พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - บทที่ 1776 ไม่มีศัตรู
สายลมอ่อนหยุดคนได้ ผมยาวปลิวสะบัด อวี้หลัวช่าหยุดอยู่กับที่ มองตามหลังเขาเดินออกไป
เหมียวอี้ที่ยืนอยู่บนเนินดินเล็กเห็นทั้งสองแล้วเช่นกัน เมื่อเห็นศีลแปดกลับมาอย่างปลอดภัย ในที่สุดเขาก็โล่งใจแล้ว หลังจากศีลแปดวิ่งออกไปคนเดียว เขาก็ไม่ได้หลับตาเลยทั้งคืน เฝ้ารออยู่ที่นี่ตลอด เพราะกังวลที่อวี้หลัวช่าปลิ้นปล้อนเกินไป กลัวว่าจะเกิดเรื่องกับศีลแปด
“พี่ใหญ่!” ศีลแปดวิ่งขึ้นมาที่เนินดิน แล้วชี้อวี้หลัวช่าที่ยืนอยู่ไกลๆ ด้วยใบหน้ายิ้มทะเล้น “ผู้หญิงคนนี้เกาะแกะไม่เลิกจริงๆ ดิ้นรนสู้ตายเก่งมากด้วย ไม่ใช่แค่เปลี่ยนเส้นทางกลางคัน ทั้งยังกระโดดลงแม้น้ำเชี่ยวกราด สุดท้ายก็ไปหลบในป่าไม้โบราณ หลบในร่องน้ำระหว่างภูเขาที่ไร้เดือนไร้ตะวัน แต่ก็ยังถูกข้าจับได้อยู่ดี”
อวี้หลัวช่ากลับมาแล้ว เหมียวอี้ย่อมเห็นแล้ว เขามองประเมินศีลแปดศีรษะจดเท้าแวบหนึ่ง “เจ้าไม่เป็นอะไรใช่มั้ย?”
ศีลแปดกางแขนสองข้าง แล้วกล่าวปนเสียงหัวเราะร่า “ข้าจะเป็นอะไรได้ล่ะ พี่ใหญ่ ท่านคงไม่ได้รอข้างทั้งคืนหรอกใช่มั้ย?”
เหมียวอี้ไม่ได้บอกว่าตัวเองรอมาทั้งคืน ถามเพียงว่า “เจ้าไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว”
พอได้ยินอีกฝ่ายพูดแบบนี้ ศีลแปดก็เข้าใจแล้ว ว่าพี่ใหญ่รอเขาด้วยความเป็นห่วงมาทั้งคืนจริงๆ ทำให้เขารู้สึกผิด เขากับอวี้หลัวช่านัวเนียกันสุขสำราญอยู่ทางนั้น แต่พี่ใหญ่กลับรอเขาอยู่ที่นี่ แต่เขาก็ยังหนังหน้าหนาเหมือนกัน ไม่เป็นอะไรก็ดีแล้วไม่ใช่เหรอ
“เจ้ามีวิธีหาตัวนางกลับมาได้ แต่เจ้าไม่มีวิธีฆ่านางเชียวเหรอ?” เหมียวอี้จ้องอวี้หลัวช่าพร้อมเอ่ยถาม
ศีลแปดเงียบไปพักหนึ่ง ก่อนตอบว่า “ถ้าจะฆ่านางก็ไม่ยากหรอก ไม่ใช่ว่าข้าฆ่านางไม่ได้ แต่ตอนนี้ข้ายังไม่อยากฆ่านาง”
เหมียวอี้สังเกตเห็นความไม่ชอบมาพากลตั้งนานแล้ว ขมวดคิ้วถามว่า “เพราะอะไร? เจ้าคงไม่ได้ถูกความงามของนางล่อลวงหรอกใช่มั้ย?”
ศีลแปดถอนหายใจ “พี่ใหญ่ ท่านไม่ต้องพูดเลย ข้าชอบความงามของนางนิดหน่อยจริงๆ”
เหมียวอี้หน้าดำในชั่วพริบตาเดียว กล่าวเสียงเข้มว่า “สมองเจ้ามีปัญหาเหรอ เจ้าไม่รู้หรือไงว่านางเป็นคนยังไง?”
ศีลแปดโบกมือ “พี่ใหญ่ ไม่ได้เป็นอย่างที่ท่านคิด พูดไปพี่ใหญ่ก็อาจจะไม่เชื่อ เอาเป็นว่าข้าค้นพบแล้ว ว่าเคล็ดวิชาฝึกตนของตัวเองแตกต่างกับพวกท่านจริงๆ ความก้าวหน้าในวรยุทธ์ของพวกท่านต้องอาศัยการฝึกตน แต่ข้ากลับต้องฝึกใจ การต่อต้านปีศาจเฒ่าทำให้วรยุทธ์ข้าสูงขึ้นแบบพรวดพราด ผู้หญิงคนนี้มาที่นี่ได้ไม่ถึงสองวัน จู่ๆ ข้าก็พบว่าวรยุทธ์ตัวเองก้าวหน้าแล้วไม่น้อยเลย ข้าถึงได้เข้าใจกระจ่าง ว่าที่แท้แล้วความงามของนางที่ยั่วยวนข้าก็เป็นการฝึกตนประเภทหนึ่งเหมือนกัน”
เหมียวอี้ถูกทำให้ตกใจแล้วจริงๆ เพราะคำพูดของศีลแปดทำให้เขานึกถึงสิ่งที่จินม่านบอก จินม่านบอกว่าระบำมารสวรรค์เดิมทีเป็นสิ่งที่ศิษย์สำนักหนานอู๋ใช้ฝึกตน อย่าบอกนะว่าบนตัวศิษย์ชาวพุทธอย่างศีลแปดก็ได้ผลเหมือนกัน? ประการต่อมา เรื่องที่ศีลแปดหยุดยั้งพระปีศาจหนานโปแล้ววรยุทธ์สูงขึ้นพรวดพราด เขาเชื่อว่าศีลแปดน่าจะไม่ได้หลอกเขา
พอเป็นแบบนี้ เหมียวอี้ก็อดไม่ได้ที่จะถามด้วยความลังเล “เจ้าแน่ใจนะว่านางช่วยเจ้าเพิ่มวรยุทธ์ได้?”
ศีลแปดพยักหน้าซ้ำๆ “เวลาสั้นๆ เพียงสองวัน วรยุทธ์ข้าก้าวหน้าแล้วไม่น้อย ทุกครั้งที่เข้าใกล้นางก็จะรู้สึกได้ชัดเจนมาก”
“อย่าบอกนะว่านอกจากนางแล้ว ผู้หญิงคนอื่นก็ไม่ทำให้เจ้ารู้สึกว่าวรยุทธ์เติบโต?” เหมียวอี้ถาม
ศีลแปดตอบว่า “ไม่รู้สิ! อย่าน้อยข้าก็ไม่รู้สึกจากตัวปาไห่ กับผู้หญิงที่เคยคลุกคลีด้วยก่อนหน้านี้ก็ไม่รู้สึก”
เหมียวอี้เหล่ตามถาม “เจ้าหมายความว่าจะให้ข้าปล่อยนางไปเหรอ?”
ศีลแปดรีบโบกมือ “พี่ใหญ่เข้าใจผิดแล้ว ต่อให้อาตมาจะเป็นคนไม่รู้จักแยกแยะความสำคัญ แต่การปล่อยนางไปจะไม่เป็นการทำร้ายพี่ใหญ่หรอกเหรอ? ข้าคิดอย่างนี้ ยังไงก็ยังเหลือเวลาอีกหนึ่งปีกว่าค่ายกลใหญ่จะหยุดทำงาน ข้าอยากจะลองอาศัยนางดูหน่อย ว่าจะช่วยข้าเพิ่มวรยุทธ์ได้ถึงขั้นไหน เอาเป็นว่าข้ารับประกันต่อพี่ใหญ่เลย ก่อนที่ค่ายใหญ่จะหยุดทำงาน ข้าไม่ให้นางมีชีวิตรอดออกไปจากที่นี่แน่”
ที่เขาพูดก็ฟังดูดี ที่จริงเพิ่งจะได้รู้รสชาติของเนื้อ ยังไม่หนำอกหนำใจ เกี่ยวบ้าอะไรกับการฝึกตนล่ะ แต่ก็ไม่ใช่คำโกหกเสียทั้งหมด คนแบบอวี้หลัวช่าผ่านผู้ชายมาเยอะเกินไป ถ้าจะให้ศีลแปดชอบอวี้หลัวช่าจากใจจริงก็เป็นไปไม่ได้ ยิ่งเป็นคนเลวก็ยิ่งชอบคนไร้เดียงสา ศีลแปดก็ไม่ใช่คนดีอะไร คนที่เขาชอบก็คือผู้หญิงบริสุทธิ์ไร้เดียงดุจกระดาษขาวคนหนึ่ง นางมีอยู่ในป่าและมีใบหูยาวแหลม
สำหรับผู้หญิงคนหนึ่งที่ตัวเองไม่ได้ชอบ นางไม่ได้ความสำคัญกว่าชีวิตของพี่ใหญ่แน่นอน
“แน่นอน ถ้าพี่ใหญ่ไม่เห็นด้วย ข้าก็จะคิดหาวิธีฆ่านางเลย!” ศีลแปดพูดเสริมอีก
เหมียวอี้เงียบไปสักพัก แล้วถามว่า “ข้ากลัวว่าเวลานานไปแล้วจะเกิดเรื่องขึ้น เจ้าแน่ใจนะว่าควบคุมนางได้?”
ศีลแปดตบอกรับประกัน “พี่ใหญ่วางใจได้ นางหนีไม่พ้นหรอก!”
เหมียวอี้ชำเลืองอวี้หลัวช่าที่อยู่ไกลๆ ปราดหนึ่ง เก็บกระบี่ในมือเข้าฝักตรงเอว “เจ้าจัดการเองตามเห็นสมควรเถอะ! แต่มีจุดหนึ่งที่เจ้าต้องจำไว้ นางจะรอดชีวิตออกจากที่นี่ไม่ได้เด็ดขาด!” พูดจบก็หันตัวเดินออกไป นับว่าอนุญาตศีลแปดแล้ว
ศีลแปดรีบตอบว่า “ต่อให้พี่ใหญ่ไม่บอกข้าก็เข้าใจ” หลังจากมองคล้อยหลังเหมียวอี้เดินไปแล้ว เขาถึงได้หันตัวมาโบกมือให้อวี้หลัวช่า
ผมยาวปลิวไสวตามสายลม อวี้หลัวช่าเดินเข้ามาอย่างไม่รีบร้อน นางเดินมาตรงหน้าศีลแปด มอบรอยยิ้มบางๆ ให้และยื่นมือไปคล้องแขนเขา
ใครจะคิดว่าศีลแปดจะทำตัวราวกับคนใจดำอำมหิต เขารีบหลบเลี่ยงนางแล้วกำชับว่า “เจ้าบ้าไปแล้วเหรอ! ถ้าให้พี่ใหญ่เข้า แม้แต่ข้าก็ปกป้องเจ้าไม่ได้นะ!”
อวี้หลัวช่าหน้าซีดในชั่วพริบตาเดียว เหมือนจะเข้าใจอะไรบางอย่างแล้ว นางหันตัวช้าๆ แล้วเดินไปทางหุบผา
“นี่! ข้าไม่ได้หมายความอย่างนั้นนะ” ศีลแปดตะโกนบอก
อวี้หลัวช่าหันกลับมามอง ลมพัดปอยผมโยกไหวบนใบหน้า นางฝืนยิ้มพร้อมบอกว่า “ข้ารู้แล้ว ไม่ถามเรื่องในอดีต วันนี้มีสุราก็เมามายวันนี้ ไม่สนใจท้องฟ้าวันพรุ่งนี้ เรื่องเมื่อคืนผ่านไปแล้ว” พูดจบก็เดินไปข้างหน้าต่อ
ศีลแปดรีบเดินก้าวยาวเข้าไป แล้วถามด้วยความสงสัย “เจ้าไม่สงสัยเหรอว่าทำไมข้าโน้มน้าวพี่ใหญ่ได้?”
อวี้หลัวช่าตอบไม่ตรงคำถาม “พี่ใหญ่ของเจ้าเป็นคนที่ยอดเยี่ยมมาก กว่าเขาจะเดินมาถึงวันนี้ได้ก็ไม่ง่ายเลย ข้ามองออกว่าเขาดีต่อเจ้ามากจริงๆ” หลังจากพูดจบ นางก็ดูเงียบเป็นพิเศษ
หลังจากเดินมาข้างหุบผา ศีลแปดก็ชี้ทะเลสาบที่อยู่ไกลๆ “ไปที่ริมทะเลสาบนั่นเถอะ ข้าสร้างห้องให้เจ้าริมทะเลสาบ อยู่ริมทะเลสาบจะได้ใช้ชีวิตสะดวก”
อวี้หลัวช่าพยักหน้า “ข้าอยากจะไปหาอาจารย์เจ้าสักหน่อย”
“เจ้าจะไปหาเขาทำไม?” ศีลแปดแปลกใจอีกแล้ว
อวี้หลัวช่าตอบเสียงเรียบ “ก่อนหน้านี้เขาเคยดึงแขนเจ้ากับหนิวโหย่วเต๋อไว้เพื่อให้ข้าหนีไป ข้าจะไปขอบคุณก็สมเหตุสมผลแล้ว” พอพูดจบ นางก็ไม่รอให้ศีลแปดอนุญาต เดินเข้าไปในหุบผาเองแล้ว
ศีลแปดบ่นตามหลัง “ถ้าให้เขารู้ว่าข้าตามเจ้ากลับมา ข้าจะไม่ต้องฟังเขาบ่นอีกเหรอ?”
อวี้หลัวช่าไม่ได้ตอบอะไร
ทั้งสองมาถึงนอกวัดอีกครั้ง เหมียวอี้กำลังนั่งขัดสมาธิตรงข้ามไต้ซือศีลเจ็ด ทั้งสองกำลังคุยกัน ปีศาจโลหิตคอยรินน้ำชาให้อยู่ข้าง
เมื่อเห็นอวี้หลัวช่ากลับมาแล้ว เหมียวอี้ก็แค่เอียงหน้ามองปราดเดียว ส่วนไต้ซือศีลเจ็ดกับปีศาจโลหิตก็ทำสีหน้างุนงง
อวี้หลัวช่าเดินมามองตรงประตูวัดก่อน แล้วหันตัวเดินมาตรงหน้าไต้ซือศีลเจ็ด จากนั้นยกกระโปรงขึ้นเล็กน้อย นั่งคุกเข่าตรงหน้าไต้ซือศีลเจ็ดแล้ว “ขอบคุณไต้ซือที่ช่วยชีวิตข้าไว้ก่อนหน้านี้”
“อามิตตาพุทธ” ไต้ซือศีลเจ็ดส่ายหน้าพลางถอนหายใจเบาๆ “สงสัยอาตมาจะช่วยอะไรเจ้าไม่ได้ เหตุใดต้องมีมารยาทขนาดนี้?”
อวี้หลัวช่าไม่ได้ลุกขึ้น คุกเข่าอยู่ตรงหน้าเขาอย่างนั้น แล้วถามว่า “ไต้ซือ ข้ามีเรื่องหนึ่งอยากจะขอคำชี้แนะ ไม่ทราบว่าจะถามได้หรือไม่?”
เหมียวอี้กับศีลแปดจ้องนางพร้อมกัน ไม่รู้ว่าผู้หญิงคนนี้จะทำชั่วอะไร
ศีลเจ็ดประนมมือ “บอกมาได้เลย”
อวี้หลัวช่าเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วถามว่า “คาดว่าไต้ซือกับหนิวโหย่วเต๋อคงจะมีความสัมพันธ์ที่ไม่ธรรมดาต่อกัน ในเมื่อไต้ซือรู้แล้วว่าข้าเป็นศัตรูของเขา เหตุใดจึงช่วยให้ข้าหนีไปอีก?”
“ศัตรู…” ไต้ซือศีลเจ็ดทำท่าครุ่นคิดพลางกล่าวอย่างเนิบช้า “สรรพสิ่งล้วนเท่าเทียม อาตมาบำเพ็ญมาจนถึงทุกวันนี้ ยังไม่เคยมีศัตรูไม่มีศัตรู!”
“ไม่มีศัตรูสักคนเชียวหรือ?” อวี้หลัวช่าค่อนข้างแปลกใจ
“ไม่มี!” ไต้ซือศีลเจ็ดส่ายหน้า
ใบหน้าอวี้หลัวช่าเต็มไปด้วยความเหลือเชื่อ ถ้าเป็นก่อนหน้านี้ นางยังสงสัยว่าศีลเจ็ดช่วยนางเพราะมีลับลมคมในบางอย่าง บางทีไต้ซือศีลเจ็ดอธิบายอะไรนางอาจจะไม่เชื่อเลยก็ได้ เพราะนางมาหยั่งเชิงเฉยๆ แต่ประโยคที่ว่า ‘ไม่มีศัตรู’ ได้คลายความสงสัยทุกอย่างของนางในรวดเดียว ได้ผลกว่าการอธิบายยาวเหยียดเป็นร้อยพันคำเสียอีก สุดท้ายนางก็พยักหน้าช้าๆ “ข้าเข้าใจแล้ว ขอบคุณไต้ซือที่ชี้แนะ!” จีบนิ้วมุทราคีบบุปผาตรงหน้าอก ย่อตัวขอบคุณ แล้วลุกขึ้นเดินออกไป
แสงแดดแก่กล้า ริมทะเลสาบมีไม้กลมวางอยู่กองหนึ่ง เรือนไม้รูปรังนกยกพื้นสูง ศีลแปดที่เปลือยไหล่ข้างเดียวเหงื่อท่วมตัวราวกับอาบน้ำฝน กำลังปีนขึ้นบนเพิงไม้และควงค้อนตีตรงข้อต่อไม้
ในศาลาที่อยู่ข้างกัน อวี้หลัวช่าที่นั่งพิงอยู่ข้างเสาถือกาน้ำดื่มน้ำช้าๆ บางครั้งก็เอียงหน้ามองศีลแปดที่กำสร้างสร้างบ้านให้นาง มองออกเลยว่าเขาพิถีพิถันกับการสร้างบ้านหลังนี้ขนาดไหน
ดูได้ประเดี๋ยวเดียว จู่ๆ อวี้หลัวช่าก็ลุกเดินออกจากศาลา เดินเข้าไปในบ้านไม้รูปรังนก ชูกาน้ำให้ศีลแปดที่อยู่บนคาน “ลงมาดื่มน้ำก่อน”
ศีลแปดมองแวบหนึง แล้วปีนลงจากคาน ยื่นมือไปรับกาน้ำ แต่ใครจะคิดว่าอวี้หลัวช่าจะหดกาน้ำกลับมาไว้ข้างหลัง แล้วกล่าวด้วยรอยยิ้ม “บอกก่อนว่าเจ้ารักข้า!”
ศีลแปดงงไปชั่วขณะ แล้วกล่างอย่างรู้สึกขำ “เลิกทำเป็นเล่นได้แล้ว ข้ากระหายน้ำ”
อวี้หลัวช่าส่ายหน้าไม่ยอมให้ ถามเพียงบอกว่า “จะพูดหรือไม่พูด?”
ศีลแปดถอนหายใจ “ข้ารักเจ้า พอใจหรือยัง!” สำหรับเขา คำพูดประเภทนี้ไม่มีค่าอะไร พูดได้ง่ายๆ อยู่แล้ว
อวี้หลัวช่ากลับยิ้มอย่างเข้าใจ จากนั้นก็หัวเราะอย่างสดใจทันที ความไม่สบอารมณ์บนใบหน้าเหมือนจะสลายไปราวกับเมฆหมอกใช้ชั่วพริบตาเดียว นางยกกาน้ำชากรอกน้ำใสปากตัวเอง จากนั้นก็โยนไว้ข้างหลัง
ศีลแปดงุนงง “เจ้าเป็นบ้าเหรอ? ข้า…” ยังไม่ทันพูดจบ อวี้หลัวช่าก็กระโจนเข้ามากอด และใช้ปากอุดปากของเขาไว้แล้ว จากนั้นก็กรอกน้ำในปากตัวเองใส่ปากเขา
ศีลแปดดื่มน้ำได้นิดเดียวเพราะวิธีการนี้ เขาต้องการจะผลักนางออก แต่นางกลับกอดแน่นไม่ยอมปล่อย กระซิบข้างหูเขาว่า “ครอบครองข้าสิ!”
“เอ่อ…กลางวันแสกๆ ทำที่นี่ไม่เหมาะสมมั้ง?”
“ข้าเพิ่งดูมา ข้างนอกไม่มีคน”
ศีลแปดมองไปรอบๆ ทันที พบว่าเหมือนจะไม่มีคน จึงไม่เกรงใจแล้วเช่นกัน ไม่นานก็ถอดเสื้อผ้าอวี้หลัวช่าออกจนหมด…
หลังจากนั้นสองวัน วิญญาณศักดิ์สิทธิ์ในวัดก็ส่งเสียงแกร๊กๆ บนตัววิญญาณศักดิ์สิทธิ์ที่เหมือนรูปปั้นเริ่มเกิดรอยแตก สุดท้ายก็แตกออก ร่างกายที่เปล่งแสงสีทองยืนขึ้นอีกครั้ง เปลือกที่แตกตกลงพื้นกลายเป็นเถ้าปลิวหายไปอย่างลึกลับ ส่วนนอกประตู เสียงสวดมนต์ของปีศาจโลหิตก็ดังขึ้นอีกครั้งเช่นกัน
เหมียวอี้ยืนรอตรงหน้าประตู จึงได้เห็นฉากปาฏิหารย์นี้กับตาตัวเอง
ดวงตาเพลิงทองของพระปีศาจหนานโปจ้องเหมียวอี้ ลอยเข้ามาช้าๆ ทั้งสองจ้องประเมินกันโดยมีประตูใหญ่ล่องหนกั้น
“เจ้าก็คือหนิวโหย่วเต๋อเหรอ?” พระปีศาจหนานโปส่งเสียงดังก้อง
เหมียวอี้แปลกใจนิดนห่อย “เจ้าเคยได้ยินชื่อข้ามาก่อนเหรอ?” สิ่งนี้ทำให้เขารู้สึกเป็นเกียรติอยู่บ้าง
พระปีศาจหนานโปมองไปทางปีศาจโลหิตที่สวดมนต์อยู่ข้างนอก “ทุกคนที่มีคนมาที่นี่ ข้าจะถามถึงเรื่องราวข้างนอก ในปีนั้นตอนนางถูกข้าควบคุม ข้ารู้มาจากปากนาง”
“แล้วเจ้ารู้ได้ยังไงว่าข้าคือหนิวโหย่วเต๋อ?” เหมียวอี้แปลกใจอีก
………………………