พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - บทที่ 1775 จดจำเพียงวันนี้
พวกใบไม้ตะไคร่น้ำลอยขึ้นจากน้ำ ทั้งหมดแทบจะเป็นสิ่งสกปรกที่มาจากตัวอวี้หลัวช่า
ละอองน้ำกระเพื่อมเคลื่อนไหว ฟองอากาศไหลกลิ้ง สิ่งสกปรกลอยไปตามกระแสคลื่น
สองคนที่ตกลงน้ำโผล่ศีรษะขึ้นมาพร้อมกัน สระน้ำไม่ลึก สูงแค่หน้าอกและไหล่ของทั้งสอง
อวี้หลัวช่ายกมือรูดผมงามไปไว้ด้านหลัง ส่วนมืออีกข้างสลัดไม่หลุด เพราะถูกอีกฝ่ายคว้าไว้แน่นตลอดเวลา
ศีลแปดเช็ดน้ำบนใบหน้า จับมือเรียวสวยของอีกฝ่ายที่กำลังดิ้นรนไม่ยอมปล่อย
สุดท้ายอวี้หลัวช่าก็เลิกดิ้นรนแล้ว ทั้งสองที่กำลังแช่สระน้ำมองกันและกันอยู่ภายใต้แสงจันทร์ จีวรสีขาวพระจันทร์ลอยกระเพื่อมอยู่ในสระน้ำ
ศีลแปดมองนางด้วยใบหน้าอมยิ้ม
ไม่รู้ว่าในดวงตาของอวี้หลัวช่าเป็นน้ำหรือน้ำตา หลังจากจ้องอีกฝ่ายอยู่ตั้งนาน ก็ถามอย่างเจ็บปวดรวดร้าวใจ “ไม่ช้าก็เร็วเจ้าจะต้องฆ่าข้า ทำไมไม่ลงมือซะเลย เจ้าต้องการอะไรกันแน่? ปั่นหัวข้าเหมือนของเล่นสนุกนักหรือไง? ได้ทรมานพุทธะหน้าหยกผู้สง่าน่าเกรงขามแล้วเจ้ารู้สึกประสบความสำเร็จสินะ?”
ศีลแปดออกแรงดึงที่แขน สองคนที่อยู่ในน้ำแทบจะตัวติดกัน สายตาสบประสานกันในระยะใกล้ “อย่างน้อยอาตมาก็ไม่เคยคิดที่จะฆ่าเจ้า”
“หรือพูดได้อีกอย่างว่าข้าเดาไม่ผิด ไม่ช้าก็เร็วเจ้าก็ต้องฆ่าข้าเพื่อหนิวโหย่วเต๋อ ใช่มั้ยล่ะ?” อวี้หลัวช่าถาม
“แล้วเจ้าจะให้ข้าทำยังไง?” ศีลแปดถาม
“ปล่อยข้า!” อวี้หลัวช่าตะคอก
“ไม่ปล่อย!” ศีลแปดกล่าว
“…” อวี้หลัวช่าโบกหมัดอีกข้างเข้ามาทันที ออกแรงทุบตรงหน้าศีลแปด เหมือนเป็นบ้าไปแล้ว
ศีลแปดยังมีใบหน้ายิ้ม ปล่อยให้นางทุบตีต่อไป ผิมน้ำระหว่างทั้งสองโดนตีจนกระเพื่อมสาดกระจาย
รอจนอวี้หลัวช่าทุบตีจนเหนื่อยแล้ว นางก็หยุดพลางหอบหายใจ ศีลแปดดึงเสื้อผ้าตรงหน้าอกออก เห็นเพียงบนหน้าอกข้างขวาถูกตีจนเขียวช้ำเป็นวงใหญ่ ทั้งยังห่อเลือดด้วย ต่อให้อยู่ใต้แสงจันทร์ก็มองเห็นชัดเจน
อวี้หลัวช่ามองบาดแผลตรงหน้าอกเขาอย่างตะลึงงัน เมื่อครู่นี้นางออกแรงเยอะจริงๆ ไม่ได้ออมมือเลย
“แค่กๆ…” จู่ๆ ศีลแปดก็ไอพักหนึ่ง ที่มุมปากมีเลือดไหลออกมา เลือดแดงหยดบนผิวน้ำระหว่างทั้งสองคน
อวี้หลัวช่ามองรอยเลือดที่หยดมาถึงคางเขาอย่างงุนงง แล้วถามด้วยสีหน้าสับสนเป็นพิเศษ “ทำไมเจ้าไม่หลบ?”
“เพราะข้าเต็มใจ” ศีลแปดยิ้มอ่อน
อวี้หลัวช่าพูดไม่ออก มองเขาด้วยสีหน้าเหม่อลอยประเดี๋ยวเดียว สุดท้ายก็แสยะยิ้ม “เหลวไหล! เจ้าต้องมีเจตนาอะไรแน่นอน”
ศีลแปดยิ้มตอบ “ถ้าเจ้าดึงดันจะบอกว่าข้ามีเจตนาอะไร งั้นก็ได้ ตั้งแต่ครั้งแรกที่อาตมาเห็นเจ้า อาตมาก็ชอบเจ้าแล้ว”
ร่างงามของอวี้หลัวช่าสั่นอย่างหาคำตอบนไม่ได้ ทันใดนั้นนางก็พบว่าตัวเองทนสายตาของเขาไม่ไหว เอียงหน้ามองไปอีกด้าน “เจ้าคิดว่าข้าจะเชื่อเหรอ? ข้าไม่ใช่เด็กสามขวบนะ!”
ศีลแปดหัวเราะเบาๆ แล้วบอกว่า “งั้นข้าเปลี่ยนเหตุผลใหม่ ข้าให้เจ้าตบตียกหนึ่ง ระหว่างพวกเราสองคนก็เท่าเทียมกันแล้ว ทำให้เจ้าหายโกรธได้หรือยัง?”
อวี้หลัวช่าหันกลับมา แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงแทบขอร้อง “เจ้าจะเอายังไงกันแน่?”
“ยังไม่เชื่อเหรอ? งั้นอาตมาก็จะพูดความจริงแล้วกัน อาตมาเกิดอารมณ์ทางโลกแล้ว ชอบในรูปลักษณ์ความงามของเจ้า” ศีลแปดกล่าว
“…” อวี้หลัวช่ามองเขาอย่างอึ้งๆ ไม่รู้จะตอบกลับว่าอะไร หลังจากเงียบไปพักใหญ่ถึงได้บอกว่า “เพราะอยากได้ร่างกายของข้าเหรอ?”
“หรือเจ้าก็ไม่เชื่อเหตุผลนี้ด้วยเหมือนกัน?” ศีลแปดถามเหมือนแปลกใจ
อวี้หลัวช่าตอบว่า “ข้าตกอยู่ในมือเจ้าแล้ว ถ้าเจ้าอยากได้ก็เอาไปข่มเหงได้ทุกเมื่อ จำเป็นต้องอ้อมค้อมขนาดนี้ด้วยเหรอ?” ขณะที่พูด สายตานางชำเลืองหน้าอกที่มีรอยช้ำของเขาครู่เดียว
“อาตมาเคยบอกแล้ว จนกระทั่งตอนนี้อาตมายังไม่เคยเสียตัวเลย ไม่รู้ว่าต้องทำยังไง” ศีลแปดกล่าว
“…” อวี้หลัวช่าอ้าปากค้าง จู่ๆ ก็กลั้นขำไม่ไหว หัวเราะจนร่างงามสั่นเทิ้ม สุดท้ายก็ไม่รู้นึกอะไรขึ้นได้ นางหยุดยิ้มกะทันหัน แล้วก้มหน้าบอกว่า “อย่างที่หนิวโหย่วเต๋อบอก ข้าสกปรกมาก นอนกับผู้ชายมากี่คนแล้ว ขนาดข้ายังนับไม่ได้เลย เจ้าแน่ใจนะว่าเจ้ายังต้องการจริงๆ?”
“มิถามไถ่วันวาน มิถามไถ่อดีต มิถามเหตุผล วันนี้มีสุราก็เมามายวันนี้ มิสนขอบฟ้าของวันพรุ่งนี้ จดจำเพียงวันนี้!” ศีลแปดกล่าว
“จดจำเพียงวันนี้…” อวี้หลัวช่าพึมพำอย่างเหม่อลอย นางมองเขาเงียบๆ สุดท้ายก็ค่อยๆ ยกมือขึ้น ดึงเสื้อตรงหน้าอกตัวเองออก เผยหน้าอกอิ่มเอิบขาวเนียนดุจหิมะ ผลไม้สีแดงอยู่บนยอดเนินขาวหมดจด มีหยดน้ำแต้มอยู่บนนั้น ภายใต้แสงจันทร์ หยดน้ำใสดุจผลึกไหลผ่านหน้าอกหยดแล้วหยดเล่า
มืออีกข้างดิ้นรนเล็กน้อย ตอนนี้ศีลแปดปล่อยมือนางแล้ว
อวี้หลัวช่าถอดเสื้อผ้าในขณะที่ตัวแช่อยู่ในน้ำ ต่อให้ถูกทรมานจนเสื้อผ้าหลวมก็ไม่นึกเสียใจทีหลัง นางถอดโยนขึ้นบนฝั่งทีละชิ้น สุดท้ายร่างกายก็เปลือยล่อนจ้อนอยู่ในน้ำ นางเข้าใกล้ศีลแปดอย่างช้าๆ แล้วใช้สองแขนคล้องคอเขา เป็นฝ่ายจูบเขาก่อน เป็นจูบที่ดุดือดเร่าร้อนจนต้องหอบหายใจ เมื่อไฟปรารถนาติดแล้ว แม้แต่นางก็ควบคุมตัวเองได้ยาก
ทั้งสองนัวเนียกันอยู่ในน้ำ สุดท้ายก็เปลือยเปล่าทั้งคู่ แล้วก็มานัวเนียกันต่อบนฝั่ง กลิ้งเกลือกบนพื้นหญ้า
ในป่าภูเขามีเสียงแมลงร้องเป็นพักๆ แสงจันทร์กะรจ่างฟ้า เสียงอันเย้ายวนใจดังไม่หยุด อาชามังกรที่อยู่บนฝั่งส่งเสียงจามเป็นระยะ
คืนนี้อวี้หลัวช่าบ้าระห่ำที่สุด เกิดจิตปฏิพัทธ์อย่างสุดซึ้ง นางเรียกร้องอย่างบ้าระห่ำหลายครั้ง ราวกับกลัวว่าหากผ่านวันนี้ไปแล้วจะสูญเสียทุกอย่างไป สุดท้ายสองร่างก็นอนกอดกันบนพื้น ศีลแปดที่หายใจหอบมองแสงจันทร์ที่สุกประกาย พร้อมกล่าวปนเสียงหัวเราะ “ที่แท้รสชาติก็เป็นอย่างนี้นี่เอง”
อวี้หลัวช่าหลุดขำ “ตอนนี้ข้าเชื่อแล้วว่าเจ้าไม่เคยเสียตัวมาก่อน”
ศีลแปดถอนหายใจ “อาตมาเป็นคนซื่อสัตย์ ไม่เคยพูดโกหก”
“เจ้าซื่อสัตย์ก็แปลกแล้ว” อวี้หลัวช่าพูดเหยียดเขา แล้วเอามือนอนเท้าแขน กระพริบตาถามเขาว่า “งั้นที่เจ้าบอกว่าชอบข้าตั้งแต่มองแวบแรกเป็นเรื่องจริงเหรอ?”
“ตอนนี้ข้าเหนื่อยมากก็เป็นเรื่องจริง เจ้าสามารถฉวยโอกาสฆ่าข้าได้เลย!” ศีลแปดตอบปนเสียงหัวเราะ
อวี้หลัวช่าฟังออกว่าเขาหลบเลี่ยงจะตอบคำถามนี้ นางจึงก้มหน้าใช้ริมฝีปากแดงจูบบนหน้าอกเขา ขึ้นไปนอนบนตัวเขาอีกครั้งแล้วสะบัดผมยาวไว้ด้านข้าง จากนั้นจ้องดวงตางามของเขาพักหนึ่ง ก่อนจะประทับรอยจูบบนริมฝีปากเขาอย่างลึกซึ้ง สุดท้ายก็ก้มหน้าตรงบ่า คลอเคลียจอนผมของเขาพลางพึมพำเบาๆ “คืนนี้ช่างงดงาม!”
สองมือของศีลแปดเลื้อยอยู่บนแผ่นหลังของนาง “เจ้าไม่อยากถามเหรอว่าข้ามีความสัมพันธ์ยังไงกับหนิวโหย่วเต๋อ?”
“ไม่ถามแล้ว” อวี้หลัวช่าส่ายหน้าเหมือนละเมอ “คืนนี้ไม่ถามเรื่องในอดีต วันนี้มีสุราก็เมามายวันนี้ ไม่สนใจท้องฟ้าวันพรุ่งนี้ จดจำเพียงวันนี้! ไม่สนว่าต่อไปเจ้ากับข้าจะเป็นยังไง ข้าหวังว่าเจ้าจะจดจำวันนี้ได้ตลอดไป ข้าคือผู้หญิงคนแรกของเจ้า ข้าหวังว่าเจ้าจะจดจำว่าวันนี้มีเพียงความงดงาม!”
“ที่เราทำกันเมื่อครู่นี้คือการฝึกฌานเสพสังวาสของสำนักหลัวช่าเหรอ?”
“เจ้าทึ่ม! ข้าร่ายอิทธิฤทธิ์ไม่ได้ จะใช้การฝึกฌานเสพสังวาสได้ยังไง? ในอนาคตถ้ายังมีโอกาส ข้าก็จะให้เจ้าได้สมปรารถนา”
หลังจากฟ้าเริ่มสว่าง ทั้งสองก็ใส่เสื้อผ้าที่เปียกชื้น แล้วขี่อาชามังกรด้วยกัน
เพียงแต่ครั้งนี้อวี้หลัวช่านั่งซ้อนข้างหลัง ใช้สองมือคล้องเอวศีลแปด ใช้ทั้งตัวแนบนิดแผ่นหลังศีลแปดอย่างผ่อนคลายมาก สีหน้าเปลี่ยนเป็นอ่อนโยนอย่างเห็นได้ชัด อารมณ์ซับซ้อนหลากหลายในแววตาลดลงไม่น้อยเลย แววตาเปลี่ยนเป็นใสสะอาด ชัดเจนว่าในใจรู้สึกสงบ
อาชามังกรเดินช้าๆ อยู่ในป่าภูเขา ไปรวมกับฝูงอาชามังกรที่รออยู่อีกครั้ง
อาชามังกรที่แบกศีลแปดและอวี้หลัวช่าอยู่นำหน้าฝูง วิ่งตะบึงอยู่ท่ามกลางสายลม เสื้อผ้าของทั้งสองถูกเป่าจนแห้งแล้ว จีวรปลิวสะบัดอยู่ภายใต้ฟ้าขมุกขมัว ผมยาวของอวี้หลัวช่าปลิวไสวท่ามกลางสายลม
อาชามังกรวิ่งตะบึงแฉลบผ่านทุ่งหญ้า กระโดดข้ามลำธาร ทะยานผ่านป่ารกร้าง สุดท้ายก็มาหยุดอยู่บนเนินดินแห่งหนึ่ง
ศีลแปดทอดสายตามองไปไกล “ตรงหน้าก็เป็นหุบผาแล้ว ข้าไม่สะดวกจะขี่สัตว์พาหนะกลับไปกับเจ้าอย่างนี้ ไม่อย่างนั้นพี่ใหญ่จะโกรธมาก เจ้าเดินกลับไปเถอะ”
อวี้หลัวช่าที่กำลังกอดและแนบใบหน้ากับแผ่นหลังเขาตอบอย่างเกียจคร้าน “อืม”
ศีลแปดบอกอีกว่า “เดี๋ยวถ้ากลับไปเจอพี่ใหญ่ เจ้าเองก็ไม่ต้องพูดอะไร ข้าจะห้ามเขาเอง แต่เจ้าจำไว้นะ ว่าต่อไปนี้ห้ามยั่วโมโหพี่ใหญ่อีก”
บนใบหน้าอวี้หลัวช่ากระเพื่อมเผยรอยยิ้ม คำพูดนี้ทำให้ใจนางมีความสุขไร้ที่เปรียบ ตอบเบาๆ อีกว่า “อืม”
ศีลแปดตบขานางเบาๆ “ลงเถอะ”
อวี้หลัวช่าเงยหน้ามองขอบฟ้าที่ขาวสว่างเหมือนพุงปลา แล้วก็มองดวงดาวกับพระจันทร์บนฟ้าที่ยังไม่ถดถอยหายไป พร้อมบอกว่า “ข้าอยากให้เจ้าดูพระอาทิตย์ขึ้นเป็นเพื่อนข้าให้เสร็จก่อน ได้หรือเปล่า?”
ศีลแปดมองขอบฟ้า เขาไม่ได้ตอบอะไร นั่งอยู่อย่างนั้นไม่ขยับไปไหน เท่ากับตอบตกลงแล้ว
อวี้หลัวช่าค่อยๆ แนบใบหน้ากับแผ่นหลังของเขาอีกครั้ง สายลมอ่อนภายใต้ฟ้าสีครามครึ้มพัดผมยาวสยายของนาง ทั้งสองขี่สัตว์พาหนะอยู่บนเนินเงียบๆ เพื่อรอให้รุ่งอรุณผ่านไป ฝูงอาชามังกรที่เดินไปมาข้างล่างเนินดินส่งเสียงจามเป็นระยะ ภาพที่บรรจงวาดไว้ระหว่างฟ้าดินฉากนี้ งดงามมาก!
ยามขอบฟ้าปรากฏแสงสีทอง แสงอันเจิดจ้าระบายย้อมทุกสิ่งในโลก ทำให้ทุกชีวิตรู้สึกว่าตัวเองก็เล็กน้อยแค่นี้เอง เหาะได้บินได้แล้วอย่างไรล่ะ? ใหญ่ก็ใหญ่อยู่อย่างนั้น เล็กก็เล็กอยู่อย่างนั้น ไม่มีใครคงอยู่ได้นานเกินกว่าจักรวาลนิรันดร์นี้ ทุกชีวิตล้วนเล็กน้อยราวกับละอองฝุ่น
ทั้งสองที่อยู่บนสัตว์พาหนะก็ถูกแสงสีทองย้อมระบายเช่นกัน ผมดำขลับของอวี้หลัวช่าที่ปลิวไสวท่ามกลางสายลมเปลี่ยนเป็นสีทองแล้ว ทั้งสองมองไปยังทิศทางเดียวกัน เมื่อได้ชื่นชมทิวทัศน์งดงามตระการตาเช่นนี้ ใบหน้าของนางก็ฉายแววหลงใหลในขณะที่หันเข้าหาแสงสว่าง
ดวงอาทิตย์ขึ้นสูง ฝูงอาชามังกรวิ่งตะบึงไปไกล ทั้งสองเดินเคียงกันลงเนินเขา สุดท้ายก็ก้าวเข้ามาในทุ่งหญ้าบริเวณหุบผาแล้ว
ยิ่งเข้าใกล้หุบผามากขึ้น จู่ๆ อวี้หลัวช่าก็ถามด้วยรอยยิ้ม “เจ้าแคยคิดหรือเปล่า?”
“เคยคิดอะไร?” ศีลแปดงุนงงเหมือนหมอกลงสมอง
อวี้หลัวช่าเอียงหน้ามองเขา เผยรอยยิ้มเห็นฟัน “อย่าบอกนะว่าเจ้าไม่เคยคิด? ตั้งแต่ที่พวกเราเจอกันจนถึงตอนนี้ยังใช้เวลาไม่ถึงสองวันเลย”
“แล้วยังไงล่ะ?” ศีลแปดยังไม่เข้าใจ
“ช่างทึ่มจริงๆ!” อวี้หลัวช่ากระพริบตาหยอกเย้า “เจ้าถูกขังอยู่ที่นี่มาหลายปี เพราะกำลังรอการมาถึงของข้าตลอดเลยใช่มั้ยล่ะ?”
ศีลแปดประนมมือ “อามิตตาพุทธ เจ้าหลงตัวเองเกินไปแล้ว”
“ฮ่าๆ…” อวี้หลัวช่าเปล่งเสียงหัวเราะอย่างมีความสุข จู่ๆ ก็กางแขนวิ่งไปทางหุบผา เหมือนต้องการไปเผชิญหน้ากับทุกสิ่งด้วยความกล้าหาญ
ทว่าความเป็นจริงนั้นโหดร้าย ทันใดนั้นนางก็หยุดอยู่กับที่ หัวเราะไม่ออกแล้ว เพราะเห็นเงารางๆ ยืนค้ำด้ามกระบี่อยู่บนเนินดินเล็กๆ ถ้าไม่ใช่เหมียวอี้แล้วจะเป็นใครไปได้
การปรากฏตัวของเหมียวอี้ทำให้นางตื่นจากฝันกลับสู่ความเป็นจริงทันที
ศีลแปดเดินมาข้างหลังนาง เห็นชัดแล้วเช่นกันว่าคนบนเนินดินคือเหมียวอี้ เขาเกาศีรษะอย่างรู้สึกผิดนิดหน่อย พึมพำว่า “ไม่ใช่ว่าพี่ใหญ่ยืนรอข้าทั้งคืนหรอกใช่มั้ย…” เขาเดาว่ามีความเป็นไปได้สูง
อวี้หลัวช่าที่เงียบไปครู่เดียวพลันเอ่ยถาม “ถ้าข้ากับพี่ใหญ่ของเจ้าสู้กัน เจ้าจะช่วยฝ่ายไหน?”
“ช่วยบ้าอะไรล่ะ! เจ้าจำคำพูดข้าไว้ก็พอ ข้าย่อมมีวิธีการช่วยเจ้าจัดการกับพี่ใหญ่อยู่แล้ว เจ้ารออยู่ตรงนี้ก่อน ข้าให้เจ้าไปเจ้าก็ค่อยไป” ศีลแปดเอียงหน้ากำชับ แล้วเดินก้าวยาวไปข้างหน้า
…………………………