พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - บทที่ 1778 สองพี่น้องที่สติแตก
ทว่าหลังจากผ่านคืนนี้ไป ท่าทีของอวี้หลัวช่าต่อศีลแปดก็เหมือนจะเปลี่ยนไปนิดหน่อย นางไม่ทำตัวบ้าระห่ำตามศีลแปดไปทุกที่อีกแล้ว ไม่ให้ศีลแปดแตะต้องนางตามอำเภอใจด้วย ใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่ในเรือนไม้ริมทะเลสาบเงียบๆ เคลื่อนไหวมากสุดก็แค่เดินเล่นริมทะเลสาบ เก็บดอกไม้ป่าไปประดับด้านนอกเรือนไม้
ศีลแปดที่ตัวติดกับนางแทบทุกวันเป็นเวลาหนึ่งปีกว่าก็เบื่องแล้วพอดี พออวี้หลัวช่ามีท่าทีแบบนี้ เขาเองก็ได้แต่เข็นเรือไปตามน้ำแล้ว
ดังนั้นเมื่อมีเวลาว่าง ศีลแปดก็มักจะวิ่งไปหาเหมียวอี้ ถึงขนาดตามไปดูเหมียวอี้ฝึกการต่อสู้ในภูเขา
ท้องฟ้าสีคราว ภูเขาเขียวขจี ภายใต้น้ำตก เหมียวอี้ที่เปลือยกายครึ่งตัวกำลังถูกกระแสน้ำกระแทกกล้ามเนื้อที่แข็งแรงบึกบึน
ภายใต้น้ำตกที่ไหลเชี่ยวส่งเสียงดัง สุดท้ายเหมียวอี้ที่หมดแรงก็ถูกกระแสน้ำซัดลงไปในน้ำแล้ว เขาว่ายน้ำกลับขึ้นมาบนฝั่งแล้วหอบหายใจ
ศีลแปดที่กัดดอกไม้ดอกหนึ่งไว้ในปากเดินเอ้อระเหยมาจากด้านข้าง เขานั่งยองๆ ข้างเหมียวอี้ ดึงดอกไม้ในปากมาไว้ที่มือ แล้วก้มมองพลางหัวเราะร่า “ข้าว่านะพี่ใหญ่ ท่านกำลังกลั่นแกล้งตัวเองชัดๆ!”
เหมียวอี้ไม่สนใจเขา หลับตาพักผ่อนครู่เดียว รอจนลมหายใจคงที่แล้ว ก็พลิกตัวกระโดดลงน้ำอีก อาบน้ำแล้วปีนขึ้นฝั่ง รับเสื้อผ้าแห้งที่ศีลแปดยื่นให้มาเปลี่ยน แล้วถามว่า “ช่วงนี้เจ้าเหมือนจะว่างมากนะ”
เขาเองก็สังเกตเห็รได้ ช่วงนี้ศีลแปดขยันวิ่งมาหาเขามาก
ศีลแปดหัวเราะแห้ง “ข้าก็เป็นอย่างนี้มาตลอด” เขาเองก็กลุ้มใจเช่นกัน ไม่รู้ว่าอวี้หลัวช่าเล่นลูกไม้อะไร ไม่ให้เขาแตะต้องมาหลายเดือนแล้ว
“ผ่านไปปีกว่าแล้ว เจ้ากับนางคลุกคลีกันมาถึงตอนนี้ วรยุทธ์ก้าวหน้ายังไงบ้าง?” เหมียวอี้ถาม
ศีลแปดรีบพยักหน้าตอบอย่างร่าเริง “พอได้ พอได้ มีความก้าวหน้าบ้าง” คำตอบค่อนข้างคลุมเครือ
“เหลือเวลาอีกไม่ถึงหนึ่งปีแล้ว” เหมียวอี้ที่มัดผ้าคาดเอวแน่นเอ่ยเตือนเสียงเรียบ
ศีลแปดหัวเราะไม่ออกนิดหน่อย รู้ว่าเหมียวอี้หมายถึงอะไร หยักหน้าขานรับ “อืม” คำเดียว
พอเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้ว เหมียวอี้ก็ยกมือตบบ่าเขาเบาๆ “เจ้ารอง เหลือเวลาอีกไม่มาก อย่ายื้อเวลาต่อเลย ผู้หญิงคนนั้นไม่ธรรมดา ใกล้ถึงเวลาที่ค่ายกลใหญ่จะปิดใช้งาน เป็นไปได้สูงว่านางจะเกิดความคิดชั่วร้ายอะไรขึ้นมา รอจนถึงตอนนั้นไม่ได้ ต้องกำจัดล่วงหน้า!”
คำพูดนี้เท่ากับเตือนศีลแปดแล้ว ช่วงนี้อวี้หลัวช่าก็ดูไม่ค่อยปกติด้วย อย่าบอกนะว่ามีความคิดชั่วร้ายอะไรจริงๆ?
แต่คนเราเกิดความผูกพันกันแล้ว ในเวลาหนึ่งปีกว่ามานี้ เขากับอวี้หลัวช่ามีความสุขด้วยกัน อยู่ด้วยกันทุกวัน เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่เกิดความผูกพันสักนิดเลย พอนึกว่าจะต้องลงมือกับอวี้หลัวช่า จู่ๆ เขาก็เกิดกลัวขึ้นมา ได้แต่ก้มหน้าแล้ว
เหมียวอี้สังเกตได้ถึงปฏิกิริยาที่ผิดปกติของเขา จึงจ้องเขาอย่างเย็นเยียบ “เจ้าคิดจะปล่อยนางไปเหรอ? เจ้าเชื่อมั้ยว่าพอพลังอิทธิฤทธิ์ของนางกลับมา คนแรกที่นางจะฆ่าก็คือข้า!”
ศีลแปดถอนหายใจ “พี่ใหญ่ ข้าไม่ได้หมายความอย่างนั้น ถึงยังไงข้าก็อยู่กับนางมาปีกว่า ข้ารู้สึกว่านางก็ไม่เลว บางทีเรื่องอาจไม่ได้เลวร้ายอย่างที่ท่านคิดก็ได้…”
เหมียวอี้ผลักไหล่เขาออก แล้วกล่าวถามเสียงต่ำ “เจ้าคิดจะพูดอะไร?”
ศีลแปดส่ายหน้า “พี่ใหญ่ ข้าไม่ได้หมายความอย่างนั้น ถึงยังไงก็อยู่ด้วยกันมาช่วงหนึ่ง ข้ารู้สึกว่านางก็ไม่เลวจริงๆ นะ เริ่มมีความรู้สึกของสหายแล้ว ข้าทำใจฆ่านางไม่ลง!”
เหมียวอี้ “นางก็ไม่เลวเหรอ? หึหึ อะไรทำให้เจ้ารู้สึกว่านางไม่เลว? นั่นคือสิ่งที่นางขอร้องเจ้า นางอยากจะผ่านเคราะห์ครั้งนี้ไป สหายเหรอ? นางมีฐานะอะไร? เป็นพุทธะหน้าหยกผู้สง่าน่าเกรงขาม ฐานะสูงส่ง ในสายตานางเจ้านับเป็นตัวอะไร? คนที่อยู่ระดับอย่างนาง เจ้าคิดว่าเป็นไปได้เหรอที่นางจะมาเป็นสหายเจ้า? เจ้าเปลี่ยนเป็นคนในอ่อนแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไร? นี่ไม่เหมือนนิสัยเจ้าเลยนะเจ้ารอง! ลงมือไม่ได้เหรอ? ไม่เป็นไร เดี๋ยวข้าลงมือเอง แต่เจ้าต้องช่วยข้านะ ต้องโจมตีโดนจุดสำคัญ กำจัดปัญหาให้สิ้นซาก!”
ภายใต้สายตาที่กดดันของเหมียวอี้ ศีลแปดทำสายตาลอกแล่ก ไม่กล้ามองอีกฝ่ายตรงๆ เขาอยากจะขอให้พี่ใหญ่ปล่อยอวี้หลัวช่าไปจริงๆ แต่เรื่องบางเรื่องเขาเองก็ไม่มีความมั่นใจเช่นกัน ไม่มีทางแน่ใจด้วย เขารับประกันได้เหรอว่าเมื่อพลังอิทธิฤทธิ์ของอวี้หลัวช่ากลับมาแล้ว นางจะทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นแล้วปล่อยพี่ใหญ่ไป? ถ้านางไม่ปล่อยไป เช่นนั้นเขาก็รับผิดชอบผลที่ตามมาไม่ไหว และไม่กล้าจินตนาการถึงผลที่ตามมาด้วย ตอนนี้พี่ใหญ่เกี่ยวข้องกับชีวิตคนในครอบครัวหลายชีวิต พวกพี่สะใภ้จะต้องเป็นหม้าย เยว่เหยาก็ต้องเป็นม่ายเช่นกัน เกรงว่าเจ้าสามคงจะไม่ให้อภัยเขาไปทั้งชีวิต เขาไม่กล้าเสี่ยงกับเรื่องนี้
เมื่อเปรียบเทียบกันอย่างนี้แล้ว ความสำคัญของอวี้หลัวช่าก็ยังสู้ฝั่งนี้ไม่ได้ ตอนนี้ความรู้สึกที่เขามีต่ออวี้หลัวช่ายังไม่นับว่าเป็นความรัก เป็นเพียงความผูกพันเท่านั้น
หลังจากใช้ดุลยพินิจพักหนึ่ง ศีลแปดก็เงยหน้า แล้วตอบด้วยรอยยิ้มฝืนๆ “ได้! ข้าเข้าใจแล้ว”
“พักผ่อนหนึ่งวัน บำรุงสะสมกำลัง คุยกันเรื่องสถานที่ลงมือ!” เหมียวอี้ตบบ่าเขาอีก แล้วหันตัวเดินออกไป
ศีลแปดก้มหน้าเดินตามหลังเขา…
หลังจากนั้นหนึ่งวัน ศีลแปดก็ยืนนอกเรือนไม้ยกพื้นสูงริมทะเลสาบ เขาลังเลอยู่นานมาก ไม่กล้าเข้าไปหาอวี้หลัวช่า
กลับเป็นอวี้หลัวช่าที่ออกมาเดินเล่นริมทะเลสาบในช่วงนี้ของทุกวัน พอเปิดประตูมาเจอศีลแปดอยู่ข้างนอกก็อึ้งเล็กน้อบ นางเดินลงบันไดไม้พร้อมถามด้วยรอยยิ้ม “เจ้ายืนทำอะไรอยู่ข้างนอก?”
ศีลแปดเงยหน้า ทำให้อวี้หลัวช่าตกใจทันที เห็นศีลแปดมีสีหน้าห่อเหี่ยว ขอบตาดำคล้ำ เหมือนไม่ได้นอนพักผ่อนมานานมาก
อวี้หลัวช่าใช้สองมือประคองใบหน้าเขา แล้วถามด้วยความตกใจ “เจ้าเป็นอะไรไป?”
ศีลแปดแกะมือนางออก แล้วฝืนยิ้มบอกว่า “ข้าไม่เป็นอะไร แค่เปลืองแรงไปนิดหน่อย ทำอะไรใหม่ๆ ไว้ให้เจ้าดู”
“ของอะไร?” อวี้หลัวช่าอยากรู้
ศีลแปดกินปูนร้อนท้องนิดหน่อย เขาหลบสายตานางพร้อมตอบว่า “เจ้าตามข้ามาแล้วก็จะรู้เอง ไม่ไกลหรอก อีกประเดี๋ยวก็เห็นแล้ว” พูดจบก็หันตัวเดินออกไป
อวี้หลัวช่าตะลึงงัน แววตาวูบไหวร้อนรน เหมือนจะเข้าใจอะไรบางอย่างแล้ว นางมองเงาหลังเขาอย่างเหม่อลอย แล้วก็หันหน้าช้าๆ ไปมองบ้านที่เขาสร้างให้นาง นี่ก็คือบ้านของนาง นางใช้ชีวิตอยู่ที่นี่อย่างสุขสำราญไร้กังวล ในดวงตาเต็มไปด้วยความอาลัยอาวรณ์ ราวกับว่าพอก้าวออกไปแล้วจะไม่ได้กลับมาอีก
“ไปสิ!” ศีลแปดหันกลับมามองแวบหนึ่ง พบว่าอวี้หลัวช่ายังยืนนิ่งอยู่กับที่ จึงพูดเร่งนาง
อวี้หลัวช่าก็ฝืนเจียดรอยยิ้มเช่นกัน นางเดินจามไปแล้ว
ตลอดทางที่เดินมานี้ ทั้งสองไม่ได้พูดอะไรเลย ศีลแปดเดินกึ่งก้มหน้าอยู่ข้างหน้า ส่วนอวี้หลัวช่าก็เดินมองเงาหลังของเขาด้วยสายตาเลื่อนลอย ตามหลังอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล
ทั้งสองเดินเข้ามาในหุบเขาแห่งหนึ่ง อวี้หลัวช่าหันซ้ายหันขวามองประเมินหุบเขาที่โล่งเตียน จู่ๆ ศีลแปดก็หยุดอยู่ในหุบเขา นางเองก็หยุดแล้วเช่นกัน
ศีลแปดหันกลับมาฝืนยิ้ม “เจ้ารออยู่ที่นี่สักครู่ เดี๋ยวข้าจะรีบกลับมา”
เขาเพิ่งจะเดินไปได้ไม่กี่ก้าว จู่ๆ อวี้หลัวช่าที่อยู่ข้างหลังก็ตะโกนเสียงดัง “ศีลแปด!”
ศีลแปดหันตัวมา แล้วฝืนยิ้มปลอบใจนาง “ไม่นานก็กลับมาแล้ว”
บนใบหน้าอวี้หลัวช่าปรากฏรอยยิ้มอ่อนๆ “เจ้านึกเสียใจทีหลังหรือเปล่า?”
ศีลแปดรู้ว่านางกำลังถามถึงอะไร นางกำลังถามว่าเขาอยู่กับนางแล้วนึกเสียใจทีหลังหรือไม่? เขาส่ายหน้าสื่อว่าไม่เสียใจ
รอยยิ้มบนใบหน้าอวี้หลัวช่าเริ่มสดใสขึ้นทีละนิด แต่ในดวงตามีน้ำตาเอ่อเล็กน้อย
ศีลแปดไม่มีทางเผชิญหน้ากับนางได้ เขาหันตัวกลับไป แล้วเดินไปข้างหน้าด้วยสีหน้าหดหู่ ขณะเดียวกันก็เริ่มประสมมือตรงหน้าอก
กลิ่นอายสัตว์ร้ายโชยเข้ามาในหุบเขา ตรงทางออกของหุบเขา เหมียวอี้ที่กำลังถือกระบี่ปรากฏตัวแล้ว ข้างหลังมีหมาป่าฝูงหนึ่งตามมา ส่วนอีกด้านหนึ่งตรงที่ศีลแปดกำลังเดินไป ก็ปรากฏหมาป่าฝูงหนึ่งเช่นกัน หมาป่าดักไว้สองด้านแล้ว
อวี้หลัวช่ามองข้างหน้าและข้างหลังแวบหนึ่ง แล้วหันตัวไปเผชิญหน้ากับเหมียวอี้ที่ประชิดเข้ามา เหมือนทุกอย่างอยู่ในการคาดเดาของนางอยู่แล้ว สีหน้าจึงดูสุขุมสงบนิ่งเป็นพิเศษ น้ำเสียงก็ฟังดูใจเย็นกว่าปกติเช่นกัน “ศีลแปด เจ้ารู้หรือเปล่าว่าทำไมหลายเดือนมานี้ข้าไม่ให้เจ้าแตะต้องข้า?”
นางให้คำตอบด้วยการกระทำจริง ใช้มือข้างหนึ่งกดเบาๆ ระหว่างหน้าท้อง รูดจีวรตัวใหญ่หลวมลง เผยให้เห็นท้องน้อยที่ยืนออกมา
เหมียวอี้ที่ถือกระบี่เดินประชิดเข้ามาอย่างดุร้าย ตอนนี้ยืนงงเป็นไก่ตาแตกอยู่ที่เดิม ดวงตาทั้งคู่แทบจะถลนออกมา เขาจ้องท้องยื่นของอวี้หลัวช่าพร้อมนึกเชื่อมโยงกับคำพูดของนาง เดาได้ไม่ยากว่าว่าท้องยื่นหมายความว่าอะไร
อวี้หลัวช่าหันตัวกลับมาอีก เผชิญหน้ากับศีลแปดที่หันหลังให้นางและเดินไปข้างหน้าต่อ “เจ้าพาข้ามา บอกว่ามีของจะให้ข้าดู ข้าก็เลยมีของมาให้เจ้าดูเหมือนกัน ศีลแปด เจ้าไม่อยากดูสักหน่อยเหรอ? ถ้าเจ้าไม่ดู เจ้าจะต้องเสียใจไปตลอดชีวิต!”
ศีลแปดที่กำลังประนมมือหันกลับมามองแวบหนึ่ง พอเห็นอวี้หลัวช่าเผยท้องยื่นแบบนั้น เขาก็ราวกับถูกฟ้าผ่าในชั่วพริบตาเดียว ทั้งตัวยืนค้างอยู่ที่เดิม ตกตะลึงพรึงเพริดของจริงแล้ว
ในที่สุดเขาก็เข้าใจแล้วว่าทำไมหลายเดือนมานี้อวี้หลัวช่าไม่ให้เขาแตะต้อง ไม่อย่างนั้นก็ไม่สามารถปิดบังสภาพที่แท้จริงของท้องนี้ได้เลย จู่ๆ เขาก็นึกขึ้นได้ถึงคำพูดครั้งนั้นของอวี้หลัวช่า นางบอกว่าไม่อยากกลับไปเป็นพุทธะหน้าหยกแล้ว อยากจะอยู่เป็นสามีภรรยากับเขาที่นี่
อวี้หลัวช่าหันตัวไปหาเหมียวอี้อีก แล้วกล่าวอย่างใจเย็น “ถ้าพูดถึงความห้าวหาญแข็งแกร่งของกายเนื้อ ข้าก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเจ้าหรอก โดยเฉพาะในสภาพแวดล้อมแบบนี้ มิหนำซ้ำข้ายังตั้งท้องด้วย ไม่มีทางสู้กับเจ้าได้เลย ถ้าลงมือก็ตายสถานเดียว หนิวโหย่วเต๋อ ถ้าจะฆ่าข้าก็ตามใจเจ้าเถอะ ข้าจะไม่โต้ตอบ!”
เหมียวอี้เรียกสติกลับมาจากความตกตะลึง แล้วแสยะยิ้ม “อย่ามาใช้ลูกไม้นี้ เจ้ารองของข้าถูกอาจารย์ระงับจุดหยางแล้ว ไม่มีทางที่จะเกิดเรื่องแบบนั้นกับเจ้า!”
อวี้หลัวช่าปรายตามอง ลักษณะพลังอำนาจของพุทธะหน้าหยกปรากฏขึ้นในชั่วพริบตาเดียว นางกล่าวอย่างเย็นชาว่า “ข้ากับเจ้ารองของเจ้าเคยทำเรื่องอย่างนั้นกันหรือเปล่า ผู้กระทำย่อมรู้ชัดที่ที่สุด ทำไมเจ้าไม่ถามเจ้ารองของเจ้าดูบ้างล่ะ?”
สายตาเหมียวอี้จ้องตรงไปยังศีลแปดที่อยู่อีกฝั่ง ถ้ามด้วยน้ำเสียงเดือดดาล “เจ้ารอง บอกข้ามา เด็กในท้องนางเป็นของเจ้าหรือเปล่า!” ที่จริงเขากำลังหลอกตัวเอง ต่อให้ใช้ก้นคิดก็คิดออก ถ้าไม่ใช่ศีลแปดแล้วจะเป็นลูกใครได้ล่ะ ที่นี่มีผู้ชายสามคน เขาไม่มีเคยมีความสัมพันธ์อย่างนั้นกับอวี้หลัวช่า ตัวเขาเองจะไม่รู้เชียวหรือ ส่วนไต้ซือศีลเจ็ดก็เป็นไปไม่ได้เลยที่จะทำซี้ซั้วกับอวี้หลัวช่า แต่เขาก็ยังกอดความหวังเล็กๆ เอาไว้ ไม่แน่ว่าไต้ซือศีลเจ็ดอาจจะศีลขาดก็ได้ ทุกเรื่องล้วนเป็นไปได้
หลังจากศีลแปดเรียกสติกลับมา ก็อุทานถามว่า “เป็นแบบนี้ได้ยังไง?”
อวี้หลัวช่าเอียงหน้าปรายตามอง “เจ้าถามว่าทำไมถึงเป็นแบบนี้เหรอ? ตอนนี้ข้าควบคุมพลังอิทธิฤทธิ์ไม่ได้ บางอย่างทำได้แค่ปล่อยตามธรรมชาติ ตอนเจ้ามีความสุขกับร่างกายข้า ก็น่าจะนึกออกสิว่านี่คือเรื่องที่ต้องเกิดขึ้นในไม่ช้าก็เร็ว มาตกใจตอนนี้ไม่เกินไปหน่อยเหรอ?”
ศีลแปดยืนเหม่ออยู่ที่เดิมราวกับไก่ไม้ ขอบตาสองข้างดำคล้ำ ทำสีหน้าราวกับสติแตก
ทันใดนั้น เหมียวอี้เคลื่อนไหวแล้ว ถือกระบี่พุ่งมาข้างหน้า
อวี้หลัวช่าชำเลืองปราดหนึ่ง แล้วเชิดหน้าขึ้น ยื่นคอออกไป หลับตายืนเงียบอยู่ที่เดิม
เหมียวอี้ที่พุ่งเข้ามาโบกกระบี่ไปที่คอนาง ส่วนมืออีกข้างก็คว้าข้อมือนางเอาไว้ วัดชีพจรให้นาง
เขายังสงสัยว่าท้องของอวี้หลัวช่าเป็นของปลอมหรือไม่ ต่อให้ศีลแปดมีความสัมพันธ์อะไรกับนาง แต่พุทธะหน้าหยกผู้สง่าผ่าเผยจะยอมมาตั้งท้องลูกให้ศีลแปดได้อย่างไร
แต่ผลจากการวัดชีพจรก็ทำให้เหมียวอี้สติแตกมาก ท้องนั้นเป็นของจริงจนไม่รู้จะจริงอย่างไรแล้ว กระบี่ที่จ่อคออวี้หลัวช่าร่วงลงทันที เขาพุ่งเข้าไปหาศีลแปดด้วยสีหน้าโกรธเกรี้ยวเดือดดาล
……………