พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - บทที่ 1774 เงื้อมมือมารของศีลแปด
หลังจากเดินไปตามทิศทางนี้ได้สักพัก บนป่ารกร้างก็ไม่เห็นการชี้ทางใดๆ เหมียวอี้คอยมองปฏิกิริยาของศีลแปดเป็นระยะ
ใครจะคิดว่าหลังจากนั้นชั่วประเดี๋ยวเดียว กองดินตรงหน้ากองหนึ่งหนึ่งก็กลายเป็นสีดำ มีบางอย่างกำลังเลื้อยขยุกขยิก หลังจากเดินเข้าไปไกล เหมียวอี้ถึงได้พบว่าเป็นฝูงมดไต่ออกมาจากโพรง มดที่หนาแน่นดำเป็นพืดกำลังเดินไปข้างหน้าอยู่บนพื้น ไม่ใช่ทิศทางตรงกันข้ามกับที่ทั้งสองกำลังจะไป
ศีลแปดขยับปากพึมพำเบาๆ สองประโยค ฝูงมดกลับมาอย่างรวดเร็ว ไต่กลับมาที่กองดินอีกครั้ง และไม่นานทั้งหมดก็กลับเข้าไปในโพรงมด
หลังจากเดินเข้ามาใกล้โพรงมด จู่ๆ ศีลแปดก็หยุดอยู่กับที่ แล้วเงยหน้ามองฟ้า เหมียวอี้ก็เงยหน้ามองตาม เห็นเพียงเหยี่ยวนกเขาสองตัวที่บินร่อนอยู่บนฟ้ากำลังร่อนลงมา ไม่นานก็มากระพือปีกอยู่เหนือศีรษะทั้งสอง ศีลแปดกล่าวเบาๆ ว่า “อามิตตาพุทธ!”
เหยี่ยวนกเขากระพือปีกบินขึ้นมาทันที พุ่งขึ้นฟ้าสูงไปโดยตรง จากนั้นก็กางปีกทั้งคู่ร่อนบนฟ้า ร่อนไปยังทิศทางที่ฝูงหมดชี้บอก
หลังจากเหยี่ยวนกเขาบินไปแล้ว ศีลแปดถึงได้วางสองมือลงช้าๆ สีหน้ากลับมาเป็นปกติตามเดิม แล้วหยิบกาน้ำที่สะพายตรงเอวขึ้นมาดื่ม
เหมียวอี้เห็นเขาไม่ก้าวไปข้างหน้าแล้ว จึงอดไม่ได้ที่จะถาม “เหยี่ยวนกเขาสองตัวนั้นกำลังตามหาอวี้หลัวช่าเหรอ?”
ศีลแปดวางกาน้ำแล้วยื่นให้เหมียวอี้ พอเห็นเหมียวอี้ไม่เอา เขาก็เก็บกลับไว้ที่เอวเหมือนเดิม แล้วพยักหน้าตอบว่า “ยืนยันทิศทางที่อวี้หลัวช่าหนีไปได้คร่าวๆ แล้ว นางไม่มีทางค่อยๆ เดินไปแน่นอน จะต้องวิ่งไปแน่ พวกเราเดินหาช้าๆ แบบนี้ ก็เท่ากับเหลือเวลาให้อวี้หลัวช่าเยอะมาก ถ้าเกิดเหตุไม่คาดคิดอะไรขึ้นมาก็จะแย่แล้ว แต่ในเมื่อยืนยันทิศทางของนางได้ ก็ให้เหยี่ยวไปตรวจสอบยืนยันสักหน่อย ตราบใดที่จับตาดูนางเอาไว้ นางก็หนีไม่ได้หรอก”
“พวกเรารออยู่ที่นี่เหรอ?” เหมียวอี้ถาม
ศีลแปดตอบกลั้วหัวเราะ “พี่ใหญ่ ท่านกลับไปก่อนเถอะ ข้าไปคนเดียวก็ได้ เรื่องเล็กแค่นี้ไม่จำเป็นต้องให้พวกเราสองพี่น้องลงมือพร้อมกันหรอก”
“ผู้หญิงคนนี้ไม่ธรรมดา เจ้าไปคนเดียวข้าไม่วางใจ” เหมียวอี้ส่ายหน้า
ศีลแปดเดาะลิ้น “พี่ใหญ่ดูถูกข้าเกินไปแล้ว ท่านกลับไปเถอะ ข้ารับรองว่าจะพานางกลับมาแน่ รับรองว่าถ้ายังเป็นก็จะได้เห็นตัว ถ้าตายแล้วก็จะได้เห็นศพ แล้วอีกอย่างนะ ถ้าท่านอยู่ข้างกายข้าจะทำให้ข้าไม่มีสมาธิได้ง่าย ถ้าเวลานานไปข้าจะรวบรวมสมาธิท่องวิชานี้ไม่ได้”
เหมียวอี้ทำสายตาฉงน สื่อความหมายว่ามีคำถาม เหมือนกำลังถามว่า จริงเหรอ?
ศีลแปดพยักหน้า “พี่ใหญ่ จริงๆ ข้าไม่หลอกท่านหรอก ท่านวางใจ ข้าไปคนเดียวไม่เป็นอะไรแน่นอน”
“เอาอย่างนี้แล้วกัน ข้าไปกับเจ้าเล่นๆ ไม่เข้าใกล้เจ้าหรอก ไม่ส่งผลกระทบกับเจ้าแน่” เหมียวอี้กล่าว
“…” ศีลแปดพูดไม่ออก สุดท้ายก็ยิ้มเจื่อน “ก็ได้!” พูดจบก็เดินก้าวยาวไปข้างหน้า
เหมียวอี้รอจนเขาเดินไปไกลแล้ว ถึงได้เดินตามหลังอย่างช้าๆ
ครั้งนี้เดินไปได้ไม่นาน จู่ๆ บนป่ารกร้างก็มีเสียงดังโครมคราม จุดสีดำๆ ฝูงหนึ่งวิ่งผ่านป่ารกร้างจนฝุ่นตลบอบอวล พอเข้าไปใกล้ถึงได้พบว่าเป็นอาชามังกรฝูงหนึ่งกำลังวิ่งตะบึงอย่างอิสระ
ฝูงอาชามังกรวิ่งผ่านหน้าไปแล้ว แต่ใครจะคิดว่าพวกมันจะเลี้ยวอีก วิ่งอ้อมมาตรงหน้าศีลแปดแล้ว
เหมียวอี้ที่ตามหลังอยู่ไกลๆ ได้แต่มองศีลแปดพลิกตัวขี่บนอาชามังกรตัวหนึ่ง ศีลแปดหันกลับมามองเขาพร้อมชี้สีของท้องฟ้า จากนั้นก็โบกมืออีก เหมียวอี้เข้าใจสิ่งที่ศีลแปดสื่อความหมายแล้ว ศีลแปดกำลังบอกใกล้ค่ำแล้ว ถ้าฟ้ามืดก็จะหาคนลำบาก ให้เขากลับไปก่อน
พอส่งสัญญาณมือเสร็จแล้ว ศีลแปดก็ขี่สัตว์พาหนะไปข้างหน้าต่อ จีวรปลิวสะบัด นำฝูงอาชามังกรฝึกตะบึงออกไป
เหมียวอี้ที่มองอยู่ไกลๆ งงเป็นไก่ตาแตก อยากจะตามแต่ก็ตามไม่ทัน หลังจากอยู่ตรงนั้นได้ครู่หนึ่งก็ทำได้เพียงกลับมา บนดาวเคราะห์ดวงนี้ไม่ปลอดภัย ตลอดทางมานี้เขากับอวี้หลัวช่าเจอกับสัตว์ร้ายไม่น้อยเลย
กระทั่งเหมียวอี้กลับมาถึงหุบผา ท้องฟ้าก็เป็นสีแดงพลบค่ำแล้ว
ส่วนศีลแปดในตอนนี้ก็กำลังอยู่นอกป่าโบราณที่กว้างใหญ่ผืนหนึ่ง เหยี่ยวสองตัวที่บินวนอยู่บนฟ้าสูงเหนือป่าบินเข้ามา บินอยู่ทางซ้ายและขวาของศีลแปด ศีลแปดเข้าใจความหมายของพวกมัน แน่ใจแล้วว่าอวี้หลัวช่าเข้าไปหลบอยู่ในภูเขาใหญ่ที่อันตรายน่ากลัวแห่งนี้ เพียงแต่ไม่รู้ว่าไปหลบอยู่ตรงไหน
ศีลแปดเองก็ทอดถอนใจ เพื่อที่จะหลบหนีเอาชีวิตรอด อวี้หลัวช่าช่างก่อความวุ่นวายเก่งจริงๆ เพื่อที่จะหายไปเงียบๆ นางยังกระโดดลงไปตามกระแสน้ำที่ไหลเชี่ยวด้วย ถ้าไม่ใช่เพราะตัวเองใช้งานเหยี่ยวให้จับตาดูจากบนฟ้าได้ทันเวลา เกรงว่าผู้หญิงคนนี้คงจะหนีพ้นไปได้แล้วจริงๆ ถ้าอยากจะหาอีกก็ต้องใช้ความพยายามมากแน่นอน
เขาขี่อาชามังกรข้ามน้ำข้ามเขาไปตลอดทาง ถึงได้ไล่ตามมาถึงที่นี่
ศีลแปดโบกมือ ปล่อยให้เหยี่ยวสองตัวนั้นจากไป แล้วขี่อาชามังกรสำรวจที่ภูเขาใหญ่ตรงหน้าเงียบๆ จากนั้นก็ประนมมือเหมือนก่อนหน้านี้ บนพื้นหญ้าสองฝั่งก็ปรากฏร่องรอยเหี่ยวเฉา รอยยาวไปตลอดจนถึงในภูเขา ทำให้ดอกไม้บางส่วนพลอยเหี่ยวเฉาไปด้วย สรุปก็คือมีเส้นทางที่ชัดเจนทางหนึ่งปรากฏขึ้น
สุดท้ายก็ลงจากอาชามังกรแล้วพุ่งเข้าไปในป่าภูเขาลึก ส่วนอาชามังกรฝูงใหญ่ข้างหลังก็รออยู่ที่เดิม
ถึงอย่างไรตอนนี้ศีลแปดก็ควบคุมพลังอิทธิฤทธิ์ไม่ได้ ไม่กล้าขี่อาชามังกรพุ่งชนอยู่ในป่า ไม่อย่างนั้นถ้าไปชนกับพวกง่ามไม้ก็จะทนไม่ไหว พอเข้ามาในป่าก็ผ่อนความเร็วลง แล้วเดินไปข้างหน้าช้าๆ ตามทางที่มีร่องรอย
ทะลุผ่านเข้าป่า ขึ้นเขาลงห้วย ข้ามร่องน้ำตามหุบเขา สุดท้ายอาชามังกรก็หยุดอยู่บนหน้าผาของร่องน้ำระหว่างภูเขาแห่งหนึ่ง ร่องน้ำระหว่างภูเขามีสภาพพื้นที่ลึกเกือบสิบกว่าจั้ง โขดหินสูงชะโงกอันตราย ข้างในมีน้ำทั้งเล็กทั้งใหญ่อยู่ไม่น้อย มีเสียงน้ำหยดดังมาเป็นระยะ ทั้งยังมีสัตว์เลื้อยคลานตัวเล็กชนิดต่างๆ ไต่อยู่บนหน้าผาด้วย
ศีลแปดขี่อาชามังกรเดินอ้อมร่องน้ำระหว่างภูเขารอบหนึ่ง หลังจากแน่ใจแล้วว่าร่องรอยหยุดอยู่ที่ร่องน้ำระหว่างภูเขาแห่งนี้ เขาก็มองสภาพอันตรายในร่องน้ำระหว่างภูเขา กำลังจินตนาการถึงภาพที่ผู้หญิงคนนี้ปีนลงไป เขาอดไม่ได้ที่จะทอดถอนใจ ผู้หญิงคนนี้ต้องดิ้นรนขนาดไหนเพื่อจะเอาชีวิตรอด
“อวี้หลัวช่า ไม่ต้องซ่อนแล้ว เจ้าหนีไม่พ้นหรอก ออกมาเสียดีๆ เถอะ” ศีลแปดตะโกนลงไปที่ร่องน้ำระหว่างภูเขาด้านล่าง เสียงดังก้องอยู่ในร่องน้ำระหว่างภูเขา
ตะโกนอยู่พักหนึ่ง แล้วก็รออีกพักหนึ่ง ในร่องน้ำระหว่างภูเขาไม่มีเสียงตอบกลับใดๆ
“อวี้หลัวช่า จะให้อาตมาร่ายอิทธิฤทธิ์บีบให้เจ้าออกมาจริงเหรอ? อย่าให้สุราคำนับมิยอมดื่ม ต้องดื่มสุราลงทัณฑ์!”
ศีลแปดกล่าวเตือน ผลก็คือในร่องน้ำระหว่างภูเขายังไม่มีปฏิกิริยาตอบกลับใดๆ
ศีลแปดส่ายหน้าหัวเราะร่า แล้วนั่งลงช้าๆ ด้วยท่าทางจริงจัง จากนั้นประนมมือสองข้าง ทำสีหน้าท่าทางบริสุทธิ์ผุดผ่องอีกครั้ง
ผ่านไปไม่นาน ในร่องน้ำระหว่างภูเขาก็มีสัตว์เลื้อยคลานชนิดต่างๆ ไต่ขึ้นมา พรั่งพรูเข้าไปในถ้ำเล็กถ้ำใหญ่ทั่วทุกที่ ไม่ใช่แค่เท่านี้ ระหว่างภูเขารอบๆ เริ่มมีเสียงเสียดสีกัน มีงูทั้งตัวใหญ่ตัวเล็กโผล่ออกมา ตัวเล็กก็มีขนาดเท่านิ้ว ตัวใหญ่ก็มีขนาดเท่าถังไม้ มีหลากสีสัน งูนานาชนิดทยอยกันเลื้อยเข้าไปในร่องน้ำระหว่างภูเขา มุดเข้าไปในถ้ำเล็กถ้ำใหญ่
จนถึงตอนสุดท้าย รอบข้างก็มีงูมากขึ้นเรื่อยๆ ราวกับงูทั้งภูเขากำลังเลื้อยมาทางนี้ พรั่งพรูเข้ามาราวกับกระแสน้ำจริงๆ แม้แต่อาชามังกรที่ศีลแปดกำลังขี่ก็ยังกระสับกระส่าย ใต้ขาทั้งสี่มีงูเลื้อยผ่านหนาแน่น
ภายใต้แสงอาทิตย์ยามเย็น ร่องน้ำระหว่างภูเขาดูมืดสลัวเป็นพิเศษ ฝูงงูที่เลื้อยเข้ามาราวกับกระแสคลื่น ก่อให้เกิดลมกลิ่นกลิ่นเหม็นคาว
“ข้าออกไปก็ได้!” ในร่องน้ำระหว่างภูเขามีเสียงร้องตกใจของอวี้หลัวช่าดังขึ้นจากถ้ำห้องหนึ่ง
ผ่านไปไม่นาน ฝูงงูตรงหน้าห้องถ้ำด้านล่างก็หลีกทางออกสองฝั่ง เกิดเป็นทางทางหนึ่ง เงาคนที่สะบักสะบอมเกินทนคลานออกมา ถ้าไม่ใช่อวี้หลัวช่าแล้วจะเป็นใครได้อีก? เพียงแต่จีวรสีขาวพระจันทร์เปียกน้ำแล้ว ชุดแนบติดตัวจนเผยเรือนร่างเย้ายวน เพียงแต่สกปรกมาก เปรอะเปื้อนพวกตะไคร่น้ำเต็มไปหมด ผมยาวยุ่งเหยิง ขณะมองดูฝูงงูรอบๆ ที่ราวกับจะทำให้นางจมมิดได้ทุกเมื่อ ก็ทำให้ในแววตานางเผยความหวาดกลัวอย่างที่ควบคุมได้ยาก เรือนร่างอรชรอ้อนแอ้นสั่นสะท้าน
ถ้าเปลี่ยนเป็นตอนที่นางมีพลังอิทธิฤทธิ์ นางไม่เห็นสัตว์พวกนี้อยู่ในสายตาเลย
เงยหน้ามองด้านบนของร่องน้ำระหว่างภูเขา ก็เห็นศีลแปดขี่อาชามังกรและมองต่ำลงมาหาทาง ใบหน้าอมยิ้มเล็กน้อย เหนือศีรษะของเขามีพระจันทร์เสี้ยว ฉากนี้ดูเหมือนบทกวีอยู่หลายส่วน แต่ในสายตาอวี้หลัวช่า ศีลแปดในตอนนี้กลับเหมือนมารที่น่าหวาดกลัว
หลังจากนางวิ่งนี้ออกจากหุบผาได้สักพัก นางก็กลัวว่าจะถูกตามทันที จึงจงใจเลี้ยวเปลี่ยนทิศทาง พอวิ่งผ่านป่ารกร้างมาเจอแม่น้ำสายหนึ่ง ก็กระโดดลงกระแสน้ำเชี่ยวพร้อมกอดขอนไม้ให้ตัวเองไหลกระแทกลงมาตามน้ำ เดิมทีนึกว่าจะไม่มีใครหานางพบอีก เพียงรอเงียบๆ ให้ถึงวันที่ค่ายกลใหญ่ปิดใช้งานก็พอ แต่ใครจะคิดว่าตอนอยู่ในแม่น้ำจะบังเอิญเห็นเหยี่ยวสองตัวบินร่อนอยู่บนฟ้า เดิมทีก็ไม่ใส่ใจอะไร แต่ผลก็คือพบว่าไม่ว่าตัวเองจะลอยไปไกลขนาดไหน เหยี่ยวสองตัวนั้นก็ตามอยู่บนฟ้าสูงตลอด นางตระหนักได้ถึงความไม่ชอบมาพากลแล้ว หลังจากเจอภูเขาใหญ่ลูกนี้ นางจึงไม่ลังเลที่จะทิ้งท่อนไม้ นางดิ้นรนว่ายน้ำขึ้นฝั่งท่ามกลางกระแสน้ำไหลเชี่ยว หนีเข้ามาในป่าภูเขาตลอดทาง หลบเลี่ยงการสะกดรอยตามจากเหยี่ยวสองตัวนี้ แล้วก็หลบเข้ามาในพื้นที่อันตรายอีก ใครจะคิดว่ายังหนีไม่พ้นเงื้อมมือมารของศีลแปด อีกฝ่ายยังตามมาเจอได้อีก
ใช้ความพยายามไปมากขนาดนี้ ทุ่มเทลำบากลำบนขนาดนี้ แต่กลับได้ผลลัพธ์อย่างนี้ อวี้หลัวช่ารู้สึกอยากจะร้องไห้แต่ไร้น้ำตา
แทบจะไม่มีเวลาให้คิดอะไรมาก อวี้หลัวช่าวิ่งโซเซไปที่หน้าผาทันที ฝูงงูด้านล่างมีแต่หลีกทางให้นาง นางก็แค่วิ่งหนีออกไปตามทางที่ฝูงงูหลีกให้ วิ่งหนีไปหาศีลแปด บนหน้าผาเต็มไปด้วยตะไคร่น้ำ หลายครั้งที่นางเกือบลื่นตกลงไป
นางดิ้นรนปีนขึ้นมา เพิ่งจะยืนยืดตัวตรงได้ ก็มีมือสะอาดข้างหนึ่งยื่นมาตรงหน้านางแล้ว
อวี้หลัวช่าเงยหน้ามอง เป็นศีลแปดที่โน้มตัวยื่นมือมาหานาง มองนางด้วยใบหน้าอมยิ้ม
อวี้หลัวช่าที่สภาพสกปรกมอมแมมกัดริมฝีปาก วางมือบนมือของอีกฝ่าย พอศีลแปดออกแรง ก็ดึงนางขึ้นบนอาชามังกรด้วยกัน
ทั้งสองขี่อาชามังกรตัวเดียวกัน อวี้หลัวช่านั่งหน้า ศีลแปดที่นั่งข้างหลังไม่รังเกียจที่นางสกปรก ใช้มือโอบเอวบางของนาง แล้วเลี้ยวอาชามังกรกลับไป
ร่างกายที่หนาวเย็นแนบชิดเขามาในอ้อมกอดอันอบอุ่น ความรู้สึกเวลาอยู่ท่ามกลางโดดเดี่ยวสิ้นหวังแต่จู่ๆ ก็มีที่พึ่งพิงอันอบอุ่น สิ่งนี้ทำให้อวี้หลัวช่าร้องไห้จนไหล่สั่น น้ำตาไหลพรากอย่างไม่เอาไหน นางกำหมัดทุบต้นขาศีลแปด ร้องไห้สะอื้นพลางด่าเสียงดัง “คนสารเลว! ข้าเกลียดเจ้า! ข้าเกลียดเจ้า…”
นางพบว่าตัวเองเกินเยียวยาแล้วจริงๆ เมื่อเจอกับพระสารเลวคนนี้ ตัวเองก็กลายเป็นผู้หญิงอ่อนแอคนหนึ่ง รอยแดงจากฝ่ามือบนใบหน้ายังไม่หายไปหมดเลย เป็นฝีมือเจ้าสารเลวนี่เช่นกัน
ศีลแปดกอดนางไม่ปล่อย สีหน้าเริงร่าหรรษา ปล่อยให้นางทุบตีไป
ระหว่างทางเจอบ่อน้ำสีมรกตแห่งหนึ่ง อาชามังกรหยุดเดิน ศีลแปดกระโดดลง แล้วยื่นมือดึงอวี้หลัวช่าลงมาอีก อุ้มไว้ในอ้อมกอดแล้ววางลงพื้น
“ตัวเจ้าสกปรกเกินไป ไปอาบน้ำสักหน่อยเถอะ” ศีลแปดชี้ที่บ่อน้ำพร้อมกล่าวด้วยรอยยิ้ม
อวี้หลัวช่ายกมือปาดน้ำตา จ้องเขาพร้อมด่าว่า “ไร้ยางอาย! เจ้าอยากจะเห็นข้าถอดเสื้อผ้าออกหมดอีกใช่มั้ย?”
ศีลแปดจึงตอบปนเสียงหัวเราะ “ใช่ว่าข้าจะไม่เคยเห็น เห็นอีกสักครั้งก็ไม่มีอะไรหายไปหรอก ถ้าเจ้ารู้สึกเสียเปรียบ อาตมาถอดเป็นเพื่อนเจ้าก็ได้ ถึงยังไงก็ถูกเจ้าทำให้สกปรกไปด้วยแล้ว” พูดจบก็จูงมืออวี้หลัวช่ากระโดดลงน้ำพร้อมกัน ละอองน้ำสาดกระเด็น
…………………………