พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - บทที่ 1782 มีเมตตามามากพอแล้ว
“ถ้าทั้งชีวิตนี้สามารถเลี่ยงไม่ให้พระปีศาจก่อหายนะได้ เช่นนั้นเฝ้าทั้งชีวิตจะเป็นไรไป?” ไต้ซือศีลเจ็ดกล่าวแล้วถอนหายใจ
เหมียวอี้จะโน้มน้าวอย่างไรก็ไร้ประโยชน์ เพราะการเสียสละของพระเฒ่าทำให้คนไม่รู้ว่าควรจะนับถือหรือด่าว่ามีใจเมตตาเกินไปดี
กลับเป็นปีศาจโลหิตที่ถามหยั่งเชิงว่า “ไม่สู้นำทางกำลังพลตำหนักสวรรค์มาเสียเลย ต่อให้ตำหนักสวรรค์กำจัดพระปีศาจไม่ได้ แต่จะต้องส่งคนมาเฝ้าแน่นอน บางทีอาจจะครอบคลุมกว่าที่พวกเราเฝ้าเอง”
“ไม่ได้!” เหมียวอี้พูดตัดบท “แม้คนของตำหนักสวรรค์จะเฝ้าพระปีศาจได้ แต่พระปีศาจจะต้องล้างแค้นพวกเราแน่นอน พระปีศาจเคยเห็นพวกเราแล้ว ขอเพียงเขาบอกตำหนักสวรรค์ เจ้าก็ลองคิดถึงผลที่ตามมาดูสิ”
ปีศาจโลหิตเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วพยักหน้าเบาๆ ถามอีกว่า “แต่เจ้าบอกว่าตำหนักสวรรค์กำลังคนหาครั้งใหญ่ สักวันหนึ่งก็จะหาที่นี่พบไม่ใช่เหรอ?”
เหมียวอี้ตอบว่า “เป็นไปไม่ได้ที่ตำหนักสวรรค์จะทุ่มกำลังพลทั้งหมดในการค้นหานี้ ตามความเห็นของข้า อย่างน้อยก็หนึ่งหมื่นปีหลังกว่าจะหาที่นี่พบ บางทีอาจไม่ใช่แค่หนึ่งหมื่นปีก็ได้ ยิ่งระยะการค้นหาไกลเท่าไร ขอบเขตการค้นหาก็ยิ่งกว้างเท่านั้น ความคืบหน้าในการค้นหาก็มีแต่จะช้าลง ดูจากปัจจุบัน ภายใต้สถานการณ์ที่พวกเราไม่มีทางกำจัดพระปีศาจทิ้งได้ ถ้าล่วงเวลาได้ก็ถ่วงเวลาไปก่อน แล้วตอนหลังค่อยดูว่าจะคิดหาทางอื่นกำจัดได้หรือเปล่า”
ศีลแปดบอกว่า “พี่ใหญ่ ตอนที่ข้ากับป่าไห่มาที่นี่ เห็นดาวเคราะห์ดวงหนึ่งที่เหมาะกับการกำรงชีวิตอยู่ไม่ไกลจากที่นี่ ท่านส่งคนมาเฝ้าที่นี่สักหน่อยได้มั้ย ป้องกันไม่ให้มีคนเข้ามาที่ดาวเคราะห์ดวงนี้ก็สิ้นเรื่องแล้วไม่ใช่เหรอ” ความหมายแฝงในคำพูดก็คือสามารถเปลี่ยนให้ศีลเจ็ดออกไปได้
“เรื่องของพระปีศาจหนานโปยิ่งมีคนรู้น้อยเท่าไรก็ยิ่งดี คนทั่วไปก็ต้านทานมนต์คร่าชีวิตของพระปีศาจไม่ไหว และถ้าปิดล้อมด้านนอกดาวเคราะห์เอาไว้ คนก็น้อยมาก ไม่มีใครรู้ว่าคนที่หลงทางจะโผล่มาจากไหน มิหนำซ้ำถ้าจะพาคนมาที่นี่ก็ต้องการการตรวจสอบจากตำหนักสวรรค์ก่อน ค่อนข้างยุ่งยาก ต่อให้ข้าส่งคนมาได้ แต่ก็ส่งมาได้แค่ลูกน้องคนสนิทจริงๆ เท่านั้น ข้าไม่อยากให้ทุกคนอยู่ที่นี่ และไม่อยากสิ้นเปลืองลูกน้องคนสนิทกับที่นี่ด้วย” เหมียวอี้เหล่ตามองไต้ซือศีลเจ็ด “แล้วอีกอย่าง ต้องถามไต้ซือด้วยว่าเต็มใจจะออกไปหรือไม่ ถ้าเต็มใจออกไป ข้าก็จะคิดหาทางให้”
“อามิตตาพุทธ!” ไต้ซือศีลเจ็ดประนมมือปฏิเสธโดยตรง “ใครเฝ้าที่นี่ก็เหมือนกัน อาตมาต่างหากที่เป็นตัวเลือกที่เหมาะสมที่สุด”
“ตาแก่โล้น ท่าน…” ศีลแปดกลอกตามองบน สะบัดแขนเสื้อแล้วปล่อยผ่าน ขี้คร้านจะด่าแล้ว รู้ว่าพูดอะไรกับตาแก่ดื้อคนนี้ไปก็ไร้ประโยชน์
ผลลัพธ์ที่ได้จากการปรึกษาหารือก็ไม่ต่างอะไรกับไม่ได้ปรึกษากัน ไต้ซือศีลเจ็ดยังไม่อยากออกไป
หลังจากเหมียวอี้กับศีลแปดออกจากหุบผาชัน คนหนึ่งก็ไปที่อีกฝั่งของหุบผาชัน ส่วนอีกคนไปทางริมทะเลสาบ
เดินไปได้ไม่กี่ก้าว จู่ๆ ศีลแปดก็หันตัวมาตะโกนเรียก “พี่ใหญ่!”
เหมียวอี้หยุดเดินแล้วหันหน้ามาถาม “มีอะไร?”
ศีลแปดเดินเข้ามา ทำท่าอึกอักพูดไม่ออก แต่สุดท้ายก็อดไม่ได้ที่จะถามว่า “พี่ใหญ่จะต้องฆ่าอวี้หลัวช่าให้ได้เลยใช่มั้ย?”
คำถามนี้ทำให้เหมียวอี้ค่อนข้างเดือดดาล เพราะเรื่องนี้ทำให้เขาคิดวนเวียนแทบจะตายอยู่แล้ว ถ้าฆ่ามารดาของหลานทิ้ง แล้วต่อไปตัวเองจะเผชิญหน้ากับหลานได้อย่างไร ถ้าไม่ใช่เพราะไอ้ลูกตะพาบนี้ก่อเรื่องขึ้นมา ตัวเองจำเป็นจะต้องปวดหัวมากขนาดนี้มั้ย?
ศีลแปดมองสีหน้าเขาแวบหนึ่ง แล้วก้มหน้ากล่าวเสียงต่ำเบา “ที่จริงข้ารู้สึกว่าอวี้หลัวช่าจะไม่ทำเรื่องอะไรที่เป็นผลเสียกับพี่ใหญ่อีก ถึงยังไงก็คลอดลูกออกมาแล้ว”
“ลูกเหรอ?” เหมียวอี้แสยะยิ้ม แล้วบอกว่า “เจ้าไม่เคยคลุกคลีอยู่กับคนประเภทนางตอนอยู่ข้างนอก คนที่อยู่ระดับนี้น่ะ ถ้ามีผลประโยชน์มาเกี่ยวข้อง ก็ไม่มีอะไรที่สละไม่ได้หรอก ประเด็นสำคัญตอนนี้ก็คือ พวกเรากุมความลับของนางไว้ เป็นภัยคุกคามต่อผลประโยชน์ของนางแล้ว นางยังจะปล่อยให้พวกเรามีชีวิตรอดกลับไปหรือเปล่า!”
ศีลแปดทำสีหน้าเจ็บปวด ถามอย่างลำบากใจว่า “พี่ใหญ่คิดจะลงมือเมื่อไร?”
เหมียวอี้หันหน้าเดินไปแล้ว เขาเองก็สับสนแทบแย่เหมือนกัน ให้คำตอบไม่ได้
ริมทะเลสาบ บนบันไดนอกเรือนไม้ยกพื้นสูง อวี้หลัวช่าที่รวบผมยาวไว้ข้างหลังอย่างง่ายๆ กำลังวางเด็กไว้บนตักพลางหยอกล้อ นางใช้ลายนิ้ววาดบนใบหน้าเด็กน้อยเบาๆ “ซินหู ยิ้มให้แม่ดูหน่อยสิ”
เจ้าเด็กน้อยที่ขาวเหมือนหยกสลักกลับหันหน้าหนี แล้วอ้าปากดูดปลายนิ้วของอวี้หลัวช่า ทำให้อวี้หลัวช่าขำทันที เสียงหัวเราะใสไพเราะดุจระฆังเงิน หัวเราะเอิ๊กอ๊ากไม่หยุด
ศีลแปดกำลังยืนดูฉากนี้อยู่ไม่ไกล ตะลึงเหม่อแล้ว!
อวี้หลัวช่าที่บังเอิญหันมาเห็นก็อึ้งเหมือนกัน จากนั้นก็ยิ้มอย่างสดใจราวกับดอกไม้ อุ้มลูกลุกขึ้นยืน แล้วเดินเข้ามากล่าวพร้อมรอยยิ้ม “กลับมาแล้วเหรอ ทำไมดูไม่สดใสเลย ถูกพี่ใหญ่ด่ามาเหรอ? ที่จริงแล้ว ข้ารู้สึกว่าบางเรื่องพี่ใหญ่ก็หวังดีกับเจ้านะ เจ้าไม่ต้องเก็บมาใส่ใจหรอก”
“พวกเรากำลังปรึกษากันเรื่องออกไปจากที่นี่น่ะ” ศีลแปดยิ้มเจื่อน
รอยยิ้มบนใบหน้าอวี้หลัวช่าเริ่มหยุดนิ่ง รู้ว่าเรื่องที่ควรจะมาถึง สุดท้ายก็ยังต้องเผชิญหน้า นางพยายามถามอย่างใจเย็น “ปรึกษากันเป็นยังไงบ้าง?”
ศีลแปดถอนหายใจ “ตาแก่โล้นกลัวว่าพระปีศาจจะก่อหายนะอีก จะเป็นจะตายก็ไม่ยอมไป ดึงดันจะควบคุมอยู่ที่นี่ให้ได้ โน้มน้าวยังไงก็ไม่ได้ผล จะมัดเขาออกไปแล้วควบคุมอิสระเขาไว้ตลอดไปก็คงไม่ได้หรอกมั้ง? ถ้าให้อิสระเขาเมื่อไร เจ้าเชื่อมั้ยว่าเขาจะกลับมาที่นี่ทันที? ตาแก่โล้นนั่นเกินเยียวยาแล้วจริงๆ”
อวี้หลัวช่าทำสีหน้าประทับใจ จากนั้นก็ถอนหายใจเบาๆ “เจ้าเตรียมจะอยู่เป็นเพื่อนอาจารย์ที่นี่เหรอ? ถ้าเจ้าอยู่ต่อ ข้าก็จะไม่ไปเหมือนกัน”
ศีลแปดทำท่าราวกับโดนงูกัด ถามอย่างตกใจทันที “ไม่ไปเหรอ? ล้อเล่นอะไรกัน? พันปีก่อนตอนที่ข้าสามารถหนีออกไปได้ ก็ต้องถูกขังอีกหนึ่งพันปีเพราะตาแก่โล้นนี่ ข้านับว่ามีเมตตามามากพอแล้วแล้ว เขาคิดไม่ได้ อย่าบอกนะว่าจะให้คนอื่นคิดไม่ได้ไปกับเขาด้วย?”
อวี้หลัวช่ากลอกตามองบน แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด “เจ้าโชคดีที่ได้เจออาจารย์แบบนี้ ถ้าเปลี่ยนเป็นคนอื่นก็คงฆ่าล้างโคตรเจ้าไปแล้ว เจ้ายังมีเหตุผลมาเถียงอีกเหรอ”
ศีลแปดปั่นป่วนใจ โบกมือสื่อว่าไม่อยากพูดแล้ว จากนั้นเดินไปทางเรือนไม้ยกพื้นสูง
“เจ้าว้านวุ่นใจเพราะอาจารย์ หรือว้าวุ่นใจเพราะเรื่องระหว่างข้ากับพี่ใหญ่?” อยู่ดีๆ อวี้หลัวช่าก็เอ่ยถามเสียงเรียบ
ศีลแปดหยุดฝีเท้าแล้วหันขวับ แล้วคำรามเหมือนประสาทเสีย “พวกเจ้าคิดจะเอายังไงกันแน่? จะกดดันให้ข้าตายก่อนใช่มั้ยถึงจะพอใจ?” พูดจบก็ใช้สองมือเกาศีรษะราวกับเป็นบ้า คำรามไม่เป็นภาษา ทั้งวิ่งทั้งกระโดด เตะหินบยพื้นจนปลิวกระจาย ระบายอารมณ์อยู่อย่างนั้น
อวี้หลัวช่าเอามือปิดหูเด็ก แล้วมองเขาพลางยิ้มอย่างเป็นกันเอง นางกำลังยิ้มแล้วจริงๆ เป็นรอยยิ้มที่มาจากใจด้วย
ศีลแปดสังเกตเห็นนาง จึงชี้นางพลางตะคอกอย่างประสาทเสีย “เจ้ายังยิ้มออกอีกเหรอ?”
อวี้หลัวช่าตอบพร้อมรอยยิ้ม “ทำไมจะยิ้มไม่ออกล่ะ ที่เจ้าลำบากใจขนาดนี้ได้ ก็แปลว่าในใจเจ้ามีข้าแล้วไง”
“เจ้า…” ศีลแปดชี้จมูกนาง แล้วสุดท้ายก็จิ้มที่หน้าผากนาง “เจ้าไม่เข้าใจเหตุผล!” แล้วหันหน้าเดินจากไป
“ไม่ต้องว้าวุ่นใจขนาดนั้น เรื่องระหว่างข้ากับพี่ใหญ่ ข้าจะไม่ฆ่าข้าหรอก” อวี้หลัวช่ากล่าวอย่างใจเย็น
“หืม…” ศีลแปดหยุดเดินอีกครั้ง ครั้งนี้ใจเย็นลงแล้ว ค่อยๆ หันตัวกลับมามองนาง เข้ามาใกล้แล้วถามหยั่งเชิงว่า “เจ้าเอาอะไรมาแน่ใจ? ข้าจะบอกเจ้าไว้นะ ตั้งแต่เล็กจนโต พี่ใหญ่มีอีกด้านที่เด็กขาดมาก ตอนเด็กเป็นคนที่กล้าใช้มีดแทงบนร่างกายตัวเอง ถ้าเป็นเรื่องที่เขาตัดสินใจแล้วว่าจะทำ ก็ไม่มีใครหยุดเขาได้”
“เขายังไม่ได้ตัดสินใจไม่ใช่เหรอ?” อวี้หลัวช่ายิ้มอ่อน มองดูเด็กที่กลอกตาแป๋วอยู่ในอ้อมกอดแวบหนึ่ง แล้วบอกว่า “ดูท่าแล้วเจ้าจะยังไม่เข้าใจพี่ใหญ่ของเจ้าเท่าข้า เจ้าไม่ต้องห่วงหรอก เรื่องนี้ข้าเตรียมใจไว้นานแล้ว ข้าย่อมมีวิธีการแก้ไข แต่เกรงว่าจะลำบากเจ้านิดหน่อย ต้องดูว่าเจ้าจะให้ความร่วมมือหรือเปล่า”
ศีลแปดพยักหน้าซ้ำๆ “ขอเพียงเจ้าแก่ปัญหาเรื่องนี้ได้ ข้าก็จะให้ความร่วมมือแน่”
อวี้หลัวช่ายกยิ้มมุมปากหยอกล้อ “งั้นก็ตกลงตามนี้ ถึงตอนนั้นห้ามกลับคำ”
“…” ศีลแปดรู้สึกไม่ชอบมาพากล จึงเตือนว่า “เจ้าคงไม่ได้จะให้ข้าอยู่กับเจ้าที่นี่หรอกใช่มั้ย ข้าบอกไว้เลยนะ ข้าจะอยู่หรือไม่อยู่ที่นี่ก็ไม่เกี่ยวกับเรื่องที่พี่ใหญ่จะฆ่าเจ้า”
อวี้หลัวช่าบอกว่า “เจ้าคิดมากไปแล้ว ไม่ส่งผลกระทบเรื่องออกไปจากที่นี่หรอก ไม่ตีเจ้า ไม่ด่าเจ้าด้วย เพียงแต่ออกไปแล้วเจ้าต้องให้ความร่วมมือนิดหน่อย”
“เจ้ามีวิธีการอะไรกันแน่?” ศีลแปดแปลกใจ
“เจ้าไปบอกพี่ใหญ่ บอกว่าก่อนจะออกไปข้าจะให้คำตอบที่น่าพอใจกับเขา!” อวี้หลัวช่าพูดทิ้งแล้วอุ้มลูกเดินไป นางไม่ยอมบอกเขา
ศีลแปดก็กังวลนิดหน่อยว่าเหมียวอี้จะแอบลงมือ จึงรีบวิ่งกลับไป ไปบอกสิ่งนี้กับเหมียวอี้
ที่หน้าผาด้านบนของหุบผาชัน เหมียวอี้ยืนอยู่ใต้ชายคาและทอดสายตามองริมทะเลสาบไกลๆ ศีลแปดได้แต่มองเขาตาปริบๆ
หลังจากเงียบไปนาน เหมียวอี้ก็กล่าวช้าๆ ว่า “ข้ารออยู่ หวังว่านางจะทำได้อย่างที่พูด!”
ทว่าการรอคอยนี้ก็ทำให้รอมาถึงวันสุดท้าย รอจนถึงวันที่ค่ายกลใหญ่การขาดควบคุม ก็ไม่เห็นอวี้หลัวช่าให้คำตอบอะไร คนที่อยู่ที่นี่นานล้วนมีประสบการณ์แล้ว รู้ว่าตอนเที่ยงวันก็จะถึงเวลาที่ค่ายกลหยุดทำงานชั่วคราว
รออยู่ท่ามกลางลมหนาวยามราตรี แน่ใจแล้วว่าอวี้หลัวช่าไม่ได้หนีไป ตอนที่ฟ้าเริ่มสาง เหมียวอี้ก็เดินอกมาจากไหล่เขา เดินออกมารับแสงแดดยามเช้าๆ เดินอย่างไม่รีบร้อนไปที่ริมทะเลสาบ พอไปถึงนอกเรือน ก็ชักกระบี่ยาวออกมา ปักกระบี่ยืนอยู่นอกเรือนไม้
“พี่ใหญ่! ท่านรอสักครู่นะ! ข้าจะกลับมาเดี๋ยวนี้” จู่ๆ ศีลแปดก็เปิดประตูวิ่งออกมาบอกเหมียวอี้ แล้ววิ่งไปทางหุบผาชันอย่างบ้าระห่ำ
อวี้หลัวช่าก็อุ้มลูกเดินออกมาเช่นกัน เดินเนิบนาบมาตรงหน้าเหมียวอี้ แล้วกล่าวพร้อมรอยยิ้ม “พี่ใหญ่มาแล้วเหรอ”
“คำตอบที่เจ้าบอกอยู่ที่ไหน?” เหมียวอี้ถาม
อวี้หลัวช่ามองกระบี่วิเศษในมือเขาแวบหนึ่ง แล้วกล่าวพร้อมรอยยิ้ม “ถ้าไม่สามารถให้คำตอบที่น่าพอใจกับท่านได้ ท่านเตรียมจะทำอย่างไร?”
“ใจเจ้ายากแท้หยั่งถึง ถึงขั้นยอมคลอดลูกออกมาปกป้องตัวเอง ถ้าไม่สามารถให้คำตอบที่น่าภูมิใจแก่ข้าได้ ข้าก็ไม่อาจให้เจ้ารอดชีวิตกลับไป” เหมียวอี้กล่าว
อวี้หลัวช่ายังคงยิ้ม “ข้าผิดเหรอที่ทำเพื่อเอาชีวิตรอด? ถ้าท่านสังหารข้าแล้ว ท่านจะเผชิญหน้ากับศีลแปดและลูกของเขายังไง?”
เหมียวอี้จึงบอกว่า “เจ้าเอาเรื่องนี้มาขู่ข้าก็ไม่มีประโยชน์ ข้ามีเมตตามามากพอแล้ว เห็นแก่เด็กและศีลแปด ข้าจะไม่เอาเปรียบเจ้า เจ้ากับข้ามาสู้กันอย่างยุติธรรมสักยก ถ้าไม่เป็นเจ้าที่ตาย ก็เป็นข้าที่ตาย ถ้าเจ้าตายแล้ว ข้าก็จะดูแลเด็กคนนี้ให้ดี”
อวี้หลัวช่าพยักหน้า “พี่ใหญ่คิดได้รอบคอบทั่วถึงจริงๆ ข้าขอถามสักคำ ถ้าข้าจะแต่งงานกับศีลแปด ท่านจะอนุญาตหรือเปล่า?”
เหมียวอี้ตอบว่า “ไม่อนุญาต นอกเสียจากข้าจะตาย! ชื่อเสียงเจ้าเป็นยังไงก็คงไม่ต้องให้ข้าพูดเยอะ ในอนาคตไม่ว่าจะเป็นศีลแปดหรือลูก ก็ล้วนแบกรับสิ่งนี้ไม่ไหว โดยเฉพาะลูกเจ้า เจ้าอย่าทำร้ายพวกเขาเลย!”
บนใบหน้าอวี้หลัวช่าเผยรอยยิ้มเจ็บปวดรางๆ “เป็นอย่างนี้จริงๆ ทำไมพวกผู้ชายถึงมีผู้หญิงได้นับไม่ถ้วน แต่ผู้หญิงกลับทำไม่ได้?”
เหมียวอี้ชำเลืองมองเด็กในอ้อมกอดนาง แล้วกล่าวอย่างใจเย็น “เพราะผู้ชายสามารถทำให้ผู้หญิงหลายคนมีลูกพร้อมกันได้ แต่ผู้หญิงกลับมีลูกให้ผู้ชายพร้อมกันหลายคนไม่ได้ไง”
………………