื่อไร เกรงว่าผู้หญิงคนนี้จะต้องประสาทเสียแย่งชิงสุดชีวิต
แต่จะว่าไปแล้ว ถ้าพบว่าที่นี่คือสถานที่ผนึกพระปีศาจหนานโปจริงๆ ก็ไม่รู้ว่าผู้หญิงคนนี้จะรู้สึกอย่างไร คาดว่าคงไม่มีความคิดจะสู้ตายกับตนแล้วล่ะ แต่จะคิดหาทางขอร้องให้ตนพานางออกไปจากที่นี่แทน
เมื่อเห็นทิศทางของหุบผาชันที่นางชี้ไป เหมียวอี้ก็เก็บความรู้สึกขำขันเอาไว้ ในใจแอบรู้สึกทอดถอนใจ ในที่สุดก็มาถึงแล้ว ไม่รู้เหมือนกันว่าศีลแปดยังอยู่หรือเปล่า จะสบายดีหรือไม่ ถ้าเกิดเหตุไม่คาดคิดอะไรขึ้นมาจริงๆ เขาก็จะไม่มีหน้าไปเจอกับวิญญาณบนสรวงสวรรค์ของพ่อแม่ศีลแปดแล้ว ยามเขาตกอยู่ในสถานการณ์ลำบาก สองสามีภรรยาที่ทำดีกับเขามีลูกชายอยู่เพียงคนเดียว! สายเลือดคนสุดท้ายของสามีภรรยาคู่นั้น ไม่ว่าจะอย่างไรเขาก็ต้องพยายามปกป้องให้ถึงที่สุด!
เขาไม่บอกอวิ๋นจือชิวล่วงหน้าว่าจะมาที่นี่ เป็นเพราะรู้ว่าอวิ๋นจือชิวจะต้องห้ามแน่นอน แต่เขาจะต้องมาให้ได้
ถ้าพยายามสุดความสามารถแล้วทำไม่สำเร็จ นั่นก็อีกเรื่องหนึ่ง แต่ถ้าไม่แม้แต่จะลองพยายาม แล้วเกิดเหตุไม่ดีกับศีลแปดขึ้นมา เขาก็จะไม่มีทางให้อภัยตัวเองไปทั้งชีวิต
เขาเองก็เข้าใจเช่นกัน ว่าการที่ตัวเองมาเสี่ยงอันตรายอย่างนี้ถือว่าไม่รับผิดชอบต่ออวิ๋นจือชิว ถ้าตัวเองเป็นอะไรไป แล้วจะให้อวิ๋นจือชิวทำอย่างไรต่อไปล่ะ? ถ้าต้องเลือกระหว่างอย่างคนนี้ เขาทำได้เพียงเลือกปฏิบัติอย่างอยุติธรรมต่ออวิ๋นจือชิว สามีภรรยาเป็นหนึ่งเดียวกัน เขาหวังว่าอวิ๋นจือชิวจะเข้าใจเขา
ผ่านความยากลำบากมาเต็มที่กว่าจะมาถึงที่นี่ได้ เขาหวังว่าศีลแปดจะยังสบายดี ถ้าศีลแปดยังมีชีวิตอยู่ ก็จะเป็นประโยชน์สำหรับเขาเช่นกัน สองพี่น้องร่วมมือกันกำจัดอวี้หลัวช่าก็มีโอกาสสำเร็จสูงกว่า สรุปก็คือถ้าปล่อยอวี้หลัวช่าเอาไว้ ก็จะเป็นภัยพิบัติแอบแฝงที่ใหญ่มาก จะให้อวี้หลัวช่ามีชีวิตอยู่ไม่ได้เด็ดขาด
“ในเมื่อเจ้าคิดว่าเป็นจุดซ่อนสมบัติ งั้นเจ้าก็ไปสิ” เหมียวอี้กล่าวอย่างสบายๆ แล้วนั่งยองๆ ริมทะเลสาบ ใช้มือวักน้ำใสขึ้นมาล้างหน้า ต้องล้างหน้าให้สะอาดสักหน่อย น้องชายจะได้จำได้สะดวก
พอเขาพูดอย่างนี้แล้ว อวี้หลัวช่ากลับกลายเป็นลังเลตัดสินใจไม่ได้ ทั้งสองมาด้วยกันตลอดทาง ต่างคนต่างวางกับดักต่อกันให้ถึงตาย ใช้วิธีการชั่วร้ายต่างๆ มาหมดแล้ว ไม่ว่าจะเป็นคำพูดไหนของเหมียวอี้นางก็ล้วนเคลือบแคลงเสมอ คงไม่ขุดหลุมพรางให้นางกระโดดลงไปหรอกใช่มั้ย? หรือว่ากำลังพูดตรงข้ามกับความจริงล่ะ?
ตัดสินจริงเท็จยากจริงๆ สุดท้ายอวี้หลัวช่าก็ยังไม่ทำอะไรบุ่มบ่าม นางรออยู่ข้างๆ
ส่องน้ำทะเลสาบเป็นกระจก ใช้กระบี่โกนหนวดบนใบหน้าจนสะอาดเกลี้ยงเกลา หลังจากอาบน้ำเรียบร้อยแล้ว เหมียวอี้ก็ดึงกระบี่ข้างกายมาไว้ในมือ แล้วเดินอ้อมริมทะเลสาบไปทางหุบผาชัน หุบผาชันที่เป็นสถานที่ผนึกน่าอยู่ทางทิศตรงกันข้ามกับทะเลสาบแห่งนี้
ใช้เวลาเดินไปเกือบสองชั่วยาม ทั้งสองถึงได้เดินมาถึงฝั่งตรงข้ามของทะเลสาบ
ขณะกำลังจะไปทางหุบผาชัน จู่ๆ อวี้หลัวช่าก็ร้องอุทานตกใจ
เหมียวอี้หันกลับมามอง แล้วถามอย่างระวังตัว “นางตัวแสบ คิดจะเล่นลูกไม้อะไรอีกล่ะ?”
อวี้หลัวช่าเคยชินแล้วที่ถูกเขาเรียกด้วยถ้อยคำต่ำทรามต่างๆ นานา จึงไม่ได้แยแสเลย นางชี้ไปที่ริมทะเลสาบ “เจ้าดูสิ หรือว่าที่นี่มีคน?”
เหมียวอี้มองตามที่นางบอก เห็นรางๆ ว่าข้างหน้ามีศาลาริมน้ำหลังหนึ่ง ดูจากเค้าโครงแล้วเห็นได้ชัดเจนว่าไม่ใช่สิ่งที่ธรรมชาติสร้างขึ้น เหมือนเป็นสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้น
ทั้งสองสบตากันแวบหนึ่ง ต่างก็ทำสีหน้าระแวงสงสัย แล้วทั้งสองก็รีบเดินไปทางนั้น
หลังจากเดินเข้าไปใกล้จนเห็นชัดเจน ก็พบว่าไม่ได้เข้าใจผิด เป็นศาลาหลังหนึ่งจริงๆ แต่ไม่ใช่ศาลาที่ได้มาตรฐานอะไร เป็นศาลาไม้เรียบง่ายที่ใช้หญ้าปูเป็นหลังคา เป็นศาลาที่มนุษย์สร้างขึ้นจริงๆ
“ในศาลามีคน” อวี้หลัวช่ากล่าวเสียงต่ำ ขณะเดียวกันก็สังเกตปฏิกิริยาของเหมียวอี้ สงสัยว่าเหมียวอี้รู้ตั้งแต่แรกแล้วหรือเปล่าว่าที่นี่มีคน ถ้าเป็นพวกเดียวกับเหมียวอี้ ก็จะไม่เป็นผลดีต่อตัวนางเอง
เหมียวอี้ตะลึงงัน เขาเองก็เห็นแล้วเช่นกัน ที่ศาลามีคนอยู่หนึ่งคนจริง เหมือนจะกำลังนอนหลับอยู่ในศาลา
เหมียวอี้ไม่รู้ว่านึกอะไรขึ้นได้ จู่ๆ ก็เดินก้าวยาวเข้าไป แล้ววิ่งไปตรงหน้าศาลา มองคนที่กำลังนอนหลับในศาลาอย่างตะลึงงัน
นอกศาลามีเบ็ดตกปลาปักเฉียงอยู่หนึ่งคัน สายเอ็นจมอยู่ในน้ำ ทุ่นลอยอยู่บนผิวน้ำ ในศาลามีเตียงไม้ตัวหนึ่ง คนที่นอนเอนกายอยู่บนเตียงสวมจีวรสีขาวพระจันทร์ กำลังหันหลังให้เขา ผมยาวดำขลับทั้งศีรษะ ข้างเตียงวางถังไม้ไว้อันหนึ่ง บางครั้งในนั้นก็มีเสียงปลากระโดด บนถังไม้วางกระบี่วิเศษไว้หนึ่งด้าม
เมื่อเห็นจีวรสีขาวพระจันทร์ที่คุ้นตา เหมียวอี้ก็แทบจะน้ำตาคลอ ถ้าไม่ใช่เครื่องแบบของสำนักศีลแล้วจะเป็นอะไรไปได้อีก เพียงแต่ผมยาวดำขลับของคนคนนั้นทำให้เขาไม่กล้ายืนยัน เขาเดินอ้อมศาลา ต้องการจะเดินไปดูใบหน้าอีกฝ่ายให้ชัดเจน
เหมียวอี้เหยียบหินใต้เท้าจนพลิก จึงเกิดเสียงดังขึ้น
คนบนเตียงไม้ได้ยินเสียงแล้วพลิกตัวนอนในแนวตรง ขณะเดียวกันก็บิดขี้เกียจหนึ่งที กล่าวด้วยน้ำเสียงหงุดหงิดว่า “ปาไห่ สวดมนต์ของเจ้าไปเถอะ อย่ามารบกวนข้า”
เมื่อได้ยินประโยคนี้ กอปรกับพลิกตัวมาให้เห็นใบหน้าชัดเจน เหมียวอี้ก็สะเทือนใจจนพูดไม่ออกแล้ว
ส่วนคนบนเตียงไม้ก็ลุกขึ้นแล้วเช่นกัน ยื่นมือไปช้อนเบ็ดตกปลาบนคันเบ็ด ดึงสายเอ็นในน้ำขึ้นมา จับตะขอเบ็ดไว้ในมือ แล้วส่ายหน้าพึมพำ “ช่างเป็นปลาที่เจ้าเล่ห์ กินแต่เหยื่อไม่ยอมกัดตะขอ อย่าให้พ่อตกได้นะ ไม่อย่างนั้นะหั่นเจ้าแปดชิ้นเลย!” เขาหยิบเหยื่อมาเกี่ยวบนตะขออีกครั้ง แล้วก็โยนสายเอ็นลงในทะเลสาบ
“เจ้ารอง!” ในที่สุดเหมียวอี้ก็ตะโกนออกมาด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ
คนคนนั้นที่กำลังจะปักเบ็ดตกปลาได้ยินแล้วตัวสั่น ราวกับถูกฟ้าผ่าทั้งร่าง แล้วบ่นว่า “ปาไห่ เลิกล้อเล่นได้แล้ว ไม่อย่างนั้นข้าจะโมโหจริงๆ แล้วนะ”
“เจ้ารอง เป็นเจ้าจริงเหรอ?” เหมียวอี้ถาม
มือที่กำลังถือคันเบ็ดสั่นทันที เขาหันหน้ามาช้าๆ ใบหน้าหล่อเหลาปรากฏให้เห็น ถ้าไม่ใช่ศีลแปดแล้วจะเป็นใครไปได้
จ๋อม! เบ็ดตกปลาร่วงลงน้ำ ศีลแปดลุกขึ้นยืนอย่างช้าๆ แล้วหันตัวมาอย่างไม่รีบร้อน มองเหมียวอี้ด้วยความตะลึงเหม่อ จากนั้นก็ขยี้ตาตัวเอง ยังนึกว่าตัวเองมองผิดไป
เหมียวอี้แน่ใจแล้ว เป็นศีลแปดจริงๆ ใบหน้าปรากฏรอยยิ้มทันที เจ้ารองยังมีชีวิตอยู่อย่างดี ไม่เสียแรงที่ตัวเองลำบากมาถึงที่นี่ ในใจรู้สึกอิ่มเอมมาก
“พี่…พี่ใหญ่!” ศีลแปดยกมือที่สั่นเทิ้มชี้เหมียวอี้ “ท่านอย่าทำให้ข้าตกใจสิ! พี่ใหญ่ เป็นท่านจริงเหรอ?”
“ถ้าเป็นสินค้าปลอมก็จะเปลี่ยนให้ใหม่เลย!” เหมียวอี้ยิ้มบางๆ
“พี่ใหญ่!” ศีลแปดน้ำตาไหลพรากทันที ซาบซึ้งจนทำอะไรไม่ถูก รีบพุ่งเข้ามา ขณะที่เท้าเหยียบราวรั้วกำลังจะกระโดดออกมา จู่ๆ ก็หยุดกะทันหัน ยกแขนเสื้อปาดน้ำตา แล้วชี้เหมียวอี้พลางกล่าวปนเสียงสะอื้น “เดี๋ยวก่อน ไม่มีทางที่เจ้าจะหาที่นี่พบ รีบบอกมา เจ้าเป็นใครกันแน่ บังอาจมาหลอกอาตมา! ถ้าบอกเหตุผลที่ฟังขึ้นไม่ได้ อาตมาก็ไม่ถือสาที่จะโปรดให้เจ้าลงนรกไปอีกสักคน!”
เหมียวอี้ไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี สัญชาติสุนัขอดกินขี้ไม่ได้ ผ่านไปหลายปีขนาดนี้แล้ว นิสัยเจ้าเล่ห์ปลิ้นปล้อนยังแก้ไม่หายสักที
เหมียวอี้ถอนหายใจ “เจ้ารอง หรือต้องให้ข้าเล่าเรื่องที่เจ้าปีนขึ้นหลังคาบ้านเพื่อนบ้านไปแอบดูแม่หม้ายอาบน้ำ เจ้าถึงจะเชื่อข้า?”
ศีลแปดเบิกตากว้าง ร้องไห้ไปหัวเราะไป ถลันตัวออกจากคันเบ็ด พุ่งมาตรงหน้าเหมียวอี้แล้วกางแขนกอด ในขณะที่ร้องไห้โฮก็พูดว่า “พี่ใหญ่! พี่ใหญ่! ข้าคิดถึงท่านจะตายอยู่แล้ว! พี่ใหญ่ ท่านมาได้ยังไง…” เรียกได้ว่าพูดพร่ำพรรณนาถึงความคิดถึงอย่างปวดใจ
ตอนแรกที่เขากำลังนอนหลับ พอได้ยินเสียงฝีเท้าก็ยังนึกว่าเป็นปาไห่ เพราะที่นี่สงบเงียบเกินไป โดยปกติแล้วจะไม่มีคนมา ต่อให้มีคนมาแล้วก็อาจจะหาที่นี่ไม่พบก็ได้ คนที่ไปมาที่นี่มีอยู่ไม่กี่คน เขานึกไม่ถึงว่าเหมียวอี้จะหาที่นี่พบ
อวี้หลัวช่าที่มองอยู่ไกลๆ เข้าใจแล้ว ที่นี่มีคนอย่างที่คาดไว้ ดูจากสถานการณ์แล้วยังเป็นคนรู้จักของหนิวโหย่วเต๋อด้วย ดีไม่ดีอาจจะมีความสัมพันธ์ที่ไม่ธรรมดา สิ่งนี้ทำให้นางรู้สึกถึงวิกฤติอย่างรุนแรง นางรู้สึกทันทีว่าตัวเองติดกับดักเหมียวอี้แล้ว!
นางมองไปทางหุบผาชัน อยากจะไปดูจุดที่ซ่อนสมบัติลับเอาไว้ แต่ก็ไม่กล้าไปอีก ที่นี่มีคนอยู่ ทั้งยังดูเหมือนสวมจีวรพระด้วย หรือว่าจะเป็นคนที่เฝ้าสมบัติลับ? ทางหุบผาชันยังจะมีคนอยู่อีกหรือเปล่า? ถ้ามีคนเฝ้าสมบัติลับจริงๆ อย่าบอกนะว่ามีคนเฝ้าแค่คนเดียว?
นางรู้สึกได้ว่าการไปคนเดียวอันตรายเกินไป ยังตัดสินใจเฝ้ามองสถานการณ์เพื่อเตรียมรับมือ ตราบใดที่ไม่วิ่งเข้ากับดักง่ายๆ นางก็ยังสามารถหนีทัน นางจึงเดินช้าๆ ไปทางศาลา
ด้านนอกศาลา หลังจากเหมียวอี้เล่าคร่าวๆ ว่าทำไมตัวเองถึงมาที่นี่ได้และมาอย่างไร ศีลแปดก็ผลักเหมียวอี้ออก มองดูสภาพเสื้อผ้าขาดหลุดรุ่ยทั้งตัว บนตัวยังพกกระบอกไม้ไผ่เขียวและเนื้อแห้งด้วย พอเห็นเหมียวอี้สกปรกไปทั้งตัว ก็ยิ่งร้องไห้สะอึกสะอื้น
เขาจินตนาการออกว่าตลอดทางที่ผ่านมานี้เหมียวอี้ลำบากขนาดไหนเพื่อที่จะตามหาเขา เขากล่าวเสียงสะอื้น “พี่ใหญ่ ข้าขอโทษ ข้าผิดไปแล้ว อาตมาผิดไปแล้ว” จู่ๆ เขาก็ปาดน้ำตา แล้วเงยหน้าอย่างโมโห “มารดาเจ้าเถอะ อวี้หลัวช่าอยู่ที่ไหน เบื่อหน่ายที่จะมีชีวิตอยู่แล้วสินะ ขนาดพี่ใหญ่ของอาตมาเจ้าก็ยังกล้ารังแก เจ้า ใช่เจ้าหรือเปล่า? โผล่หัวออกมาให้อาตมาเดี๋ยวนี้!” หลังจากสายตาเล็งไปที่อวี้หลัวช่า เขาก็ชี้นางแล้วหันตัวกระโดดเข้าไปในศาลา หยิบกระบี่วิเศษบนถังไม้ จะพุ่งออกไปสู้ตายกับนาง
โชคดีที่เหมียวอี้ดึงแขนเขาไว้ “เจ้ารอง เลิกทำเป็นเล่นได้แล้ว ผู้หญิงคนนี้ไม่ธรรมดา รับมือยากมาก สู้ด้วยลำบาก”
อวี้หลัวช่าที่กำลังจะเข้าใกล้ทางนี้ตกใจจนร้องแหกปากร้อง ขณะกำลังจะหนี ก็เห็นเหมียวอี้ดึงแขนอีกฝ่ายเอาไว้ นางถึงได้หยุด
แต่ในที่สุดนางก็เข้าใจแล้ว ว่าคนคนนี้มีความสัมพันธ์ที่ไม่ธรรมดากับหนิวโหย่วเต๋อจริงๆ ไม่น่าเชื่อว่าจะเรียกหนิวโหย่วเต๋อว่าพี่ใหญ่ ตอนนี้เกิดปัญหาแล้วจริงๆ
“อวี้หลัวช่า…ช้าก่อน!” ศีลแปดที่ถูกดึงแขนไว้เหมือนจะนึกอะไรขึ้นได้ ปาดน้ำตาแล้วถามเหมียวอี้อย่างแปลกใจ “พี่ใหญ่ ท่านบอกว่าผู้หญิงคนนี้คือพุทธะหน้าหยกอวี้หลัวช่าไม่ใช่เหรอ? อวี้หลัวช่าหน้าตาสวยมากไม่ใช่เหรอ? ทำไมสภาพเหมือนยายแก่ขอทานล่ะ?”
เหมียวอี้ตอบอย่างหงุดหงิดว่า “ขนาดข้ายังสภาพกลายเป็นอย่างนี้แล้ว แล้วนางจะดีกว่าขนาดไหนเชียว? เดี๋ยวอาบน้ำสะอาดก็สวยแล้ว”
“นั่นก็ใช่” ศีลแปดจ้องอวี้หลัวช่าพลางเอามือลูบคางทำท่าครุ่นคิด อารมณ์เศร้าโศกเมื่อครู่นี้เหมือนจะหายไปหมดสิ้นในชั่วพริบตาเดียว
“เจ้ารู้ได้ยังไงว่าอวี้หลัวช่าสวยมาก อย่าบอกนะว่าเจ้าเคยเจอนาง?” เหมียวอี้ถาม
ศีลแปดกล่าวกลั้วหัวเราะ “ไม่เคยเห็นหรอก แต่เคยได้ยินปาไห่เอ่ยถึง บอกว่าอวี้หลัวช่างามล้ำเลิศอย่างที่หาพบได้น้อยในโลกนี้ โดยเฉพาะฝีมือในการปรนนิบัติผู้ชาย ได้ยินว่าผู้ชายในใต้หล้าแย่งกันไล่จีบ,นึกไม่ถึงว่าอาตมาจะมีโอกาสได้พบตัวจริง อืม ถึงตอนนี้จะดูอัปลักษณ์ แต่เดี๋ยวอาบน้ำสักหน่อยก็ไม่มีปัญหาแล้ว…” สายตาที่จ้องอวี้หลัวช่าไม่ยอมย้ายออกไปไหน
“ปาไห่? ปาไห่คือใคร?” เหมียวอี้แปลกใจ
“ศิษย์น้องหญิงของข้าเอง ลูกศิษย์ที่ตาแก่โล้นรับไว้” ศีลแปดตอบส่งๆ
เหมียวอี้ยิ่งแปลกใจ “วิชาศีลถ่ายทอดได้คนเดียวไม่ใช่เหรอ? ทำไมรับศิษย์อีกแล้ว?”
“ศิษย์สายพุทธ มีบางประเภทไม่เหมือนกับข้า” หลังจากศีลแปดจ้องอวี้หลัวช่าพลางขมุบขมิบปากสองสามประโยค จู่ๆ ก็หัวเราะออกมา แล้วหันกลับมาบอกว่า “เฮ้อ ท่านเองก็รู้จักปาไห่ นางชื่อว่าอะไรนะ ก่อนหน้านี้เป็นหนึ่งในศัตรูของท่านไง นึกออกแล้ว นางคือปีศาจโลหิต”
…………………