พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - บทที่ 1768 ส่งผู้หญิงคนนี้ให้อาตมา
เหมียวอี้เองก็ตกใจไม่เบา เขาเดินตามอยู่ข้างกายศีลแปด จึงแน่ใจได้ว่าศีลแปดไม่ได้ใช้พลังอิทธิฤทธิ์ใดๆ แต่กลับเห็นกับตาว่าจุดที่เท้าคนปกติย่ำผ่านกระเพื่อมไปด้วยกลิ่นหอมละมุน มหัศจรรย์เกินไปจริงๆ
ศีลแปดที่เดินส่งเดชไปได้ไม่กี่ก้าวหันกลับมาหัวเราะคิกคักอีก “พี่ใหญ่ เป็นยังไง หลอกคนพอไหวมั้ย?”
“เจ้าทำได้ยังไง? ข้าไม่เห็นเจ้าใช้พลังอิทธิฤทธิ์เลย” เหมียวอี้สนใจแค่จุดเดียว
ศีลแปดเกาหัว “น่าจะเป็นพลังจิตละมั้ง” จากนั้นก็ส่ายหน้าอีก “แต่ก็เหมือนจะไม่ใช่พลังจิต ถ้าจะพูดให้ถูกก็น่าจะเป็นสภาพจิตใจ”
“สภาพจิตใจ?” เหมียวอี้งงนิดหน่อย ถามด้วยสีหน้าสับสน “สภาพจิตใจทำให้ดอกไม้บานได้ด้วยเหรอ? มันคือสภาพจิตใจแบบไหน?”
ศีลแปดครุ่นคิดครู่หนึ่งแล้วถามว่า “น่าจะเป็นสิ่งที่อยู่ระดับสูงกว่าพลังจิตละมั้ง พลังจิตมีลักษณะบังคับกว่า แต่สภาพจิตใจมีลักษณะกระตุ้นความรู้สึกมากกว่า ลองเปรียบเทียบนะ ถ้าใช้พลังจิตทำให้ดอกไม้บาน นั่นก็คือการบังคับให้ดอกไม้บ้าน แต่สภาพจิตใจกลับทำให้ดอกไม้ใบหญ้ารู้ซึ้งถึงสภาพจิตใจของข้าแล้วยินดีเบ่งบานเอง ยินดีปฏิบัติต่อข้าอย่างเคารพเลื่อมใส”
เหมียวอี้มองต้นไม้ใบหญ้าบนพื้น แต่ก็ยังถามอย่างโง่งง “สภาพจิตใจทำให้เกิดผลอย่างนี้ได้ด้วยเหรอ?”
“สรรพชีวิตรู้ใจข้า ใจข้าเชื่อมกับสรรพชีวิต ข้าโศกเศร้าสรรพชีวิตร่ำไห้ ข้าปีติสรรพชีวิตยิ้มแย้ม หนึ่งใบหนึ่งต้นล้วนมีความรู้สึก ความเหี่ยวเฉาและรุ่งเรืองล้วนเป็นวัฏจักร ใจข้าเมตตา สรรพชีวิตตามข้า สวดด้วยกัน อามิตตาพุทธ!” ศีลแปดประนมมือ
เหมียวอี้มองเขาอย่างเหม่องง ฟังไม่ค่อยเข้าใจ สุดท้ายก็ถามว่า “หมายความว่าอะไร?”
ศีลแปดเงยหน้าเกาศีรษะอีกครั้ง “ความหมายคร่าวๆ ก็ประมาณนี้ ถ้าท่านจะให้ข้าพูดชัดแจ้ง ข้าเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน ถึงยังไงก็พอจะรู้สึกได้รางๆ ว่าเป็นแบบนี้ ของแบบนี้แค่ดูก็พอแล้ว อย่าไปจริงจัง สำนักพุทธมีอุบายหลอกคนแบบนี้เยอะแยะ ดีร้ายมีสองด้าน เป็นตายล้วนพูดได้ สรุปก็คือไม่ว่าจะถูกหรือผิดก็ล้วนขึ้นอยู่กับข้า ในจุดนี้ข้าเข้าใจดี ไม่พูดเรื่องจอมปลอมปวดสมองแล้ว” เขาบุ้ยปากไปทางอวี้หลัวช่า “พี่ใหญ่ ท่านเตรียมจะจัดการผู้หญิงคนนี้ยังไง?”
เหมียวอี้เอียงหน้ามองไปทางอวี้หลัวช่าเช่นกัน แล้วกล่าวเสียงต่ำ “จะให้ผู้หญิงคนนี้มีชีวิตรอดกลับไปไม่ได้เด็ดขาด ไม่ง่ายเลยกว่าจะล่อนางมาที่นี่ได้ จะทิ้งปัญหาในอนาคตไว้ได้ยังไง เออใช่ ระยะเวลาหนึ่งพันปียังเหลืออีกนานแค่ไหน?”
ศีลแปดถอนหายใจ “อีกประมาณเกือบสามปี อยู่ที่นี่น่าเบื่อเกินไปแล้ว ข้านั่งนับเวลาที่จะออกไปทุกวัน ไม่ผิดแน่ ข้านับได้แม่นยำมาก”
“ก่อนที่จะครบเวลาหนึ่งพันปี จะต้องกำจัดนางทิ้งให้ได้ ไม่อย่างนั้นจะเกิดปัญหาใหญ่ เป็นภัยคุกคามที่ใหญ่หลวงเกินไปสำหรับข้า” เหมียวอี้กล่าว
ศีลแปดทำสายตาลอกแล่ก “พี่ใหญ่ ส่งผู้หญิงคนนี้ให้อาตมาเถอะ อาตมาจะช่วยท่านจัดการแน่นอน”
“คิดหาวิธีด้วยกันดีกว่า ผู้หญิงคนนี้รับมือยากเกินไป สู้ด้วยลำบาก” เหมียวอี้บอก
ศีลแปดกล่าวอย่างสุภาพ “ดูท่านพูดเข้าสิ คนบ้านเดียวกันไม่พูดจาเหมือนคนอื่นไกล มาถึงเขตของอาตมาแล้วยังต้องให้ท่านสิ้นเปลืองความคิดอีกเหรอ? ข้าไม่กลัวว่านางจะรับมือยากหรอก พี่ใหญ่วางใจได้ ส่งคนให้อาตมาจัดการ รับรองว่าท่านจะได้คำตอบที่น่าพอใจ”
เหมียวอี้ชำเลืองเขา พลางขมวดคิ้วถาม “เจ้าแน่ใจนะว่าไม่มีปัญหา?”
“หึ!” ศีลแปดกวาดแขนเสื้อเบาๆ “ทำไมพี่ใหญ่ต้องดูถูกกันด้วย ถ้าไม่ไหวจริงๆ พวกเราค่อยร่วมมือกันก็ได้ เรื่องนี้ตกลงตามนี้แล้วกัน”
เหมียวอี้รู้ว่าศีลแปดไม่ใช่คนดีอะไร กะล่อนปลิ้นปล้อนมาก อย่างน้อยก็เจ้าเล่ห์กว่าเหมียวอี้แล้วกัน อวี้หลัวช่าไม่มีพลังอิทธิฤทธิ์แล้ว ถ้าคิดจะเล่นตุกติกอะไรก็ไม่น่าจะเป็นภัยคุกคามต่อศีลแปด คิดไปคิดมาก็พยักหน้า “เรื่องที่สำคัญที่สุดก็คือจะปล่อยให้นางหนีไปไม่ได้…”
“วางใจได้ นางหนีไม่พ้นหรอก” ศีลแปดโบกมือชี้ไปรอบๆ “ทุกที่ล้วนมีหูตาของอาตมา นางไม่มีทางหลบพ้น ยังจะหนีไปไหนได้อีก?”
“หูตา?” เหมียวอี้มองไปรอบๆ อย่างงุนงง แล้วถามว่า “ที่ไหน?”
ศีลแปดยิ้มบางๆ “บนพื้นมีหญ้า ในภูเขามีป่าไม้ บนดินมีมด ในน้ำมีปลา บนฟ้ามีนก ทั้งหมดล้วนเป็นหูตาของอาตมา ถ้าอาตมาไม่อนุญาต นางหนีไปไหนก็เปล่าประโยชน์”
พอพูดถึงต้นไม้ใบหญ้า เหมียวอี้ก็มองบนพื้นด้วยสีหน้าครุ่นคิด เขาพอจะเข้าใจคร่าวๆ แล้ว ศีลแปดน่าจะมีความสามารถในการสื่อสารกับสิ่งมีชีวิตเหล่านี้
“ผู้หญิงคนนี้รับมือด้วยยากจริงๆ ระวังตัวไว้ดีกว่า เรื่องบางเรื่องเจ้าต้องระวัง…” เหมียวอี้บอกเรื่องที่ต้องระวังให้เขารู้ โดยเน้นว่าจะปล่อยให้อวี้หลัวช่ารู้เรื่องเวลาหนึ่งพันปีไม่ได้เด็ดขาด ไม่อย่างนั้นอวี้หลัวช่าจะหนีไปซ่อนตัวเพื่อรอให้เวลาหนึ่งพันปีมาถึง
“อืมๆ!” ศีลแปดพยักหน้าสื่อว่าจำได้แล้ว จากนั้นหันตัวเดินไปทางอวี้หลัวช่า
“เจ้าจะทำอะไร?” เหมียวอี้ถาม
ศีลแปดตอบโดยไม่หันหน้ากลับมา “มีแขกมาจากแดนไกล จะไม่ทักทายได้อย่างไร อาตมาไม่ใช่คนไร้มารยาท”
เหมียวอี้มองคล้อยหลังอยากพูดไม่ออก คิดในใจว่า ถ้าคนอย่างเจ้ามีมารยาทนี่สิแปลก
เขาไม่รู้ว่าศีลแปดจะทำชั่วอะไรอีก แต่เขาก็เอาใจช่วยให้ทำสำเร็จ ถ้าศีลแปดสามารถทรมานอวี้หลัวช่าได้สักยกจริงๆ ก็จะสามารถคลายความแค้นในใจเขาได้ เพราะตลอดทางมานี้เขาลำบากเพราะนางแทบแย่
จีวรสีขาวพระจันทร์กำลังปลิวกระเพื่อมเบาๆ ท่ามกลางสายลม ทำให้ต้นไม้ใบหญ้าสั่นไหว เดินเข้ามาเงียบๆ
อวี้หลัวช่ารีบลุกขึ้น ก้าวถอยหลังโดยจิตใต้สำนึก นางคิดจะหนี แต่พอนึกขึ้นได้ว่าตัวคนคนนี้มีพลังอิทธิฤทธิ์ ต่อให้ตัวเองหนีก็หนีไม่พ้น ไม่จำเป็นต้องทำเรื่องที่ไร้ประโยชน์อย่างนั้น นางจึงแข็งใจยืนรออยู่อย่างนั้น
จนกระทั่งศีลแปดเดินเข้ามาใกล้แล้ว ได้เห็นหน้าศีลแปดชัดเจน ใบหน้าที่หล่อเหลาบริสุทธิ์นั่นก็ทำให้อวี้หลัวช่าอึ้งไปชั่วขณะ ทำให้นางใจเต้นรัวในชั่วพริบตาเดียว ราวกับมีคนต้องการยื่นมือเข้ามาดึงนางออกไปในขณะที่ตัวนางจมอยู่ในโคลนตม แค่มองปราดเดียวก็เหมือนได้แหวกเมฆครึ้มออกไปเจอท้องฟ้าที่สดใส
ช่างเป็นพระที่หล่อเหลา! อวี้หลัวช่าพึมพำในใจ แล้วตัวเองก็ตกใจตัวเองทันที รีบถามตัวเองว่าเป็นอะไรไปแล้ว? ทำไมถึงรู้สึกเหมือนเจอรักแรกพบยามเป็นสาววัยแรกรุ่น
แต่นางก็ต้องยอมรับ ตัวเองอยู่ที่แดนสุขาวดีมาหลายปี นี่เป็นครั้งแรกที่ได้เห็นพระที่หล่อขนาดนี้ โดยเฉพาะบริสุทธิ์ผุดผ่องไร้ราคีที่ยากจะบรรยาย ทำให้ตัวเองเกิดความรู้สึกสนิทสนมคุ้นเคยเป็นพิเศษ
ในใจไล่ถามไม่หยุดว่าตัวเองเป็นอะไรไปแล้ว ชั่วขณะนั้นก็นึกขึ้นได้ถึงหลักการที่เกี่ยวกับระบำมารสวรรค์
ก่อนที่พระเถระจะตรัสรู้ จะต้องมีมารต่างๆ มาพัวพันเสมอ จิตมารยากทำลาย นางมารสวรรค์ก็คือหนึ่งในมาร ใช้รูปลักษณ์ยั่วยวน
และระบำมารสวรรค์ก็คือสิ่งที่สำนักหนานอู๋เคยใช้เพื่อทำให้ศิษย์ในสำนักผ่านกัลป์มาร ถ้าไม่ทำลายจิตมาร ก็ยากที่จะได้เป็นตถาคต
อวี้หลัวช่าเหมือนจะเข้าใจบ้างแล้ว เมื่อได้พบพระเถระที่บรรลุธรรมอย่างแท้จริง นางที่เคยฝึกระบำมารสวรรค์มาก็จะมีปฏิกิริยา ยิ่งฝึกระบำมารสวรรค์ล้ำลึกเท่าไร ก็ยิ่งเข้าใกล้นางมารสวรรค์ที่แท้จริงมากขึ้นเท่านั้น ก็จะยิ่งกระตุ้นให้นางเกิดปฏิกิริยาด้านนี้ได้ง่ายขึ้น
แน่นอน นางไม่รู้ว่าตัวเองกำลังปลอบใจตัวเองอยู่หรือเปล่า
สุดท้ายศีลแปดก็มายืนยิ้มอ่อนอยู่ตรงหน้านาง สง่างามเรียบง่ายดุจดอกบัว ปลอบประโลมใจคน สง่าราศีและความรู้สึกแบบนั้นยิ่งทำให้อวี้หลัวช่าใจเต้น ดวงตาทั้งสี่สบประสานกัน
“อามิตตาพุทธ ได้ยินว่านักพรตหญิงก็เป็นศิษย์สำนักพุทธเช่นกัน” ศีลแปดประนมมือทักทาย
อวี้หลัวช่าจีบนิ้วตรงหน้าอก ย่อตัวเล็กน้อยเพื่อทำความเคารพกลับ “เป็นสหายธรรมเช่นเดียวกับไต้ซือ”
นี่มันสถานการณ์อะไรกัน? เหมียวอี้ที่ชำเลืองมาทางนี้ปวดประสาทเล็กน้อยทำไมอวี้หลัวช่าถึงเปลี่ยนเป็นมีมารยาทขนาดนี้ได้?
อวี้หลัวช่าวางมือลงแล้วชำเลืองเหมียวอี้แวบหนึ่ง ถามว่า “ไต้ซือต้องการจะใช้วัชระสยบมารเพื่อให้หนิวโหย่วเต๋อกำจัดข้าเหรอ?”
“นักพรตหญิงเป็นมารหรือ?” ศีลแปดถาม
“ไม่ใช่” อวี้หลัวช่าปฏิเสธ
“ในเมื่อไม่ใช่มาร แล้วเหตุใดจึงพูดว่าวัชระสยบมาร?” ศีลแปดถาม
“ก่อนหน้านี้ข้าเห็นไต้ซือเดือดดาลโมโหร้าย ต้องการจะถือกระบี่มาสังหารข้า หรือว่าข้ามองผิดไป?” อวี้หลัวช่าถาม
“รูปคือความว่างเปล่า ความว่างเปล่าก็คือรูป” ศีลแปดกล่าว
อวี้หลัวช่าบอกอีกว่า “จะฆ่าจะแกงก็จะให้ตามที่ขอ ไต้ซือไม่จำเป็นต้องนำคำพูดหลอกลวงสาวกมาตบตาข้า”
ศีลแปดประนมมือ “อามิตตาพุทธ ในเมื่อรู้ว่าความเป็นความตายขึ้นอยู่กับชั่วขณะจิตของข้า แล้วจะยังไม่ปล่อยวางเชียวหรือ?”
อวี้หลัวช่าอึ้งทันที คิดในใจว่าใช่แล้ว ถึงอย่างไรอีกฝ่ายก็สามารถเล่นงานข้าให้ถึงตายได้ทุกเมื่อ แล้วข้ายังมีอะไรน่ากังวลอีก?
นางคิดได้แล้ว จึงผ่อนคลายร่างกายและจิตใจทันที ทำความเคารพกลับอีกครั้ง “ขอบคุณที่ไต้ซือชี้แนะ”
ศีลแปดไม่พูดอะไรอีก หันตัวเดินกลับไปข้างกายเหมียวอี้ แล้วเหมียวอี้ก็ถามเขาว่า “เจ้าคุยอะไรกับนาง?”
“ไม่มีอะไร แค่ทักทายกันเฉยๆ” ขณะที่พูดศีลแปดก็นำกระบอกไม่ไผ่ลงมาจากตัวเขา ดึงตะแกรงทิ้งแล้วดม จากนั้นก็โยนทิ้ง แล้วก็หยิบเนื้อแห้งบนตัวเหมียวอี้ขึ้นมาดูอีก จากนั้นก็โยนทิ้งเช่นกัน
“เอ…” เหมียวอี้ที่ตุนเสบียงไว้ยังไม่ชิน จึงยื่นมือออกไปด้วยสีหน้าทนไม่ไหว ต้องการจะนำกลับมา
ศีลแปดกดมือเขาเอาไว้ “มาถึงถิ่นของอาตมาแล้ว จะให้ท่านกินสิ่งนี้ได้ยังไง” พูดจบก็กวักมือ พาเหมียวอี้กลับเข้าไปในศาลา แล้วเตะถังไม้สองสามที “สดใหม่มาก เลี้ยงต้อนรับท่าน”
เหมียวอี้ชำเลืองมอง เห็นในถังไม้มีปลาสองตัว จึงกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “ไม่พอกิน”
“พูดได้ดี!” ศีลแปดหยิบกระบี่ที่วางนอนบนถังไม้ขึ้นมา แล้วเดินออกจากศาลา มือข้างหนึ่งถือกระบี่ มืออีกข้างตั้งฉากตรงหน้าอก
ผ่านไปไม่นาน เหยี่ยวตัวหนึ่งที่ร่อนอยู่บนท้องฟ้าก็บินมา บินวนเหนือศีรษะศีลแปดสองสามรอบแล้วก็ตกลงตรงหน้าเขา จากนั้นก็เหมือนจะตกใจอะไรบางอย่าง กำลังกระพือปีกจะบินหนี ศีลแปดก็ใช้กระบี่แทงมันตกลงพื้นแล้ว
ใช้วิธีการเดียวกัน ไม่นานก็มีกระต่ายป่าสองตัวโผล่ออกมาจากที่ไหนสักแห่ง มันกระโดดปนวิ่งเข้ามาตรงเท้าศีลแปด ผลปรากฏว่ามีจุดจบเหมือนเหยี่ยว ต่างก็ถูกศีลแปดฟันล้มแล้ว
เหมียวอี้พูดไม่ออก อวี้หลัวช่าที่อยู่ไม่ไกลก็งงเช่นกัน
ศีลแปดกวักมือเรียกอวี้หลัวช่าอีก
อวี้หลัวช่าลังเลครู่เดียว แล้วสุดท้ายก็ยังเดินเข้ามา แต่กลับไม่กล้าเข้าใกล้ ค่อนข้างหวาดกลัวกระบี่ในมือศีลแปด กังวลว่ามันจะมาลงบนร่างกายตัวเอง
ใครจะไปคาดคิด ยังไม่ทันให้นางได้เอ่ยปากถามอะไร ศีลแปดก็โยนกระบี่ในมือมาปักตรงหน้านางแล้ว จากนั้นชี้ของที่อยู่บนพื้น “พวกท่านสองคนก็หิวแล้ว ไปกรีดล้างให้สะอาด ย่างก่อนแล้วค่อยกิน” พูดจบก็เดินตรงกลับเข้าไปที่ศาลา แล้วถือถังไม้ออกมานอกศาลาอีก “ยังมีปลาอีกสองตัว”
เหมียวอี้กลับจ้องกระบี่วิเศษตรงหน้าอวี้หลัวช่า ส่วนนางก็จ้องกระบี่วิเศษตรงหน้าตัวเองเช่นกัน
สุดท้าย อวี้หลัวช่าก็ดึงกระบี่มาไว้ในมือ แล้วเก็บอาหารป่าบนพื้นเดินเข้ามา ตอนที่เดินผ่านศาลา นางก็หยิบถังไม้ขึ้นมาอีก เสร็จแล้วเดินไปริมทะเลสาบ นั่งยองๆ กรีดล้างเนื้อสัตว์
เหมียวอี้ยังนึกว่าตัวเองมองผิดไป อวี้หลัวช่าเปลี่ยนเป็นว่านอนสอนง่ายตั้งแต่เมื่อไรกัน ไม่น่าเชื่อว่าสั่งให้ทำอะไรก็ทำอย่างนั้น แม้แต่บ่นสักคำก็ไม่มี?
“เจ้าเอากระบี่วิเศษให้นางได้ยังไง?” เหมียวอี้หันกลับมาถามเสียงเข้ม
“เดี๋ยวให้นางเอากลับมาคืนก็สิ้นเรื่องแล้ว” ศีลแปดทำสีหน้าไม่ใส่ใจ แล้วโน้มตัวลงเปิดไม้กระดานด้านล่าง หยิบกระบอกไม้ไผ่ออกมาหลายอัน “นี่คือสุราผลไม้ที่กลั่นจากลิงในภูเขา รสชาติไม่เลว ดื่มได้เต็มที่เลย ดื่มหมดแล้วข้าจะให้ลิงเอามาส่งให้อีก” จากนั้นก็หยิบห่อผ้าน้ำมันออกมาอีกอัน ปิดฝาไม้กระดาน เดินไปเปิดห่อผ้าน้ำมัน แล้วโยนเสื้อผ้าให้เขา “ท่านสกปรกจนดูไม่ได้ ไปอาบน้ำก่อนเถอะ ข้าไม่มีเสื้อผ้าอย่างอื่น มีแต่จีวรที่ข้าใส่ ถ้าท่านไม่ชอบ ต่อไปข้าค่อยไปฟันกำไลเก็บสมบัติสักสองวง”
………………