พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - บทที่ 1779 ไอ้ลูกตะพาบ
เมื่อเห็นพี่ใหญ่มีท่าทางอย่างนั้น ศีลแปดก็กลัวแล้ว รู้ว่ากำลังจะเกิดอะไรขึ้น ด้วยสันดานของเขาจะต้องวิ่งหนีทันทีแน่นอน ทว่าฝั่งนี้ก็กลัวพี่ใหญ่ แต่กลับกลัวท้องของอวี้หลัวช่ามากกว่า หางตาเห็นพี่ใหญ่พุ่งเข้ามาพร้อมความเกรี้ยวกราดแล้ว แต่สายตากลับยากที่จะละออกจากท้องของอวี้หลัวช่า เท้าตัวเองก็ก้าวขยับลำบากเช่นกัน
“พี่ใหญ่ โอ๊ย…” ศีลแปดร้องครวญคราง ถูกเหมียวอี้ที่พุ่งเข้ามากระโดดเตะ โดนเตะจนกระเด็นออกไป พอตกลงพื้นก็กระอักเลือดคำหนึ่ง แล้วเอาก้นถูพื้นคลานไปข้างหลังอย่างลนลาน พร้อมร้องบอกด้วยน้ำเสียงหวาดกลัว “พี่ใหญ่ พี่ใหญ่ท่านฟังข้าก่อน…”
เขาเริ่มร้องครวญครางไม่หยุด เอามือกุมศีรษะกลิ้งไปทั่วพื้น
“ไอ้ลูกตะพาบ! เจ้าให้ข้าส่งนางให้เจ้าจัดการ แล้วเจ้าก็จัดการแบบนี้เหรอ?”
“ไอ้ลูกตะพาบ! เจ้าบอกให้ข้าเชื่อเจ้า ข้าเชื่อจนเกิดผลลัพธ์แบบนี้เหรอ?”
“ไอ้ลูกตะพาบ! เพิ่มวรยุทธ์อะไรล่ะ เจ้าเพิ่มวรยุทธ์ให้สูงที่ไหนกัน? กลับไปเพิ่มท้องของนางให้สูงขึ้นแล้ว…”
“เจ้าหลบไปไหน? ข้าให้หลอกให้หนำใจ! ข้าให้เจ้าหลอกให้เต็มที่! ข้าจะตีเดรัจฉานอย่างเจ้าให้ตาย…”
เหมียวอี้ด่าอย่างบ้าคลั่ง เรียกได้ว่าใช้ทั้งหมัดชกใช้ทั้งเท้าเตะ ซ้อมจนศีลแปดร้องขอชีวิตไม่หยุด โชคดีที่เหมียวอี้ไม่ได้ถือกระบี่ไปฟัน
ฝูงหมาป่าที่ดักอยู่ตรงสองฝั่งของหุบเขาแยกย้ายไปตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้
อวี้หลัวช่ายังไม่ได้หนีไป เพียงยืนดูเหมียวอี้ซ้อมศีลแปดเงียบๆ เมื่อดูไปสักพักแล้วไม่เห็นเหมียวอี้หยุด สุดท้ายก็อดไม่ได้ที่จะตะโกนห้าม “พอแล้ว! เขาไม่ได้ผิดคนเดียว เจ้าคิดว่าพี่ใหญ่อย่างเจ้าไม่ต้องรับผิดชอบเหรอ? ตีเขาตายแล้วจะแก้ปัญหาได้มั้ย?”
เมื่อได้ยินนางกล่าวเช่นนี้ เหมียวอี้ที่กำลังหอบหายใจก็หยุดแล้ว เขาชักกระบี่ขึ้นจากพื้น เดินวนศีลแปดหลายรอบ หลายครั้งที่โบกกระบี่ยาวอยากจะแทงศีลแปด แต่พอเขาขยับมือ ศีลแปดก็ตกใจจนเอามือปิดหน้ากุมศีรษะ
“เจ้า!” เหมียวอี้พลันโบกกระบี่ชี้อวี้หลัวช่า ใบหน้าเต็มไปด้วยความโกรธแค้น “นี่คือกับดักที่เจ้าตั้งใจวางไว้ เจ้าวางกับดักเพื่อให้ตัวเองรอด เจ้าจงใจยั่วยวนเขาใช่มั้ย?”
อวี้หลัวช่าเดินเนิบนาบเข้ามา “ทำไมหลังจากเกิดเรื่องแบบนี้แล้ว ผู้ชายอย่างพวกเจ้าถึงผลักความรับผิดชอบมาให้ผู้หญิงตลอด? ทำไมเจ้าไม่ถามเรื่องราวให้ชัดเจนก่อนจะผลักความผิดมาที่ข้าล่ะ?”
“หมายความว่ายังไง?” เหมียวอี้คำราม แล้วเตะก้นศีลแปดอย่างแรงอีกที
“โอ๊ย…” ศีลแปดร้องอีกแล้ว โดนเตะจนต้องลุกขึ้นเอามือปิดก้น เลือดที่ไหลออกปากออกจมูกก็ย่อมไม่ต้องพูดถึง ที่สำคัญคือโดนซ้อมจนใบหน้าอนาถเกินทนมองแล้วจริงๆ ปูดบวมกลายเป็นหัวหมูแล้ว ดวงตาบวมจนเหลือร่องนิดเดียว ไม่เห็นเงาพระรูปหล่อแม้สักครึ่งเดียว เขาอธิบายซ้ำๆ อยู่อย่างนั้น “พี่ใหญ่ ข้าไม่ได้ตั้งใจจริงๆ นะ ข้าไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะทำให้ท้องนางใหญ่ ข้านึกไม่ถึงจริงๆ ว่าจะเป็นแบบนี้!”
“ทำไมเจ้าไม่ไปตายซะ!” เหมียวอี้ที่กำลังโมโหเตะเขาอีกทีจนกลิ้งลงพื้น
อวี้หลัวช่าเดินเข้ามา ย่อตัวลงอย่างระมัดระวังเพื่อประคองศีลแปด แต่ใครจะคิดว่าศีลแปดจะไม่รับไมตรี โบกมือตบนางฉาดหนึ่ง เพี้ยะ! เสียงตบดังชัดเจน ประทับรอยฝ่ามือไว้บนหน้าอวี้หลัวช่าอีกแล้ว
“อย่ามาเสแสร้งหน่อยเลย!” ศีลแปดผลักมือออก ผลักอวี้หลัวช่าล้มนั่งบนพื้น ชี้อวี้หลัวช่าพร้อมด่าว่า “เจ้าบอกมานะ! นี่เป็นกับดักของเจ้าใช่มั้ย? พี่ใหญ่พูดไว้ไม่ผิด ข้าควรจะฆ่าเจ้าตั้งนานแล้ว!”
อวี้หลัวช่าที่ล้มลงใช้สองมือปกป้องท้องและเอวตัวเองเป็นอันดับแรก นางเอียงหน้ามองศีลแปด “เจ้าก็คิดอย่างนี้เหมือนกันเหรอ?”
ศีลแปดด่าทันที “เจ้าเคยนอนกับผู้ชายมามากขนาดนั้น ทำไมเจ้าไม่ท้องลูกของผู้ชายคนอื่น ทำไมต้องมาท้องตอนนี้ เจ้ากล้าพูดมั้ยว่าเจ้าไม่มีเจตนาแอบแฝง?”
อวี้หลัวช่ากัดริมฝีปากแน่น กัดจนริมฝีปากเลือดไหล จ้องศีลแปดโดยไม่พูดอะไรสักคำ จ้องเขาไม่ละสายตา
นางอยากจะถามมากว่า ใครกันที่คิดหาทุกวิธีการเพื่อจะปีนขึ้นมาบนตัวนาง? ต่อให้นางไม่อยากท้อง แต่เมื่ออยู่ภายใต้สถานการณ์แบบนี้นางจะทำตามใจตัวเองได้เหรอ?
คำพูดสารเลวแบบนี้ แม้แต่เหมียวอี้ยังทนฟังไม่ไหว ก้าวขึ้นไปตบตีเขาอีกรอบ “ถ้าเจ้าไม่แตะต้องนาง นางจะเอาอะไรมาท้อง?”
“ก็ข้าไม่เข้าใจนี่ นางไม่เตือนข้า ถ้ารู้ว่าจะทำให้ท้องนางใหญ่ ข้าไม่แตะต้องนางเด็ดขาด”
“ขนาดเรื่องแค่นี้เจ้ายังไม่เข้าใจเหรอ? เจ้ากำลังหลอกใครอยู่? เจ้าพูดต่อซิ ไอ้ลูกตะพาบ!”
“นางเป็นใครล่ะ? นางจะตั้งท้องได้ยังไง! ตอนแรกข้าไม่ได้คิดถึงเรื่องนี้จริงๆ โอ๊ย…พี่ใหญ่ ข้าผิดไปแล้ว ข้าสำนึกผิดแล้วจริงๆ เลิกตีได้แล้ว ข้าอาจตายได้นะ ท่านไว้ชีวิตข้าเถอะ…” ศีลแปดได้แต่ร้องไห้เหมือนผีสางอยู่อย่างนั้น
หลังจากซ้อมไปพักใหญ่จนศีลแปดลุกไม่ขึ้นแล้ว เหมียวอี้ถึงได้หอบหายใจพลางค้ำกระบี่ยืนพัก แล้วเอียงหน้าจ้องอวี้หลัวช่าที่ริมฝีปากเลือดไหล ถามพร้อมหายใจหอบ “เจ้าจะเอายังไง? คิดจะเอาท้องมาขู่พวกเราสองพี่น้องเหรอ เจ้าคิดผิดแล้ว!”
อวี้หลัวช่าลุกขึ้นช้าๆ จ้องศีลแปดพร้อมกล่าวว่า “ถ้าเขาไม่ต้องการจริงๆ ข้าก็จะไม่ฝืนใจ ขอแค่เขาชกมาที่ท้องข้าสักหมัด ความกลัดกลุ้มรำคาญใจทั้งหมดของเขาก็จะหายไปแล้ว ข้าจะไม่หลบแน่นอน!”
เหมียวอี้มองไปที่ศีลแปด เด็กในท้องเป็นลูกศีลแปด เขาไม่มีทางตัดสินใจแทนศีลแปดได้ว่าจะเก็บเด็กไว้หรือไม่
“ไม่…ไม่เอา…” ศีลแปดดิ้นรนลุกขึ้นมา กัดหมัดกำหมัดแล้วเดินขากะเผลกไปหาอวี้หลัวช่า
นำตาสองสายเอ่อไหลอาบแก้มอวี้หลัวช่า นางถามเสียงสั่น “ถ้าไม่มีเรื่องระหว่างข้ากับผู้ชายคนอื่น เจ้าจะยังต้องการเด็กคนนี้มั้ย?”
“ไม่…ต้องการ…” ศีลแปดที่โดนซ้อมจนสภาพแย่พูดติดๆ ขัดๆ เหมือนจะขาดใจ แล้วเดินโซเซไปที่อวี้หลัวช่า ควงหมัดของตัวเองขึ้นมา
อวี้หลัวช่าไม่ได้หลบจริงๆ ด้วย หลับตาลงด้วยใบหน้าเจ็บปวดรวดร้าว
ในขณะที่ศีลแปดกำลังจะควงหมัดชกท้องอวี้หลัวช่า จู่ๆ ก็มีเท้าเทพโผล่มาจากด้านข้าง “อ๊า!” ศีลแปดร้องโอดครวญอีก กระเด็นออกไปอีกครั้ง
เหมียวอี้ยื่นเท้าเข้ามาในเวลาสำคัญ เตะศีลแปดกระเด็นอีกรอบ
อวี้หลัวช่าลืมตามองศีลแปดพร้อมน้ำตาไหลพราก แล้วก็มองเหมียวอี้อีก เหมือนนึกไม่ถึงว่าเหมียวอี้จะห้ามศีลแปด
“เรื่องนี้ข้าตัดสินใจเอง ถ้าเจ้าเต็มใจ ก็เก็บเด็กไว้!” เหมียวอี้ส่ายหน้าอย่างขื่นขมจนใจมาก เขาเชื่อว่าวิญญาณพ่อแม่ของศีลแปดก็อยากเก็บเลือดเนื้อเชื้อไขในท้องอวี้หลัวช่าเอาไว้เช่นกัน ไอ้ลูกตะพาบสารเลวอย่างศีลแปดทำซี้ซั้วอย่างนั้นได้ แต่เขากลับไม่มีทางทนดูศีลแปดทำซี้ซั้วกับเรื่องอย่างนี้ได้
อวี้หลัวช่านึกไม่ถึงว่าเหมียวอี้จะพูดอย่างนี้ได้ นางคิดว่าสาเหตุที่ศีลแปดไม่อยากเก็บเด็กเอาไว้ก็เพราะเหมียวอี้ ขอเพียงเหมียวอี้อนุญาตแล้ว เช่นนั้นทุกอย่างก็ไม่ใช่ปัญหา นางถามอย่างซาบซึ้งใจเล็กน้อยว่า “เจ้าแน่ใจนะว่าจะให้ข้าคลอดเด็กออกมา?”
เหมียวอี้เงยหน้ามองฟ้าพลางถอนหายใจยาว “ไม่ว่าเจ้าจะตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ แต่มีอยู่ประโยคหนึ่งที่เจ้าพูดไม่ผิด พอเกิดเรื่องแบบนี้แล้วข้าก็มีส่วนรับผิดชอบเหมือนกัน ข้าเป็นคนพาเจ้ามาที่ดาวเคราะห์ดวงนี้ ถ้าไม่ใช่เพราะข้าดูแลควบคุมเจ้ารองไม่ดี ก็คงไม่เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น ข้าคิดว่าวิญญาณพ่อแม่เขาก็หวังให้เจ้าคลอดเด็กออกมาเหมือนกัน”
อวี้หลัวช่ามองไปทางศีลแปด “ถ้าเขาไม่ต้องการ เจ้าคิดว่าทำแบบนี้จะมีความหมายเหรอ?”
“ท่าทีของไอ้สารเลวนี่ไม่สำคัญหรอก ในเมื่อข้ามีสิทธิ์ดูแลสั่งสอนเขา ข้าก็มีสิทธิ์ตัดสินใจเรื่องของเขา” เหมียวอี้ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันพูด แล้วสายตาก็หยุดอยู่บนท้องนาง “แต่ข้าขอเตือนเจ้าไว้ก่อน เรื่องระหว่างเราก็คือเรื่องระหว่างเรา ไม่เกี่ยวกับเด็ก เจ้าเลิกคิดไปได้เลยว่าจะเอาเด็กมาขู่ข้า หลังจากคลอดเด็กออกมาแล้ว เรื่องระหว่างเราควรจะแก้ไขยังไงก็ต้องแก้ไขอย่างนั้น ดังนั้นเจ้าตัดสินใจเอาเอง ว่าจะคลอดเด็กคนนี้ออกมาหรือเปล่า ข้าไม่บังคับ!”
อวี้หลัวช่ากัดฟัน “ขอเพียงเขาต้องการ ข้าก็จะคลอดให้!”
เหมียวอี้ออกแรงพยักหน้า แล้วยื่นมือเชิญ “เจ้ากลับไปก่อน เรื่องที่เหลือข้าจะจัดการเอง เจ้าไม่จำเป็นต้องสนใจ!”
อวี้หลัวช่าเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วย่อตัวเล็กน้อย กล่าวเสียงเบาว่า “ขอบคุณ” ตั้งแต่สู้เอาเป็นเอาตายกับเหมียวอี้มา นี่เป็นครั้งแรกที่นางพูดแบบนี้กับเหมียวอี้
นางลูบท้องตัวเองขณะที่พูดคำนี้ เหมือนกำลังขอบคุณเหมียวอี้แทนเด็กในท้อง เพราะเหมียวอี้ปกป้องเด็กคนนี้ไว้
พูดจบก็หันตัวเดินจากไป เงาร่างดูค่อนข้างโดดเดี่ยว หันหลังให้สองพี่น้องด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความหงอยเหงา
เรื่องนี้อยู่ในการคาดเดาของนาง แต่ก็เหนือความคาดหมายของนางเช่นกัน ตั้งแต่ครั้งแรกที่ศีลแปดมีความสัมพันธ์กับนาง นางก็คิดได้แล้วว่าอาจจะท้อง เพราะนางไม่สามารถร่ายอิทธิฤทธิ์ควบคุมไม่ให้เกิดเรื่องแบบนี้ได้
ถ้าจะบอกว่านางไม่มีเจตนาเลยสักนิด นั่นก็โกหกแล้ว
ครั้งแรกที่มีความสัมพันธ์กับศีลแปดแล้วถูกศีลแปดพากลับมา ตอนที่นางอยากจะคล้องแขนศีลแปด ผลปรากฏว่าศีลแปดรีบหลบเลี่ยงด้วยความหวาดกลัว ราวกับหลบคนใจดำอำมหิต นางก็รู้แล้วว่าเขาแค่คิดจะเล่นๆ กับนางเท่านั้น ในตอนนั้นใจนางเต็มไปด้วยความเจ็บปวด เพราะนางพบว่าเขากหกว่าชอบนางตั้งแต่เห็นครั้งแรก แต่นางเองกลับตกหลุมรักเขาเข้าแล้วจริงๆ
นางบอกศีลแปดว่า “พี่ใหญ่ของเจ้าเป็นคนที่ยอดเยี่ยมมาก กว่าเขาจะเดินมาถึงวันนี้ได้ก็ไม่ง่ายเลย ข้ามองออกว่าเขาดีต่อเจ้ามากจริงๆ”
ตอนแรกศีลแปดไม่รู้ว่านางพูดแบบนี้หมายความว่าอะไร แต่ในใจนางกลับรู้แจ่มแจ้ง นางกำลังสื่อว่าเหมียวอี้ไม่มีทางปล่อยความเสี่ยงที่ใหญ่หลวงอย่างนางไป เพราะเป็นไปไม่ได้ที่เหมียวอี้จะให้นางเป็นภัยคุกคามต่อศีลแปด และศีลแปดก็ไม่ได้จริงใจกับนาง นางเดาได้ตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว ถ้าเหมียวอี้ต้องการจะกำจัดนางเมื่อไร ศีลแปดอาจจะไม่ห้ามก็ได้
นางเข้าใจดีมาก ว่าถ้านางสามารถตั้งท้องได้ ก็อาจเป็นโอกาสเดียวในการรอดชีวิตของนาง ขอเพียงใช้เด็กคนนี้มาควบคุมศีลแปด ขอเพียงศีลแปดเห็นแก่เด็กแล้วปกป้องนาง มีศีลแปดปกป้องสุดชีวิต เหมียวอี้ก็อาจปล่อนนางไปก็ได้
แน่นอนว่าเด็กคนนี้ไม่ได้เป็นแค่เครื่องมือให้นางใช้ประโยชน์ นางเองก็ต้องการผลงานแห่งความรักชิ้นนี้เช่นกัน เหตุผลที่นางต้องการเด็กคนนี้กับเหตุผลที่นางอยากมีชีวิตอยู่ต่อไปนั้นไม่ได้ขัดแย้งกัน
แต่สิ่งที่ทำให้นางคิดไม่ถึงเลยก็คือ เด็กในท้องนางควบคุมศีลแปดไม่ได้เลยสักนิด แต่กลับควบคุมเหมียวอี้ได้ วิธีการที่นางนึกไม่ถึงกลับทำให้นางพ้นเคราะห์ไปได้หนึ่งครั้งแล้ว
แต่นางก็ไม่โทษศีลแปดสักนิดเลยจริงๆ เพราะนางรู้ว่าไม่มีผู้ชายปกติที่ไหนจะชอบนางจากใจจริงได้ ดูจากค่านิยมทั่วไปของสังคม ก็เป็นอย่างที่เหมียวอี้บอก นางสกปรกเกินไป แต่นางกลับเป็นผู้หญิงคนแรกของศีลแปดแล้ว
ตอนที่ตั้งท้องเด็กคนนี้นางไม่อยากปิดบังศีลแปด นางจึงบอกว่าไม่อยากกลับไปเป็นพุทธะหน้าหยกแล้ว อยากจะใช้ชีวิตสามีภรรยากับศีลแปดที่นี่ แต่ท่าทีของศีลแปดทำให้นางผิดหวังมาก…
หลังจากอวี้หลัวช่าไปแล้ว เหมียวอี้ก็ยืนคำกระบี่ครุ่นคิดอยู่นานมาก เมื่อเกิดเรื่องระดับนี้ขึ้น เขากำลังครุ่นคิดว่าควรจะทำอย่างไร?
สุดท้าย เขาก็ดึงศีลแปดที่แกล้งนอนตายอยู่บนพื้นขึ้นมา ดึงกลับไปที่หุบผาตลอดทาง พอลากมาถึงนอกวัด ก็เตะศีลแปดกลิ้งบนพื้นอีก
สภาพยับเยินของศีลแปดทำให้ไต้ซือศีลเจ็ดกับปีศาจโลหิตตกใจมาก ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น
พระปีศาจหนานโปเองก็ถลึงดวงตาไฟจ้องนอกประตูวัดด้วยความสงสัยเช่นกัน
เหมียวอี้ที่ทิ้งศีลแปดไว้สาวเท้าเดินไปข้างกำแพงวัด แล้วควงกระบี่ฟาดอย่างบ้าคลั่ง
“อา…”
ท่ามกลางเสียงระฆัง พระปีศาจหนานโปโซเซพลางเอามืดกุมหัวร้องโอดโอย เขาไม่รู้ว่าตัวเองทำผิดอะไร ตัวแข็งกลายเป็นหินล้มลงพื้นอีกครั้ง
พอเก็บกระบี่แล้ว เหมียวอี้ก็หันกลับมากุมหมัดคารวะ “ไต้ซือ ปาไห่ ตามข้ามาสักรอบ ข้ามีเรื่องต้องปรึกษา” ตอนที่สาวเท้าเดินผ่านข้างตัวศีลแปด เขาก็ชี้ศีลแปดพร้อมตะคอกอีก “ตั้งแต่นี้ไป เจ้าต้องอยู่ที่นี่อย่างซื่อสัตย์ ถ้ากล้าก้าวลงไปแม้แต่ก้าวเดียว ข้าจะตัดขาเจ้า!” เขากำลังป้องกันไม่ให้ศีลแปดทำร้ายครรภ์ของอวี้หลัวช่า
……………