พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - บทที่ 1780 พี่ใหญ่
ศีลแปดที่นอนอยู่บนพื้นรีบหดขาอย่างหวาดระแวงกลัว พยักหน้าซ้ำๆ อยู่อย่างนั้น เขารู้ว่าถ้าตอนนี้ไม่เชื่อฟัง พี่ใหญ่ก็อาจจะตัดขาเขาจริงๆ ก็ได้ เป็นเพราะตัวเองก่อหายนะแล้วจริงๆ ชายชาตรียอมเสียเปรียบกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้าได้ เขายอมแพ้แล้ว!
เมื่อเห็นสถานการณ์เป็นแบบนี้ ไต้ซือศีลเจ็ดกับปีศาจโลหิตก็ตระหนักได้ว่าอาจจะเกิดเรื่องใหญ่กับศีลแปดแล้ว ทั้งสองยืนขึ้นตอบรับคำเชิญของเหมียวอี้
“โยมเหมียว เจ้าเด็กปัญญาอ่อนนี่ก่อเรื่องอะไรกันแน่?” เป็นไปไม่ได้ที่ไต้ซือศีลเจ็ดจะไม่เอ่ยถาม
เหมียวอี้มองวัดแวบหนึ่ง แล้วยื่นมือเชิญอีกรอบ “ไต้ซือตามข้ามาเถอะ ต่อไปค่อยพูดก็ยังไม่สาย”
อยู่ตรงนี้คุยไม่สะดวก ครั้งก่อนเขารู้จากปากพระปีศาจหนานโปแล้ว ว่าต่อให้อีกฝ่ายจะกลายเป็นหินแต่ก็ยังได้ยินบทสนทนาด้านนอก แล้วเหมียวอี้จะพูดเรื่องนี้ต่อหน้าพระปีศาจหนานโปได้อย่างไร นี่ก็คือสาเหตุที่เขาทุบวัดอย่างบ้าคลั่ง ควบคุมพระปีศาจหนานโปไว้ก่อนชั่วคราว ไต้ซือศีลเจ็ดกับปีศาจโลหิตจะได้ตามเขาไปได้สะดวก
จากสายตาของเหมียวอี้ที่มองเข้าไปในวัด ทั้งสองก็ตระหนักได้แล้วเช่นกัน ต่างก็เดินตามออกไปตามเจตนาของเหมียวอี้ เช่นเดียวกัน ด้วยเหตุนี้เอง ทั้งสองตระหนักได้แล้วว่าครั้งนี้ศีลแปดก่อเรื่องไม่ใช่เล็กๆ แน่นอน ไม่อย่างนั้นเหมียวอี้คงไม่อยากหลบเลี่ยงพระปีศาจหนานโปหรอก ยิ่งไม่ซ้อมจนศีลแปดกลายสภาพเป็นอย่างนี้ด้วย
ทั้งสองหันกลับไปมองศีลแปดที่โดนตีจนสภาพกลายเป็นอย่างนี้ปราดหนึ่ง แต่ไหนแต่ไรมาเคยเห็นแต่ศีลแปดวางกับดักทำร้ายคนอื่น ยังไม่เคยเห็นศีลแปดสภาพยับเยินขนาดนี้มาก่อน โดนซ้อมจนอนาถมาก ทั้งยังเป็นพี่ใหญ่ของตัวเองที่ลงมืออย่างโหดดเหี้ยมด้วย!
ก่อนจะเดินลงบันได ทั้งสองยังหันกลับไปมองศีลแปดที่โดนซ้อมจนบวมเหมือนหัวหมูแต่ยังแกล้งทำตัวน่าสงสาร เห็นแล้วก็แอบทอดถอนใจ นับว่าได้เจอคนที่สามารถจัดการเขาได้แล้ว
ตอนที่เดินออกจากหุบผาไปริมทะเลสาบ ไต้ซือศีลเจ็ดถามอีกครั้ง “ศีลแปดก่อหายนะอะไรกันแน่?”
“คนในบ้านประสบเคราะห์ร้าย!” เหมียวอี้เงยหน้าถอนหายใจยาว แล้วส่ายหน้าถามอย่างจนใจ “ไต้ซือรู้ฐานะที่แท้จริงของอวี้หลัวช่าหรือเปล่า?”
“หรือว่ามีปัญหาอะไร?” ไต้ซือศีลเจ็ดฉงนใจ
ปีศาจโลหิตที่เดินถามอยู่ข้างๆ โพล่งถาม “หรือว่าอวี้หลัวช่าคนนี้คือพุทธะหน้าหยกแห่งแดนสุขาวดีจริงๆ?”
เหมียวอี้หันกลับมามองนางแวบหนึ่ง แล้วพยักหน้าถอนหายใจ “ไม่ผิดหรอก นางคือพุทธะหน้าหยกแห่งแดนสุขาวดีจริงๆ”
ศิษย์และอาจารย์ตกใจมาก นึกไม่ถึงว่าสาวน้อยคนหนึ่งจะเป็นพุทธะของแดนสุขาวดีซึ่งมีฐานะเทียบเท่าระดับอ๋องสวรรค์
“นางมาที่นี่ได้อย่างไร?” ไต้ซือศีลเจ็ดตระหนกไม่เบา
เหมียวอี้อธิบายสถานการณ์ให้ฟังคร่าวๆ “เรื่องนี้ล้วนเป็นความผิดของข้า ตอนอยู่ข้างนอกข้ากับนางเกิดความขัดแย้งกัน เลยถูกนางบีบจุดอ่อน ข้าก็เลยล่อนางมาที่นี่ อยากจะอาศัยประโยชน์ของที่นี่กำจัดนางทิ้ง จะได้ตัดปัญหาที่จะตามมาทีหลัง แต่ใครจะคิดว่าผู้หญิงคนนี้จะจัดการยากมาก ข้าใช้ทุกวิถีทางแต่ก็ยังกำจัดนางไม่ได้ นางถึงได้มาปรากฏตัวตรงหน้าพวกท่านแบบนี้”
เป็นเรื่องบุญคุณความแค้นเข่นฆ่าเอาชีวิตอีกแล้ว ไต้ซือศีลเจ็ดประนมมือ “อามิตตาพุทธ ประเสริญแล้ว ประเสริฐแล้ว!”
ส่วนปีศาจโลหิตก็ยิ่งตกใจ เหมียวอี้ในปีนั้นนางเคยสัมผัสมาก่อน นึกไม่ถึงว่าเพิ่งผ่านไปแค่ไม่กี่ปี เหมียวอี้ก็เติบโตจนถึงขั้นไปเกิดความขัดแย้งกับระดับพุทธะหน้าหยกแล้ว นางอดไม่ได้ที่จะถามว่า “ตอนนี้เจ้ายังอยู่ตำหนักสวรรค์เหรอ?”
เหมียวอี้หันกลับมา “เรื่องในอดีตนานมากแล้ว เจ้าไม่ได้ฟังเรื่องราวจากภายนอกก็พอเข้าใจได้ ตอนนี้ข้าคุมอาณาเขตแดนรัตติกาล เป็นหัวหน้าภาคแดนรัตติกาล!”
“หัวหน้าภาคแดนรัตติกาล?” ปีศาจโลหิตได้ยินแล้วงงทันที ถามว่า “อาณาเขตแดนรัตติกาลจะมีหัวหน้าภาคได้อย่างไร?”
เหมียวอี้ตอบว่า “เกิดเหตุไม่คาดคิดนิดหน่อย ตำหนักสวรรค์สร้างตำแหน่งใหม่ขึ้น ให้ควบคุมแดนรัตติกาล อยู่ในสังกัดตรงของตำหนักนารีสวรรค์!”
“นึกไม่ถึงว่าโยมจะกลายเป็นเจ้าอาณาเขตแล้ว อามิตตาพุทธ!” ปีศาจโลหิตประนมมือ แม้ใจจะสงบเหมือนบ่อน้ำเก่าไร้คลื่น แต่ก็ยังตกตะลึงไม่หาย เพราะไม่มีใครไต่เต้าได้เร็วขนาดนี้แล้วจริงๆ
ศีลเจ็ดไม่สนใจความสูงต่ำของตำแหน่ง ตอนนี้เขาสนใจเพียงว่าศีลแปดเป็นอะไรกันแน่ “หรือว่าศีลแปดกับอวี้หลัวช่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นแล้ว?”
“เฮ้อ!” เหมียวอี้ยกมือตบหน้าปาก “ไอ้ลูกตะพาบนั่นแอบไปทำอวี้หลัวช่าท้องใหญ่ลับหลังข้า”
“หา!” ไต้ซือศีลเจ็ดและปีศาจโลหิตร้องอุทานพร้อมกัน ใจเย็นต่อไปไม่ไหวแล้ว ถามเป็นเสียงเดียวกันว่า “จะเป็นไปได้อย่างไร?”
เหมียวอี้ตอบว่า “ข้าเองก็คิดว่าเป็นไปไม่ได้ แต่เรื่องเป็นอย่างนี้จริงๆ…” เขาเล่าเหตุการณ์ในหุบเขาให้ฟังคร่าวๆ
“อามิตตาพุทธ!” อาจารย์และศิษย์ประนมมือเอ่ยนามพระพุทธเจ้าพร้อมกัน
“ปัญหาในตอนนี้ก็คือ ข้ารู้จักนิสัยของศีลแปดดีเกินไป เรื่องที่เขาไม่ชอบ เขาก็จะทำทุกวิถีทางเพื่อหนี มีความเป็นไปได้สูงว่าเขาจะลงมือทำร้ายครรภ์ของอวี้หลัวช่าอีก…” เหมียวอี้กล่าว
คุยกันมาตลอดทาง ทั้งสามมาถึงเรือนยกพื้นสูงริมทะเลสาบ พบว่าอวี้หลัวช่ากำลังนั่งเหม่ออยู่บนเรือน ไม่น่าเชื่อว่ามีคนมาแต่ยังไม่รู้ตัว
ผมยาวดำขลับปลิวตามสายลม รอยฝ่ามือแดงบนใบหน้าสะดุดตา ไม่รู้เหมือนกันว่านางกำลังคิดอะไรอยู่
ไต้ซือศีลเจ็ดกับปีศาจโลหิตสบตากันแวบหนึ่ง เพราะจีวรตัวใหญ่หลวม ตอนนี้ทั้งสองยังมองไม่ออกว่าสภาพของอวี้หลัวช่าตอนตั้งครรภ์เป็นอย่างไร
ขณะมองผู้หญิงตรงหน้ากำลังเหม่อลอย ถ้าตัดปัจจัยด้านความรู้สึกออกไป เหมียวอี้ก็นับถือผู้หญิงคนนี้มาก เคยเจอคนโหดมาก่อน แต่ไม่เคยเจอใครโหดขนาดนี้ ไม่น่าเชื่อว่าพุทธะหน้าหยกผู้สง่าผ่าเผยจะตั้งท้องเพื่อปกป้องตัวเอง
“อวี้หลัวช่า!” เหมียวอี้ตะโกนเรียก
อวี้หลัวช่าดึงสติกลับมา มองทั้งสามอย่างตะลึงงัน จากนั้นก็ลุกขึ้นเดินลงบันไดไม้ จีบนิ้วมุทราคีบบุปผาตรงหน้าอกทำความเคารพไต้ซือศีลเจ็ด “ไต้ซือมาแล้ว”
แม้นางจะเจอศีลเจ็ดได้ไม่นาน แต่พูดคุยกันไม่เยอะ แต่ท่ามกลางคนพวกนี้ ศีลเจ็ดกลับเป็นคนแรกที่ได้รับการนับถือจากนางอย่างแท้จริง
ศีลเจ็ดประนมมือโค้งตัว แล้วเอียงหน้าบอกใบ้ปีศาจโลหิต
ปีศาจโลหิตก้าวขึ้นมาข้างหน้า แล้วยื่นมือไปขอยืมมืออวี้หลัวช่า อวี้หลัวช่าย่อมเข้าใจว่าหมายความว่าอะไร นางยกข้อมือขึ้นเบาๆ
ปีศาจโลหิตจีบนิ้ววัดบนเส้นชีพจรของนาง แม้จะใช้พลังอิทธิฤทธิ์ไม่ได้ แต่แตกฉานเรื่องระบบชีพจรของร่างกายผู้ฝึกตนที่สุด มีครรภ์หรือไม่แค่สัมผัสชีพจรก็รู้แล้ว
หลังจากแน่ใจแล้วว่าอวี้หลัวช่ามีครรภ์ ปีศาจโลหิตก็ใจลอยเล็กน้อย นางนึกถึงเมื่อก่อนที่ขอร้องศีลแปดอยู่นานแต่ก็ไม่เคยได้เลยสักครั้ง แต่ผู้หญิงคนนี้เพิ่งจะรู้จักศีลแปดได้ไม่นาน ไม่น่าเชื่อว่าจะตั้งครรภ์ลูกของศีลแปดแล้ว สำหรับเรื่องนี้ นางเองก็ไม่ได้อิจฉาอะไร เมื่อเคยผ่านเรื่องมั่วโลกีย์ในหุบผาที่โหดร้ายจนไม่อยากหวนนึกถึง อีกทั้งศีลแปดยังเห็นกับตา นางก็รู้แล้วว่าเรื่องระหว่างนางกับศีลแปดเป็นไปไม่ได้ เพียงแต่นึกย้อนเรื่องในอดีตแล้วรู้สึกทอดถอนใจก็เท่านั้นเอง
เมื่อดึงสติกลับมา ก็พบว่าตัวเองคิดมากไปหน่อย หลังจากประนมมือสวดมนต์เบาๆ ประโยคหนึ่ง ก็พยักหน้าเบาๆ ให้ไต้ซือศีลเจ็ด สื่อว่าอวี้หลัวช่าตั้งครรภ์จริงๆ
“เฮ้อ!” ไต้ซือศีลเจ็ดก็ส่ายหน้าทอดถอนใจเช่นกัน เจอกับลูกศิษย์เวรตะไลแบบนี้ เขาเองก็จนใจมาก แต่เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้วยังจะทำอะไรได้อีก? เขาแน่วแน่ว่าไม่เห็นด้วยกับการฆ่าคน ไม่มีทางอนุญาตให้กำจัดเด็กในท้องอวี้หลัวช่าทิ้ง จึงหันกลับมาพยักหน้าบอกเหมียวอี้ “จัดการตามที่โยมเห็นสมควรแล้วกัน”
เหมียวอี้พยักหน้าขอบคุณ แล้วชี้ไปที่ปีศาจโลหิตพร้อมบอกอวี้หลัวช่าว่า “ร่างกายเจ้าทำอะไรไม่สะดวก ตั้งแต่นี้ไป ปาไห่จะมาอยู่กับเจ้า ให้นางมาดูแลเรื่องการกินอยู่ของเจ้า”
อวี้หลัวช่าอึ้งไปครู่หนึ่ง แล้วจู่ๆ ก็น้ำตาเอ่อ โค้งตัวอย่างควบคุมอารมณ์ไม่อยู่ “พี่ใหญ่ ขอบคุณ!” เรียกได้ว่าน้ำตาไหลพรากไม่หยุด
เห็นได้ชัดว่านางเรียกตามศีลแปดโดยจิตใต้สำนึก
เมื่อครู่นี้นางยังคิดว่าจะทำอย่างไรดี นางไม่มีประสบการณ์คลอดลูกมาก่อนเลย ศีลแปดมีท่าทีอย่างนั้น อีกทั้งเหมียวอี้ยังอยากจะฆ่านางอีก นางไม่รู้เลยว่าตอนลูกเกิดตัวเองควรจะทำอย่างไร ตัวเองที่อยู่ในฐานะมนุษย์ธรรมดาควรจะรับมือกับเรื่องนี้โดยลำพังอย่างไร แม้แต่คนให้ถามก็ไม่มีสักคน รอคลอดอย่างโดดเดี่ยวที่ริมทะเลสาบแห่งนี้ ในใจนางหวาดกลัวขนาดไหนก็ไม่มีใครเข้าใจได้
นึกไม่ถึงจริงๆ นางนึกไม่ถึงเลย เหมียวอี้ไม่ใช่แค่ปกป้องเด็กในท้องนาง ทั้งยังช่วยนางคลายความห่วงหน้าพะวงหลังนี้อีกด้วย พาปาไห่มาดูแลนาง ตอนนี้ใจนางอบอุ่นมากจริงๆ อย่างน้อยก็มีเรื่องหนึ่งที่นางแน่ใจแล้ว นั่นก็คือไม่ว่าในภายหลังจะเป็นอย่างไร เหมียวอี้จะต้องไม่ทอดทิ้งลูกนางแน่ เหมียวอี้เก็บลูกนางไว้ในใจแล้วจริงๆ ไม่ปฏิบัติต่อลูกนางอย่างขาดความยุติธรรมแน่
ตอนนี้นางรู้สึกแล้วจริงๆ ว่าตัวเองมีครอบครัว คำเรียก ‘พี่ใหญ่’ คือความเคารพและขอบคุณที่มาจากใจนาง
เหมียวอี้ขยับปากเล็กน้อย อยากจะตะคอกว่า ‘ข้าไม่ใช่พี่ใหญ่ของเจ้า’ แต่ดูจากท่าทางของนาง โดยเฉพาะรอยฝ่ามือแดงบนใบหน้านาง นึกถึงว่านางตั้งท้องลูกของศีลแปด อีกทั้งศีลแปดยังปฏิบัติต่อนางอย่างนั้น ถ้าตัวเองร่วมกันรังแกนางไปด้วย ก็เหมือนจะเหลวไหลไปหน่อย ดังนั้นสุดท้ายเขาจึงไม่พูดออกมา กลัวว่าจะกระทบต่อเด็กในท้องนาง เขาหันตัวหนี แสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน แล้วพูดกับไต้ซือศีลเจ็ดว่า “ไต้ซือ เรื่องพระปีศาจหนานโป รบกวนให้ท่านกับศีลแปดผลัดกันควบคุม ถ้าศีลแปดไม่เชื่อฟัง ท่านต้องบอกข้านะ ข้าจะไปจัดการเขาเอง!”
เขาเองก็รู้เช่นกันว่าไต้ซือศีลเจ็ดควบคุมศีลแปดไม่ค่อยไหว
“อามิตตาพุทธ!” นับว่าไต้ซือศีลเจ็ดเอ่ยรับแล้ว จากนั้นกันกลับมาบอกปีศาจโลหิตอีกว่า “ปาไห่ เจ้าช่วยใส่ใจทางนี้หน่อยนะ”
“ค่ะ! อาจารย์” ปีศาจโลหิตประนมมือโค้งตัวเอ่ยรับ
หลังจากไต้ซือศีลเจ็ดกล่าวปลอบใจอวี้หลัวช่าสองสามประโยค ก็ไม่ได้อยู่ที่นี่นาน ทิ้งให้ศีลแปดดูพระปีศาจหนานโปคนเดียวเขาก็ไม่วางใจเช่นกัน เป็นศิษย์คนนี้ก่อหายนะเก่งเกินไป จากนั้นก็เดินจากไปพร้อมเหมียวอี้
อวี้หลัวช่าร้องไห้ฟูมฟายขณะมองคล้อยหลังพวกเขา นางรู้ว่าเหมียวอี้ดูถูกนาง นางรู้ว่าสาเหตุใหญ่สุดเป็นเพราะเรื่องในอดีตที่สกปรกของนาง เหมียวอี้ทำแบบนี้ก็เพราะปกป้องน้องชาย แม้จะตบตีศีลแปดอย่างโหดเหี้ยม แต่นั่นก็เป็นความรักที่เข้มงวดเพราะอยากให้ได้ดี มีพี่ใหญ่คนไหนบ้างที่จะยอมให้นางชายตัวเองแต่งงานกับผู้หญิงสกปรกแบบนี้ นางรู้แจ่มแจ้ง ว่าลูกก็คือลูก เรื่องที่นางอยากใช้ชีวิตอยู่เป็นสามีภรรยากับศีลแปดก็ไม่ต้องคิดถึงแล้ว เกรงว่าเหมียวอี้คงจะเป็นคนแรกที่ไม่ตอบตกลง คาดว่าต่อให้เหมียวอี้ตายก็ไม่อนุญาต
แม้จะเป็นเช่นนี้ แต่ตอนนี้นางก็มีแต่ความรู้สึกขอบคุณและซาบซึ้งใจต่อเหมียวอี้เท่านั้น อย่างน้อยเรื่องนี้ก็ทำให้นางมองออกชัดเจนแล้วว่าเหมียวอี้เป็นคนสันดานอย่างไร เป็นผู้ชายที่มีคุณธรรมน้ำมิตรจากแก่นแท้
“ด้านนอกลมแรง เข้าไปข้างในเถอะ” ปีศาจโลหิตหันตัวมาประคองแขนอวี้หลัวช่าเข้าบ้าน
“อา!”
ด้านนอกวัด ศีลแปดก็โอดโอยอีกแล้ว พอเหมียวอี้กลับมาก็เตะเขาแรงๆ อีกที ถามว่า “เครื่องปรุงที่เจ้าใช้ปรุงอาหารเอามาจากไหน? ส่งมาให้ข้า!”
ฟ้าสางวันต่อมา เรือนไม้ยกพื้นสูงริมทะเลสาบที่กำลังอาบแสงรุ่งอรุณก็มีเสียงดังแกร๊ก ปาไห่เพิ่งยกกะละมังสำหรับเปลี่ยนเสื้อผ้าอาบน้ำเปิดประตูออกมา ก็อดไม่ได้ที่จะอุทาน “หืม”
อวี้หลัวช่าได้ยินเสียงและเดินออกมาเช่นกัน ผลก็คือเห็นตรงใต้บันไดด้านนอกมีของวางเป็นกอง เป็นเครื่องครัวชนิดต่างๆ ทั้งยังมีสัตว์ป่าที่ควักเครื่องในล้างหมดแล้วด้วย
ทั้งสองมองไปรอบๆ แต่ไม่เห็นเงาคน ไม่รู้ว่าใครนำมาวางไว้ ได้แต่มองหน้ากันเลิกลั่ก
ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา ก็จะมีของป่าที่ล้างแล้วมาแขวนไว้ข้างนอกวันเว้นวัน มีอาหารป่าหลากหลายมาส่งให้ บางครั้งก็จะมีผักสดผลไม้สดด้วย เห็นได้ชัดว่าส่งมาบำรุงร่างกายอวี้หลัวช่า แต่ทุกครั้งก็จะเห็นแต่ของ แต่ไม่เห็นคนส่งของ
หลังจากจับจังหวะได้แล้ว เช้าตรู่ของบางวันอวี้หลัวช่ากับปีศาจโลหิตก็จะแอบมองด้านนอกผ่านซอกหน้าต่าง
เป็นอย่างที่คาดไว้ สุดท้ายเหมียวอี้ก็ปรากฏตัวในสายตาพวกนางแล้ว ไก่ป่าตัวหนึ่งกับกระต่ายป่าตัวหนึ่ง ทั้งยังมีผักป่าสีเขียวเข้มหนึ่งมัด ทั้งหมดล้วนล้างไว้ดีแล้ว แขวนไว้ข้างรั้วนอกเรือนไม้เบาๆ จากนั้นก็หันตัวเดินจากไป
ปีศาจโลหิตค่อยๆ หันกลับไปมองอวี้หลัวช่า อีกฝ่ายตาแดงก่ำแล้ว ก้มหน้ากัดริมฝีปากแน่น เอามือลูบท้องตัวเองเบาๆ พร้อมกล่าวเสียงต่ำ “ศีลแปดมีพี่ใหญ่ดีขนาดนี้ นับเป็นวาสนาของเด็กเหมือนกัน!”
………………