พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - บทที่ 1785 ความห่างไกลทำให้ใจโหยหา
ทุกคนรู้ว่านางกำลังหาอะไร นางกำลังหาสถานที่ที่เหมาะกับการอยู่อาศัยของเด็ก ในด้านนี้ไม่มีใครมีอำนาจสั่งการมากกว่าอวี้หลัวช่าแล้ว ศีลแปดที่ใครก็ล้วนมองออกว่าเป็นบิดาไร้ความรับผิดชอบก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น
สุดท้าย อาศัยสายตาของอวี้หลัวช่า นางก็เลือกสถานที่แห่งหนึ่งที่มีทั้งภูเขาหิมะและหุบเขาที่เป็นฤดูใบไม้ผลิตลอดทั้งปี มีน้ำพุใสและน้ำตก ดอกไม้บานสดใสเต็มภูเขา ทะเลสาบมรกตพร้อมทุ่งหญ้ากว้าง เป็นสถานที่ที่งดงามราวกับภาพวาดจริงๆ
หลังจากคนที่เหลือเหยียบลงพื้นตาม อวี้หลัวช่าก็เหมือนจะยังไม่วางใจ นางสำรวจแหล่งน้ำที่อยู่โดยรอบอีกครั้ง หลังจากแน่ใจแล้วว่าคุณภาพน้ำไม่มีปัญหา ก็ร่ายอิทธิฤทธิ์สำรวจลงไปใต้ดินอีก เพื่อให้แน่ใจว่าพื้นแข็งแรงมั่นคงไม่ถล่ม
หลังจากสำรวจอย่างต่อเนื่องจนเสร็จ นางถึงได้วางใจอย่างแท้จริง กล่าวกับเหมียวอี้พร้อมรอยยิ้มว่า “พี่ใหญ่ ท่านคิดว่าให้เด็กอยู่ที่นี่ดีมั้ย?”
เหมียวอี้พูดไม่ออกนิดหน่อย พอได้ยินคำว่า ‘พี่ใหญ่’ ตอนนี้ เขาก็รู้สึกแปลกๆ อีกฝ่ายอายุขนาดนั้นแล้ว…ทว่าอีกฝ่ายเรียกตามศีลแปด ทนฟังไปก่อนก็แล้วกัน
“แค่เจ้ารู้สึกว่าเหมาะสมก็พอ” เหมียวอี้ตอบกลับเสียงเรียบ สำหรับเขาแล้ว แค่หาที่พักอาศัยสักที่ก็พอ
“ในเมื่อพี่ใหญ่ไม่มีความเห็นแย้งอะไร งั้นก็เลือกที่นี่แล้วกัน” อวี้หลัวช่ายิ้มพร้อมตัดสินใจ แล้วจู่ๆ ก็ตั้งฝ่ามือข้างหนึ่งตรงหน้า คลื่นพลังอิทธิฤทธิ์ที่แข็งแกร่งกลุ่มหนึ่งกระเพื่อมออก กระเพื่อมไปไกลสี่ด้านแปดทิศ ต้นไม้ใบหญ้าพากันตระหนก สัตว์ร้ายที่ซ่อนอยู่ในป่าถูกไล่หนีกระเจิดกระเจิดทันที
จนกระทั่งสัตว์ร้ายที่นางต้องการไล่หนีกระเจิงไปหมดแล้ว นางก็พลิกมือคว้าบางอย่าง กำไลเก็บสมบัติวงหนึ่งบนข้อมือเหมียวอี้ลอยออกไปทันที นี่ไม่ใช่กำไลเก็บสมบัติของเหมียวอี้ เดิมทีเป็นของนาง มันกลับมาอยู่บนข้อมือนางอีกแล้ว
ของวิเศษที่กะพริบแสงสีเขียวชิ้นหนึ่งออกมาจากกำไลเก็บสมบัติ นางถลันตัวพุ่งขึ้นฟ้า ลอยอยู่กลางอากาศ ใช้มือข้างหนึ่งอุ้มเด็กเอาไว้ ส่วนมืออีกข้างจีบนิ้วมุทราแบบต่างๆ ของวิเศษแยกออกเป็นร้อยชิ้นอยู่บนฟ้าทันที ภายใต้การโบกแขนเสื้อของนาง ของวิเศษลอยไปสี่ด้านแปดทิศชิ้นแล้วชิ้นเล่า ไปปักลงบนพื้นเสียงดังตูมตาม
ผ่านไปไม่นาน คลื่นสีเขียวรูปครึ่งวงกลมก็กระเพื่อมลงมาราวกับชามคว่ำ ก่อนจะเลือนรางล่องหนไป นี่ก็คือค่ายกลป้องกันขนาดใหญ่ที่วางไว้ที่นี่
อวี้หลัวช่าเหาะลงจากฟ้า ธงสองคันลอยมาพร้อมกับนาง พอนางโบกแขนเสื้อ ธงสองคันก็แยกกันลอยไปตรงหน้าไต้ซือศีลเจ็ดและปีศาจโลหิต นางบอกว่า “ไม่แน่ว่าอาจมีคนหลงทางล่วงล้ำเข้ามาที่นี่ ค่ายกลนี้อาจจะต้านทานได้สักพัก ธงสองคันนี้ใช้สำหรับเปิดประตูทางเข้าออกค่ายกล”
ไต้ซือศีลเจ็ดกับปีศาจโลหิตสบตากันแวบหนึ่ง ทั้งสองทำได้เพียงคว้าจับเอาไว้ ส่วนธงที่เหลืออวี้หลัวช่าก็เก็บไว้หมดแล้ว แม้แต่ศีลแปดก็ไม่แบ่งให้
จากนั้นอวี้หลัวช่าก็ยื่นเด็กน้อยให้ปีศาจโลหิตอุ้ม ส่วนนางก็ไปเลือกสถานที่ที่ดีที่สุดด้วยตัวเอง ร่ายอิทธิฤทธิ์นำวัสดุมาสร้างที่พักด้วยตัวเอง
เมื่อเหมียวอี้เห็นดังนั้น ก็บอกใบ้ศีลแปดให้ไปช่วยนาง แม้ศีลแปดจะไม่ค่อยเต็มใจ แต่ก็ยังแข็งใจไปช่วยแล้ว
ตอนแรกที่อวี้หลัวช่าเห็นศีลแปดอยากมาช่วยนางสร้างบ้านให้ลูก นางก็ดีใจมาก แต่ใครจะคิดว่าตอนหลังทั้งสองจะขัดแย้งกันเรื่องรายละเอียดบางอย่าง ไม่น่าเชื่อว่าจะทะเลาะกันแล้ว พวกเหมียวอี้เห็นแล้วพูดไม่ออก
สุดท้ายศีลแปดก็กลับมาด้วยสีหน้าบึ้งตึง สะบัดชายเสื้อพร้อมบอกเหมียวอี้ว่า “เรื่องนี้ไม่มีอะไรต้องทำแล้ว ถ้าจะทำท่านก็ไปทำเอง ต่อให้ตีให้ตายข้าก็ไม่ทำแล้ว” ในใจเขาเก็บกดมาก จะสู้ก็สู้ไม่ชนะอวี้หลัวช่า ถ้าไม่มีความสามารถสนับสนุน การไปปะทะฝีปากก็เหมือนแกว่งเท้าหาเสี้ยน พอพูดผิดหูนิดหน่อย ก็แทบจะโดนอวี้หลัวช่าตบปากแล้ว
ใช้เวลาหนึ่งวันเต็มๆ อวี้หลัวช่าสร้างวัดที่ทำจากหยกเขียวบริสุทธิ์ขึ้นมาหลังหนึ่ง คนที่เหลือเข้าไปแทรกแซงไม่ได้ ไม่รู้ว่าในกำไลเก็บสมบัติของผู้หญิงคนนี้ใส่ของไว้มากเท่าไรกันแน่ แม้แต่หินหยกก็ยังใส่ไว้เยอะขนาดนี้ ทั้งยังเป็นหยกเขียวคุณภาพระดับสูงสุดด้วย ยังไม่หมดเท่านั้น อวี้หลัวช่ายังใช้ผลึกยอดไม้สร้างทิวทัศน์พืชพันธุ์ที่งดงามขึ้นมาอีก สุดท้ายก็สลักบนประตูใหญ่ด้วยมือตัวเองว่า ‘อาศรมซินหู’ ดูจากชื่อก็รู้แล้วว่าเป็นสถานที่ที่นางสร้างไว้ให้ลูกชาย
“ทุกคนคิดว่ายังไงบ้าง ยังมีจุดไหนที่ต้องแก้ไขอีกมั้ย?” อวี้หลัวช่ากลับมาถามความเห็นจากทุกคน
ทุกคนส่ายหน้าพร้อมกัน วัดตรงหน้าหรูหรามากพอแล้ว ทั้งยังไม่มีคนอยู่ด้วย จะปรับแต่งเป็นอย่างไรได้อีก?
ไม่สะดวกจะอยู่ที่นี่นาน วิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของพระปีศาจหนานโปจะแข็งกลายเป็นหินได้สามวันเท่านั้น ไม่ดีหากไร้คนเฝ้าในระยะยาว ไต้ซือศีลเจ็ดต้องกลับไป ทุกคนออกจากค่ายกลใหญ่ไปส่งด้วยกัน
หลังจากออกจากค่ายกลแล้ว อวี้หลัวช่าก็ขยุ้มมือดูดกระเป๋าสัตว์ใบหนึ่งตรงเอวเหมียวอี้กลับมา นี่ก็คือของของนางเช่นกัน
งูมังกรในกระเป๋าสัตว์ถูกเรียกออกมาแล้ว หน้าตาเหมือนทั้งงูทั้งมังกร มีเกล็ดสีทองทั้งตัว บนหน้าผากที่ดวงตาขนาดใหญ่สีเขียวเข้มน่าสะพรึงสองข้าง ในฟันที่คมเหมือนใบเลื่อนแลบลิ้นสีแดงสดออกมา กระพือปีกสีทองวิบวับบินอยู่บนฟ้า บินวนอยู่เหนือศีรษะของทุกคน สุดท้ายก็มาเหยียบลงพื้นตรงหน้าอวี้หลัวช่า ใช้กรงเล็บสองข้างค้ำร่างกายส่วนหน้าแล้วเงยศรีษะตรงหน้านาง
ด้วยการเรียกของอวี้หลัวช่า ไต้ซือศีลเจ็ดกับปีศาจโลหิตก้าวขึ้นมายืนเรียงหน้ากระดาน งูมังกรก้มหัวลง ดมเด็กน้อยในอ้อมกอดของอวี้หลัวช่า แล้วก็ดมศีลเจ็ดกับปีศาจโลหิตอีก อวี้หลัวช่ากำชับงูมังกรแล้ว ให้งูมังกรจดจำสามคนนี้ไว้ ให้ฟังคำสั่งของสามคนนี้ เน้นว่าเมื่อประสบปัญหาก็ต้องยอมแลกทุกอย่างเพื่อปกป้องเด็กคนนี้เอาไว้
จากนั้นอวี้หลัวช่าก็นำระฆังดาราออกมาลงตราอิทธิฤทธิ์ จากนั้นก็แลกกับทั้งสอง จะได้ติดต่อกันสะดวกยามมีธุระ จุดสำคัญก็ยังเป็นลูก ถ้าลูกพบความยุ่งยากอะไรก็ให้ติดต่อนางทันที นางจะรีบมาช่วย
จากนั้นไต้ซือศีลเจ็ดก็ขี่งูมังกรเหาะขึ้นฟ้าไป ส่วนปีศาจโลหิตยังไม่ไป
ผ่านไปไม่นาน งูมังกรที่พาไต้ซือศีลเจ็ดไปส่งสถานที่ผนึกก็กลับมาที่นี่อีก มาพักอยู่ในหุบเขาลึกมืดนอกค่ายกลป้องกัน
อวี้หลัวช่ายังไม่ได้รีบไป แต่พักอยู่ที่นี่เกือบครึ่งเดือน ในแต่ละวันนางนางอุ้มลูกแทบจะไม่วางมือเลย
สุดท้ายก็ต้องจากไป หลังจากออกจากค่ายกลป้องกันแล้ว เด็กที่ถูกส่งให้ถึงมือปีศาจโลหิตก็ถูกอวี้หลัวช่าอุ้มกลับมาอีกครั้ง การอุ้มกลับมาครั้งนี้ อวี้หลัวช่าก็อดทนไม่ไหวแล้วเช่นกัน ควบคุมอารมณ์ไม่ไหวแล้ว นางมองเด็กที่กำลังนอนหลับพลางส่ายหน้าสะอื้น “เป็นแม่ที่ทำผิดต่อเจ้า แม่ทำผิดต่อเจ้า ไม่ควรให้เจ้าเกิดมารับกรรม…” ใบหน้ายังคงแนบกับหน้าลูกไม่ยอมแยกจาก
พวกเหมียวอี้พูดไม่ออกอีกครั้ง โดยเฉพาะศีลแปดที่กลอกตาซ้ำๆ ก็อยู่สบายดีไม่ใช่เหรอ หลังจากคลอดออกมาแล้วก็ดูแลทั่วถึงทุกด้าน รับกรรมอะไรกัน?
แต่ทุกคนก็พอจะเข้าใจหัวอกแม่คนนี้ได้ โดยเฉพาะสิ่งที่ย้ำว่า หลังจากลูกโตแล้วอย่าให้ลูกรู้ว่าอวี้หลัวช่าคือมารดาผู้ให้กำเนิด คิดคิดแล้วก็ทำให้คนทอดถอนใจ ทว่าเรื่องแบบนี้ไม่ว่าใครก็ช่วยไม่ได้ ทุกคนล้วนต้องรับผิดชอบที่ตัวเองเดินทางผิด มานึกเสียใจทีหลังก็แก้ปัญหาอะไรไม่ได้
แต่จะว่าไปแล้ว ถ้าไม่ใช่เพราะอวี้หลัวช่าเดินทางผิด จ่ายราคาสูงระดับนี้ ก็คงไม่กลายเป็นพุทธะหน้าหยกอย่างทุกวันนี้เช่นกัน มีหลายเรื่องที่ได้อย่างก็ต้องเสียอย่างเสมอ
สุดท้ายเด็กน้อยก็ถูกส่งกลับมาถึงมือปีศาจโลหิตอีกครั้ง อวี้หลัวช่าที่เหาะขึ้นมาร้องไห้อย่างเจ็บปวดใจ เรียกได้ว่าเหาะช้า หันกลับมามองที่พื้นเป็นระยะ
ตอนที่เหาะอยู่ในดาราจักร หลังจากเก็บสำรวมอารมณ์เศร้าโศกแล้ว อวี้หลัวช่าก็ไม่เอ่ยถึงเรื่องตอนที่ตัวเองถูกควบคุมวรยุทธ์อีก นางบังคับจับเหมียวอี้และศีลแปดเข้าไปไว้ในกระเป๋าสัตว์
ทั้งสองหลบคำนวณเวลาอยู่ในกระเป๋าสัตว์ หลังจากผ่านไปหลายวันถึงได้ถูกปล่อยออกมาอีกครั้ง พอมองไปรอบๆ ก็พบว่าเป็นบนดาวเคราะห์ดวงหนึ่งที่เหมาะแก่การดำรงชีวิต
ระหว่างทางผ่านอะไรมาบ้างทั้งสองคนไม่รู้เลย แต่หลังจากนำแผนที่ดาวออกมาดู ก็พบว่าตัวเองกลับมาที่น่านฟ้าเถาะติงในอาณาเขตตำหนักสวรรค์แล้ว
“วะฮ่าๆ!” ศีลแปดกระโดดโลดเต้นอย่างบ้าคลั่ง “กลับมาแล้ว ในที่สุดปู่ก็กลับมาแล้ว…” หัวเราะไปได้ครึ่งทางก็ชะงัก พบว่าอวี้หลัวช่ากำลังจ้องเขาด้วยสีหน้าไม่เป็นมิตร เขาถามอย่างกินปูนร้อนท้อง “เจ้า…เจ้าคิดจะทำอะไร?”
เหมียวอี้ก็พึมพำในใจเช่นกัน ตามหลักแล้ว ในเมื่อมาถึงที่นี่แล้ว อวี้หลัวช่าก็ไม่จำเป็นต้องลงมือกับทั้งสองแล้วมั้ง ถ้าจะลงมือก็ลงมือไปนานแล้ว
อวี้หลัวช่าถามเสียงเรียบว่า “เจ้าจะกลับไปกับข้า หรือจะไปหาที่อยู่อื่น?” หลังจากพลังของผู้หญิงคนนี้กลับมา สง่าราศีก็ไม่ธรรมดาจริงๆ มีความน่าเกรงขาม
ศีลแปดรีบตอบว่า “กลับไปกับเจ้าคงไม่ดีมั้ง ถ้าให้คนเห็นเข้าจะไม่เหมาะสม”
“ไม่มีอะไรไม่เหมาะสม ข้าหาสถานที่เหมาะๆ ให้เจ้าอยู่ก็ไม่มีปัญหาแล้ว” อวี้หลัวช่ากล่าว
ศีลแปดรีบส่ายหน้า “ข้าไม่ได้มีนิสัยเกาะผู้หญิงกิน ข้าหาที่ไปที่เหมาะสมได้ ถ้ามีโอกาสค่อยไปหาเจ้า ไม่ต้องรบกวนเจ้าหรอก”
“ไม่ไปกับข้าจริงเหรอ?” อวี้หลัวช่าถามอีก
ศีลแปดรีบโบกมือ “ไม่มีความจำเป็นนั้นหรอกมั้ง ความห่างไกลทำให้ใจโหยหา ความห่างไกลทำให้ใจโหยหา อยู่ด้วยกันทุกวันจะเบื่อรสชาติได้ง่าย เจ้าว่ามั้ยล่ะ?”
อวี้หลัวช่าแสยะยิ้ม แล้วกล่าวอย่างเย็นเยียบว่า “ถ้าเจ้าต้องการอิสระข้าก็ไม่ห้ามหรอก แต่เจ้าลืมอะไรไปหรือเปล่า?”
“ลืมอะไร?” ศีลแปดงุนงง นึกไม่ออกว่าลืมอะไร จึงมองเหมียวอี้พร้อมถามว่า “ลืมอะไร?”
เหมียวอี้ก็งงเช่นกัน นึกไม่ออกว่าคืออะไร เขาขมวดคิ้วถาม “เรื่องของพวกเจ้าข้าจะไปรู้ได้ยังไงล่ะ?”
อวี้หลัวช่าแสยะยิ้ม “เจ้าไม่คิดว่าพวกเราควรจะมีระฆังดาราไว้ติดต่อกันหน่อยเหรอ? เจ้าเตรียมจะจากไปแล้วตัดขาดไม่ให้เหลือเยื่อใยกับข้าใช่มั้ย?”
ที่แท้ก็เรื่องนี้! เหมียวอี้ก้มหน้าก้มตา แสร้งทำเป็นไม่เห็น
“เปล่าซะหน่อย เปล่านะ” ศีลแปดอยู่เป็น รีบหยิบระฆังดาราสองอันออกมาลงตราอิทธิฤทธิ์ของตัวเอง แล้วใช้สองมือยื่นให้ตรงหน้าอวี้หลัวช่า แล้วกล่าวกลั้วหัวเราะ “นึกไม่ออกไปชั่วขณะเท่านั้นเอง ไม่ได้มีเจตนาอย่างอื่นนะ เจ้าเป็นพุทธะหน้าหยกผู้สง่าน่าเกรงขาม ข้าแทบจะประจบเจ้าไม่ทันด้วยซ้ำ จะตัดขาดไม่เหลือเยื่อใยอะไรกัน เจ้าช่างพูดอะไรน่าขำจริงๆ”
เหมียวอี้เหล่ตามองแวบหนึ่ง ในใจแอบพึมพำว่า ระฆังดาราจะใช้ได้ผลกับเจ้าเวรศีลแปดเหรอ? ถ้าเจ้าลูกตะพาบนี่ไม่อยากติดต่อต่อ ไม่ว่าใครก็ติดต่อไปไม่ได้ทั้งนั้น พี่ใหญ่อย่างเขาเคยได้รับบทเรียนมาแล้ว
อวี้หลัวช่าลงตราอิทธิฤทธิ์บนระฆังดาราสองอัน หลังจากตัวเองเก็บไว้อันหนึ่งแล้ว สีหน้าก็ดีขึ้นนิดหน่อย นางพยักหน้าพร้อมกล่าวด้วยน้ำเสียงปกติ “ข้ารู้สึกว่าเจ้าไปกับข้าจะเหมาะสมกว่า เจ้าอยากรักษาระยะห่าง อย่างมากเราก็แค่พบกันให้น้อยลงก็พอ”
สำหรับศีลแปดแล้ว ทำแบบนั้นได้ที่ไหนล่ะ แบบนี้ไม่เท่ากับโดนกักบริเวณหรอกเหรอ ไม่ง่ายเลยกว่าจะหลุดมาจากสถานที่ผนึกได้ นี่จะโดนกักบริเวณอีกแล้วเหรอ ต่อให้ตีให้ตายก็ไม่ทำหรอก ศีลแปดหน้าดำคร่ำเครียดแล้ว “เจ้าคงไม่กลับคำพูดหรอกใช่มั้ย?”
อวี้หลัวช่าแสยะยิ้ม “ถ้าข้ากลับคำพูดแล้วแล้วเจ้าจะทำอะไรได้ล่ะ? มิหนำซ้ำข้าก็ไม่ได้กลับคำพูด เจ้าอยากจะเรียนรู้การฝึกฌานเสพสังวาสไม่ใช่เหรอ?”
ศีลแปดด่าในใจอย่างบ้าคลั่ง แต่ก็อับจนปัญหา ถ้าอีกฝ่ายจะใช้วิธีแข็งกร้าว เขาก็ไม่มีหนทางเลยสักนิด จึงรีบมองเหมียวอี้ หวังว่าพี่ใหญ่จะช่วยเหลือได้
ใช่ว่าเหมียวอี้จะไม่อยากช่วยเขา แต่ก็ยังบอกว่า “เรื่องที่ไปกับเจ้าเอาไว้คุยกันทีหลัง เขาไม่ได้กลับมานานแล้ว ต้องไปเจอคนที่เป็นห่วงเขาสักหน่อย ต้องให้คำชี้แจงสักหน่อย มิหนำซ้ำฝั่งนี้ก็มีเรื่องต้องให้เขาชี้แจงด้วยเหมือนกัน
คำพูดพวกนี้กึ่งจริงกึ่งโกหก ส่วนแรกเป็นเรื่องโกหก แต่ส่วนหลังเป็นเรื่องจริง สมบัติลับสำนักหนานอู๋เขาไม่ให้อวี้หลัวช่า แต่ไม่ควรปล่อยน้ำปุ๋ยเข้านาคนอื่น[1] ในเมื่อออกมานานขนาดนี้แล้ว เขาก็เตรียมจะจัดการเรื่องนี้ด้วยเสียเลย นั่นก็คือส่งศีลแปดไปจุดซ่อนสมบัติลับ
…………………………
[1] ไม่ปล่อยน้ำปุ๋ยเข้านาคนอื่น 肥水不流外人田 ไม่ให้ผลประโยชน์ตกอยู่กับคนนอกครอบครัว