พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - บทที่ 1767 ย่างก้าวเกิดปทุม
ปีศาจโลหิตเหรอ? ปีศาจโลหิตเป็นปัญหาอย่างไรก็ใช่ว่าเหมียวอี้จะไม่รู้ นั่นคือมารปีศาจขนานแท้ เหมียวอี้ตกใจไม่เบา “ไต้ซือศีลเจ็ดรับมารปีศาจมาเป็นลูกศิษย์ได้ยังไง?”
“สงสัยพี่ใหญ่จะมีอคติต่อนาง” ศีลแปดทำท่าครุ่นคิดเล็กน้อย แล้วเปลี่ยนเป็นอธิบายว่า “เมื่อก่อนนางเป็นอย่างนั้นจริงๆ ทั้งยังมีปัญหามากด้วย แต่ตอนนี้ไม่เหมือนเดิมแล้ว พี่ใหญ่ ข้าพูดอย่างนี้ก็แล้วกัน ปีศาจโลหิตเปลี่ยนตัวเองใหม่แล้ว วางดาบแล้วหันเข้าหาพระธรรมแล้ว นางบวชถึงแก่นแท้ยิ่งกว่าข้าเสียอีก”
เหมียวอี้ไม่ค่อยเชื่อ “ไต้ซือศีลเจ็ดมีจิตใจเมตตา อย่าโดนนางหลอกเชียวนะ นางฝึกวิชามารโลหิต กระหายเลือดโดยธรรมชาติ ไม่ใช่บทจะเปลี่ยนก็เปลี่ยนได้ เจ้าแน่ใจนะว่านางไม่ได้มีเจตนาอะไร?”
ศีลแปดเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจังหนักแน่น “ก็ไม่ใช่ว่าบทจะเปลี่ยนก็เปลี่ยนหรอก พี่ใหญ่ไม่ใช่ศิษย์สายพุทธ พูดไปท่านก็อาจไม่เข้าใจ เรื่องราวระหว่างนั้นซับซ้อนมาก ตอนที่ข้ากับนางเพิ่งมาถึงที่นี่ นางผ่านประสบการณ์ฝันร้ายอย่างที่ท่านจินตนาการไม่ถึงเลย สำหรับผู้หญิงคนหนึ่ง มันเป็นประสบการณ์ที่เลวร้ายจนไม่อยากย้อนไปนึกถึง ตอนหลังนางฟังธรรมจากตาแก่โล้นกับอาตมาเป็นพันกว่าปี เริ่มเปลี่ยนความคิดทีละนิด ประมาณแปดร้อยปีก่อนก็กลับตัวอย่างจริงใจ ตาแก่โล้นถึงได้รับนางเป็นศิษย์ ให้ฉายายามว่าปาไห่ ตอนนี้ปีศาจเฒ่านั่นถูกนางกับตาแก่โล้นควบคุมอยู่ ไม่อย่างนั้นอาตมาจะว่างมานั่งตกปลาที่นี่เหรอ พี่ใหญ่ จริงๆ นะ นางเปลี่ยนไปเยอะกว่าที่ท่านจินตนาการอีก เปลี่ยนไปในทางที่ดีกว่าที่ท่านจินตนาการด้วย ไม่ใช่ปีศาจโลหิตคนนั้นอีกแล้ว บุญคุณความแค้นในอดีตพวกนั้นก็ปล่อยผ่านไปเถอะ ท่านปล่อยนางไปเถอะ แน่นอนว่าถ้านางมีเจตนาอะไรเหมือนที่พี่ใหญ่บอกจริง พี่ใหญ่ก็ไม่ต้องไว้หน้าข้าเลย”
เจ้ารองบ้านตัวเองเป็นคนอย่างไร เหมียวอี้เข้าใจแจ่มแจ้ง เจ้ารองปลิ้นปล้อนมาก และเป็นคนที่ไม่เชื่อใจใครง่ายๆ ด้วย อยู่ด้วยกันทั้งวันทั้งคืนหลายปีขนาดนี้ ถ้าคิดจะปิดบังเจ้ารองโดยไม่เผยพิรุธเลยสักนิด ก็เกรงว่าจะทำไม่ได้ง่ายๆ ขนาดนั้น การที่สามารถทำให้เจ้ารองพูดได้อย่างจริงใจขนาดนี้ได้ คาดว่าปีศาจโลหิตนั่นคงจะกลับตัวกลับใจแล้วจริงๆ
ส่วนที่เจ้ารองบอกว่าปีศาจโลหิตผ่านประสบการณ์ฝันร้ายอะไรนั่น เหมียวอี้ก็พอจะเดาได้คร่าวๆ เช่นกัน เพราะตอนแรกเคยได้ยินเกาก้วนเอ่ยถึง ในคำให้การของปีศาจจิ้งจอกที่ตำหนักสวรรค์จับได้มีบรรยายถึง ปีศาจจิ้งจอกตนนั้นต้องนอนกับผู้ชายไม่หยุดเป็นเวลาหลายปี หลังจากคลอดลูกออกมามากมาย สุดท้ายก็ถูกเผาทำลายทั้งเป็นๆ คาดว่าปีศาจโลหิตที่ตัวตกอยู่ในถ้ำผีแบบนั้นก็ยากที่จะหนีพ้น มีประสบการณ์น่ากลัวขนาดนั้น แค่คิดถึงก็ทำให้คนสะเทือนใจแล้ว
ตอนนี้วางเรื่องปีศาจโลหิตไว้ก่อน เหมียวอี้จ้องผมบนศีรษะศีลแปด “เจ้าสึกแล้วเหรอ?”
“เอ่อ…” ศีลแปดอึ้งไปชั่วขณะ แต่ก็ตอบสนองได้เร็วมาก จับผมตัวเองสะบัดไปข้างหลัง แล้วตอบกลั้วหัวเราะ “ท่านพูดถึงผมใช่มั้ยล่ะ? เฮ้อ สึกเสิกอะไรกัน เป็นพระก็ดีมากอยู่แล้ว สามารถเป็นคนได้สองด้าน แล้วก็…ท่านอย่างถลึงตามองข้าสิ ไม่ได้หมายความอย่างนั้น เป็นเพราะเวลาส่วนใหญ่ใช้พลังอิทธิฤทธิ์ไม่ได้ เวลาจะโกนหัวก็ลำบาก เลยขี้คร้านจะสนใจ ถ้าวันไหนทนรำคาญไม่ไหวก็ค่อยโกนสักครั้งหนึ่ง พอเวลานานไปผมก็ต้องยาวขึ้นอยู่แล้ว”
เหมียวอี้ยกมือกดบนบ่าเขา กดให้เขานั่งลง แล้วชูกระบี่ในมือขึ้นมา
“พี่ใหญ่ ท่านจะทำอะไรน่ะ? คนเราจะทำตัวไร้เหตุผลไม่ได้นะ…” ศีลแปดจ้องคมกระบี่พลางร้องโวยวาย
จนกระทั่งเหมียวอี้ยื่นมือไปรวบผมผมยาวให้ตึงถึงเอวของเขา แล้วโบกกระบี่ตัดทิ้ง เขาถึงได้เข้าใจว่าเหมียวอี้ต้องการจะทำอะไร แอบรู้สึกสะเทือนใจมาก ยากที่จะสงบอารมณ์ได้ ประนมมือสองข้างพร้อมบอกว่า “อามิตตาพุทธ…” เขาหลับตาลงช้าๆ ริมฝีปากทั้งคู่พึมพำสวดมนต์อย่างคุลมเครือไม่หยุด
คมกระบี่วิเศษ ยามที่คมแหลมเย็นเยียบโกนผ่านหนังศีรษะ ราวกับหัวใจเขาโดนกรีด เส้นผมดำขลับปลิวผ่านสายลมช่อแล้วช่อเล่า ความสง่าภูมิฐานย่อมปรากฏบนใบหน้าศีลแปดแล้ว สีหน้าเริ่มเผยขาวเกลี้ยงเกลาทีละนิด
เหมียวอี้ไม่รู้ว่าตัวเองรู้สึกไปเองหรือเปล่า เขาฟังบทสวดมนต์ของศีลแปดไม่เข้าใจ แต่กลับรู้สึกว่าแต่ละคำล้วนเคาะโดนส่วนลึกในใจของเขา ทำให้ในใจเขารู้สึกสงบ เขารู้สึกว่าอาจเป็นเพราะตัวเองไม่ได้เจอศีลแปดมานาน ตอนโกนหัวให้ศีลแปดรู้สึกเหมือนได้เจอคนในครอบครัวที่จากกันมานานแล้ว ดังนั้นในใจจึงรู้สึกสงบเช่นนี้
แต่ในสายตาคนนอกกลับไม่ใช่อย่างนี้ อวี้หลัวช่าที่จ้องทุกการเคลื่อนไหวในศาลามาตลอด พอเห็นเหมียวอี้โกนหัวให้ศีลแปดก็ยังแปลกใจว่าหมายความว่าอะไร ตอนหลังพอเห็นศีลแปดประนมมือสวดมนต์ กอปรกับจีวรบนตัวศีลแปด นางถึงได้แน่ใจว่าคนคนนี้คือพระ
สิ่งที่ทำให้นางคาดไม่ถึงก็คือ บรรยากาศลึกลับรอบข้างเหมือนจะมีการเปลี่ยนแปลง ทุกอย่างรอบข้างเหมือนจะเปลี่ยนเป็นมงคลสงบสุขแล้ว นางไม่รู้ว่านางรู้สึกไปเองหรือเปล่า จู่ๆ ก็เห็นรุ้งสายหนึ่งปรากฏเหนือศาลาอย่างรวดเร็ว ผิวทะเลสาบกระเพื่อมเป็นคลื่น นางเอียงหน้ามองไปในทะเลสาบ เห็นฝูงปลาว่ายน้ำมารวมกันที่ผิวทะเลสาบอย่างไร้กังวล และสิ่งที่ทำให้นางยิ่งรู้สึกอัศจรรย์ใจก็คือ บนพื้นใต้เท้าและรอบๆ มีหญ้าต้นเล็กที่ไม่รู้จักทยอยกันเผยดอกไม้ตูม และเบ่งบานเร็วมากจนตาเปล่ามองเห็นได้ สดชื่นมีชีวิตชีวาน่ารักมาก
ใช้เวลาสั้นนิดเดียว ริมทะเลสาบในรัศมีหลายสิบจั้งของศาลาก็เต็มไปด้วยดอกไม้หลากสีสัน ดอกไม้นานาพันธุ์เบ่งบานพร้อมกัน ค่อยๆ ส่งกลิ่นหอมที่ทำให้คนผ่อนคลายจิตใจ
อวี้หลัวช่าที่เป็นชาวพุทธตระหนักได้ทันทีว่านี่คือลางมงคลของวิชาพุทธ เป็นสิ่งที่เกิดจากวิชาพุทธ สายตานางมองไปยังศีลแปดที่กำลังประนมมือสวดมนต์อีกครั้ง อย่าบอกนะว่านี่คือผลจากการกระทำของพระรูปนี้? นางค่อนข้างทำใจเชื่อได้ยาก
พอมองสายรุ้งที่ทอดผ่านด้านบนของศาลา มองดูฝูงปลาว่ายน้ำอย่างร่าเริงในทะเลสาบ แล้วก็ดูดอกไม้สดใต้เท้าตัวเอง อวี้หลัวช่าก็เริ่มนั่งยองๆ ยื่นมือไปเด็ดดอกไม้สีขาวบริสุทธิ์ดอกหนึ่งขึ้นมาดม จากนั้นก็เอาเข้าปากอย่างช้าๆ แล้วกัดเคี้ยวเบาๆ เคี้ยวจนน้ำของดอกไม้ซึมออกมา มันมีรสขมฝาดกลืนยาก
แต่สิ่งกลับพิสูจน์บางอย่างได้แล้ว ว่านี่คือสิ่งมีชีวิตของจริง ไม่ใช่ลางมงคลของวิชาพุทธที่นางเคยเห็น แต่เป็นสิ่งที่เรียกว่า ‘หากมีศรัทธา แม้แต่โลหะและหินก็หลีกทางให้’ อวี้หลัวช่าที่ลุกขึ้นช้าๆ มองไปยังศีลแปดที่กำลังประนมมือสวดมนต์อยู่ในศาลา เรียกได้ว่าทำสีหน้าตกตะลึง อย่าบอกนะว่านี่คือผลงานของพระจริงๆ หรือว่าวิชาพุทธของพระรูปนี้ล้ำลึกจนถึงขั้นนี้แล้วจริงๆ ต้นไม้ใบหญ้างอกงามและแห้งเหี่ยวเพียงชั่วขณะจิตของเขาเหรอ?
จะเป็นไปได้อย่างไร? อวี้หลัวช่ายังไม่กล้าเชื่อ ถึงแม้ตอนนี้นางจะใช้พลังอิทธิฤทธิ์ไม่ได้ แต่นางก็ยังสัมผัสได้ถึงสิ่งที่มากระทบคลื่นพลังอิทธิฤทธิ์ของตัวเอง แต่ตอนนี้นางยังสัมผัสไม่ได้ถึงพลังอิทธิฤทธิ์ใดๆ เลย แต่กลับเห็นปรากฏการณ์อัศจรรย์ยามดอกไม้นานาพันธุ์เบ่งบานพร้อมกันกับตาตัวเอง
ต่อให้เป็นประมุขพุทธะใช้วิชาพุทธสร้างปรากฏการณ์ระดับนี้ แต่ก็ต้องอาศัยพลังอิทธิฤทธิ์ควบคุม นางเองก็สัมผัสได้ถึงคลื่นพลังอิทธิฤทธิ์เช่นกัน ฉากตรงหน้าทำให้นางอธิบายไม่ได้ว่ามันคืออะไรกันแน่ แต่นางเชื่อว่าต้องเกี่ยวข้องกับพลังอิทธิฤทธิ์แน่นอน เพียงแต่นางยังไม่เข้าใจเท่านั้นเอง หรือพูดได้อีกอย่างว่า พระรูปนี้สามารถใช้พลังอิทธิฤทธิ์ที่นี่ได้!
ถ้ามองอีกมุมหนึ่ง ที่นี่ก็อาจจะเป็นจุดซ่อนสมบัติจริงๆ และพระรูปนี้ก็คือผู้ที่เฝ้าสมบัติลับ คนที่วางค่ายกลดวงดาวจะต้องเป็นคนที่ฝังสมบัติลับไว้แน่นอน ดังนั้นจึงมีวิธีการหลบเลี่ยงค่ายกล สมบัติลับของสำนักหนานอู๋ อย่าบอกนะว่าผู้นี้คือศิษย์ของสำนักหนานอู๋?
อวี้หลัวช่าเหมือนจะเข้าใจแล้ว ถ้าหนิวโหย่วเต๋อต้องการออกไปจากที่นี่ เกรงว่าวิธีการคงจะอยู่ที่ตัวของคนเฝ้าสมบัติลับ
ด้วยเหตุนี้ความกลัวจึงพรั่งพรูขึ้นมาในใจ เห็นได้ชัดว่าหนิวโหย่วเต๋อมีความสัมพันธ์ที่ไม่ธรรมดากับคนเฝ้าสมบัติลับ พลังอิทธิฤทธิ์ของตัวนางเองใช้ไม่ได้ แต่คนเฝ้าสมบัติลับกลับสามารถใช้พลังอิทธิฤทธิ์ได้ แค่คิดก็รู้ถึงจุดจบของตัวเองแล้ว
เหมียวอี้ที่กำลังตั้งใจโกนผมให้ศีลแปดไม่ได้สังเกตสิ่งเหล่านี้ กำลังรู้สึกสงบใจ หลังจากช่วยโกนหัวให้ศีลแปดแล้ว เขาก็ลูบศีรษะโล้นของศีลแปด จากนั้นก็ตบเบาๆ แล้วกล่าวกลั้วหัวเราะ “พอแล้ว! ข้าลงมือด้วยตัวเอง ยกประโยชน์ให้เจ้าเลย” ขณะที่พูดก็ยื่นมือไปปัดผมบนตัวศีลแปดทิ้ง
“อามิตตาพุทธ!” ศีลแปดกล่าวนามพระพุทธเจ้า แล้วลืมตาอย่างช้าๆ
ชั่วพริบตานี้ เหมียวอี้ที่กำลังมองศีลแปดอดไม่ได้ที่จะตะลึงงัน ความบริสุทธิ์สง่าภูมิฐานของศีลแปดรุนแรงมาก ชนปะทะจิตใจเขาโดยตรง ทำให้เขารู้สึกแทบจะคุกเข่ากราบอย่างควบคุมสติไม่ไหว
เพียงแต่ความบริสุทธิ์ผุดผ่องอย่างนั้นหายไปในชั่วพริบตาเดียว ศีลแปดเปลี่ยนสีหน้าเป็นยิ้มทะเล้น ยกมือลูบศีรษะโล้นตัวเอง แล้วกล่าวอย่างรู้สึกขำขัน “เรียกว่ายกประโยชนให้ข้าได้ยังไง? พี่ใหญ่ หัวโล้นของข้าไม่ใช่ว่าใครจะมาสัมผัสได้นะ คนที่ตบหัวข้าได้จะต้องมีวาสนามากแน่นอน”
เหมียวอี้กลอกตามองบน ขี้คร้านจะถือสาเจ้าคนขี้เกียจคนนี้
ทว่าพอศีลแปดกล่าวคำนี้ออกมา ก็ราวกับเป็นคำทำนายบางอย่าง จู่ๆ ก็มีเสียงดังครั่นครืนบนฟ้า ราวกับฟ้าผ่ากลางวันแสกๆ
“เอ!” ศีลแปดอุทานแปลกใจ ลุกขึ้นเดินไปตรงรั้ว แล้วยื่นศีรษะออกไปเหลียวซ้ายแลขวา พร้อมกล่าวอย่างฉงนสนเท่ห์ “สภาพอากาศนี่แปลกจัง เมื่อครู่ยังท้องฟ้าสดใสหมื่นลี้อยู่เลย ทำไมมีฟ้าร้องได้ล่ะ อย่าบอกนะว่าฝนจะตก? ไม่เหมือนเลยนะ!” เขาก้มศีรษะโน้มตัว เก็บเบ็ดที่ตัวเองโยนลงไปขึ้นมา แล้วนำมาตั้งไว้ในศาลา
เหมียวอี้ที่ได้กลิ่นดอกไม้ขยับจมูกดม เขามองไปรอบๆ ด้วยความงุนงง พอเห็นดอกไม้แปลกตาหลากสีสันบานอยู่ริมทะเลสาบ ก็ยังนึกว่าตัวเองมองผิดไป จึงกระโดดออกจากศาลาไปเด็ดมาขยำในมือดอกหนึ่ง พบว่ามองไม่ผิด เป็นดอกไม้จริงๆ แต่เขาแน่ใจได้ว่าก่อนหน้านี้ที่ริมทะเลสาบไม่มีดอกไม้ป่าพวกนี้แน่นอน
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สิ่งที่ชัดเจนก็คือ ตรงที่ไกลๆ ไม่มี มีแต่บริเวณรอบศาลา ดอกไม้ป่าพวกนี้ดูเหมือนตั้งใจเกินไปหรือเปล่า เหมียวอี้อดไม่ได้ที่จะชี้ถามอย่างประหลาดใจ “เจ้ารอง ดอกไม้พวกนี้มันอะไรกันแน่?”
ศีลแปดชี้ที่ตัวเองด้วยความภาคภูมิใจ บอกใบ้ว่าเป็นผลงานของตัวเอง กล่าวปนเสียงหัวเราะว่า “ฝีมือเล็กน้อยไม่ควรค่าให้เอ่ยถึง ก็ดูดีแค่ฉากหน้าเท่านั้น เวลาต่อสู้ขึ้นมาก็ฆ่าคนไม่ได้ ปกป้องตัวเองไม่ได้ด้วย ไม่มีประโยชน์อะไร เป็นกลวงตื้นๆ เท่านั้น”
“เจ้ามีความสามารถนี้ตั้งแต่เมื่อไร ทำไมข้าไม่รู้?” เหมียวอี้ฉงน
ศีลแปดเอามือกอดอกและพิงเสา บุ้ยปากไปทางหุบผาชันอย่างเกียจคร้าน “ข้าเองก็ไม่รู้ว่ามีความสามารถนี้ได้ยังไง ถึงยังไงก็ถูกบีบเพราะความจนใจ แม้ปีศาจเฒ่าในวัดจะวิปริต แต่วิชาพุทธของเขาล้ำลึกมาก เพื่อที่จะควบคุมปีศาจเฒ่า ข้าต้องสวดมนต์พร้อมปีศาจเฒ่าเพื่อข่มกัน ก็เลยถูกปีศาจเฒ่าบีบให้ฝึกแบบนี้ แม่งเอ๊ย หลายปีมานี้ข้าข้าคงสวดมนต์ของชาตินี้กับชาติหน้าไปหมดแล้ว ถ้าชาติหน้ามีจริงข้าคงไม่ต้องบวชเป็นพระแล้วล่ะ ชาตินี้ข้าเป็นไปหมดแล้ว เฮ้อ ในปีนั้นตอนที่เรียนกับตาแก่โล้น ขนาดโดนตีจนขาหักข้าก็ยังไม่เคยขยันแบบนี้เลย แม่งเอ๊ย เพื่อที่จะช่วยชีวิตตาแก่โล้น ข้าเองก็ยอมแพ้ตัวเองแล้วเหมือนกัน พี่ใหญ่ ท่านรู้มั้ยว่าตอนนั้นข้าน่าเคารพเลื่อมใสขนาดไหน พูดแล้วก็น้ำตาจะไหล แต่ตาแก่โล้นนั่นดันคิดว่าสมเหตุสมผลแล้ว ไม่ซาบซึ้งเลยสักนิด นี่มันใช่เรื่องซะที่ไหน!”
เหมียวอี้ไม่เข้าใจสิ่งที่เขาพูดสะเปะสะปะ เพียงแปลกใจว่าศีลแปดทำได้อย่างไร “เมื่อครู่ข้าไม่เห็นว่าเจ้าทำได้ยังไง ไหนลองอีกทีสิ ให้ข้าดูหน่อย ข้าอยากเปิดหูเปิดตา”
“เฮ้อ ได้ ให้ท่านได้เปิดหูเปิดตาสักหน่อย” ศีลแปดกระโดดข้ามคันเบ็ดได้วยใบหน้าทะเล้น เดินไปที่เนินเขาไกลๆ โดยมีเหมียวอี้เดินตามไป
อวี้หลัวช่าไม่รู้ว่าพวกเขาไปไหนกัน นางจึงกัดฟันเดินตามไปในระยะที่ไม่ใกล้ไม่ไกล
เมื่อเดินมาถึงปลายสุดที่ดอกไม้บาน ศีลแปดก็หันกลับมาพูดกับเหมียวอี้ด้วยรอยยิ้ม “พี่ใหญ่ ข้าจะให้ท่านได้เห็นอะไรที่แปลกใหม่สักหน่อย ดูให้ดีนะ สังเกตที่ใต้เท้าข้าสิ” พูดจบก็ประนมมือ แล้วก้าวไปข้างหน้าช้าๆ ด้วยสีหน้าสงบนิ่ง
เหมียวอี้ย่อมมองที่เท้าเขาตามที่บอก ไม่นานก็เบิกตากว้าง เห็นเพียงจุดที่ศีลแปดเหยียบผ่านมีต้นหญ้าเด้งขึ้นมาอย่างรวดเร็ว แล้วก็มีดอกไม้ตูมงอกขึ้นมาระหว่างกิ่งไม้ แต่ละดอกเบ่งบานอย่างเงียบเชียบ ไม่ว่าศีลแปดย่ำไปตรงไหนก็จะเกิดสภาพอย่างนี้
“ย่างก้าวเกิดปทุมในตำนาน…” อวี้หลัวช่าที่จ้องทางนี้หลุดปากอุทาน ใบหน้าเต็มไปด้วยความตกตะลึง
………………