พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - บทที่ 1789 พุทธธรรมไร้ขอบเขต
“อาตมาไม่ได้ตาลายใช่มั้ย ต้องใช้เงินขนาดไหนกันกว่าจะสร้างได้ขนาดนี้ รวยแล้ว รวยใหญ่แล้ว ทั้งชาตินี้ยังใช้ไม่หมดเลย…” ศีลแปดกางแขนหัวเราะอย่างบ้าคลั่งพลางพุ่งเข้าไป ผลปรากฎว่าเหยียบไม่โดนบันได ด้วยความที่ไม่ระวัง จึงกลิ้งจากบนบันไดลงไปเลย
ทว่าเจ้าเวรนี่ก็ไม่ได้เก็บเรื่องนี้มาใส่ใจเลย ถึงขั้นไม่ร่ายอิทธิฤทธิ์ป้องกันด้วย เหมือนปล่อยให้ตัวเองตกลงไปตามสบาย ต่อให้ตกลงแล้วเจ็บก็ดีเหมือนกัน จะได้แน่ใจว่าตัวเองไม่ได้กำลังฝัน เพียงแต่ก้าวนี้ทำให้เขาตามทันเหมียวอี้ที่เดินนำลงไปก่อนแล้ว
เหมียวอี้ถลึงตาอ้าปากค้างขณะมองเจ้าเวรนี่กลิ้งผ่านหน้าตัวเองไปแล้วก็กึ่งลุกกึ่งคลานยืนขึ้นตรงเท้าเขา อยากจะถามสักหน่อยว่าเป็นอะไรหรือเปล่า แต่หลังจากได้เห็นรอยยิ้มชั่วร้ายของเจ้าเวรนี่แล้ว ก็รู้แล้วว่าตัวเองไม่ต้องกังวล
ศีลแปดหน้าผากกระแทกพื้นจนเลือดออก พอลุกขึ้นได้ก็วิ่งอยู่พักหนึ่ง เอามือลูบคลำผนังด้านตะวันออก แล้วตบผนังทางใต้ ตรวจดูความแข็งแรงทนทานจองผนังผลึกแดงบริสุทธิ์ไปทั่วทุกที่ บางครั้งก็หัวเราะโง่ๆ บางครั้งก็หัวเราะราวกับเป็น เวลาตื่นเต้นขึ้นมาก็ยังกอดจูบรูปสลักด้วย
“พี่ใหญ่ ข้ารวยแล้ว พวกเรารวยแล้วจริงๆ ท่านเองก็ไม่ต้องไปเป็นหัวหน้าภาคก้นหมาอะไรนั่นแล้ว สมบัติพวกนี้เพียงพอให้พวกเราใช้ไปทั้งชาติ ไม่ต้องไปเล่นกับหลานๆ พวกนั้นแล้ว” ศีลแปดที่โห่ร้องดีใจปีนขึ้นไปบนฐานดอกบัวเก้าชั้นตรงกลางอีก ใครจะคิดว่าพอกระโดขึ้นไปบนกลีบดอกไม้ เขาก็ร้องเหมือนผีสางแล้วกระโดดลงมาอีก เป็นเพราะตกใจของบางอย่างในกลีบดอกบัว “เวรเอ้ย ตัวบ้าอะไรวะ!”
ตอนนี้เขาถึงดึงสติกลับมาจากความบ้าคลั่ง หลังจากถามแล้ว ก็ลอยขึ้นมาตรงกลาง มองสำรวจของในฐานดอกบัวเก้าชั้นที่ยาวเหยียดขึ้นไป
เหมียวอี้ถลันตัวไปเหยียบบนยอดฐาน แล้วก้มหน้ามองงูขาวตัวใหญ่ที่มีเกล็ดขาวดุจหิมะทั้งตัว บนหัวมีเขาโปร่งแสงเหมือนผลึกใสหนึ่งแท่ง บนยอดเขามีลำแสงเจ็ดสี เขาบอกว่า “นี่เป็นนักพรตปีศาจที่เฝ้าสมบัติลับ!”
ศีลแปดถลันไปเหยียบลงข้างกายเขา มองลงล่างพลางพึมพำว่า “บนหัวมีเขาแล้ว ไม่สะดวกจะลอดโพรงออกไปอีก นี่มันเปลี่ยนร่างเกินขอบเขตงูแล้ว ดูท่าแล้ววรยุทธ์น่าจะไม่ต่ำ! เอ๋ ไม่ใช่สิ มันถูกควบคุมไว้แล้ว ถ้าถูกควบคุมแล้วยังจะเฝ้าที่ซ่อนสมบัติลับได้ยังไง? หรือว่ามันก็คือหนึ่งในสมบัติลับเหมือนกัน? ดูจากมูลค่าของในห้องสมบัตินี้ คาดว่าราคาของยาเม็ดปีศาจก็ไม่ธรรมเหมือนกัน”
เหมียวอี้เหล่ตามองอย่างเย็นเยียบ “ข้าขอเตือนเจ้าไว้ก่อน อย่าไปแตะต้องมันสุ่มสี่สุ่มห้าเด็ดขาด นักพรตปีศาจตนนี้ใช้เพื่อจัดการคนที่ละโมบโลภมากโดยเฉพาะ ถ้าเจ้าไปแตะต้องมันก็จะเกิดปัญหาใหญ่ แถมวรยุทธ์ของนักพรตปีศาจก็ไม่ต่ำแน่นอน คงระดับสำแดงฤทธิ์ขั้นหนึ่งเป็นอย่างต่ำ ถ้าไปแตะโดนจุดต้องห้ามซี้ซั้ว ระวังจะรักษาชีวิตตัวเองไว้ไม่ได้”
เขาดูออกตั้งนานแล้ว ว่านักพรตปีศาจที่ถูกผนึกไว้ตรงจุดซ่อนสมบัติลับจะต้องมีเหตุผลที่คงอยู่แน่นอน ควรจะฆ่าหรือไม่ก็มีการจัดเตรียมวางแผนไว้ตั้งแต่แรกแล้ว คางคกตัวใหญ่ที่สามารถสะสมอัคคีน้ำแข็งมีไว้เพื่อมอบไฟหยินให้เขาใช้ฝึกตน เสิ้นหมีที่ยังไม่ถูกทำให้ตายก็เพื่อมอบตาทิพย์ให้เขา สรุปก็คือนักพรตปีศาจที่เฝ้าอยู่ตามจุดซ่อนสมบัติลับพวกนี้ล้วนมีเหตุผลที่คงอยู่ เหตุผลก็ไม่ได้ซับซ้อน ถ้าต้องการจะฆ่า คนที่ผนึกไว้คงลงมือฆ่านานแล้ว ไม่ถึงคราวให้คนอื่นมาลงมือหรอก ไม่อย่างนั้นถ้าจะเอายาเม็ดปีศาจจริงๆ ก็ไม่ถึงคราวให้ศีลแปดลงมือตอนนี้เช่นกัน เขาคงลงมือไปนานแล้ว
ด้วยเหตุนี้เอง เขาจึงมิอาจไม่เตือนศีลแปด ถึงขั้นขู่ให้กลัวด้วย
“อย่างน้อยก็วรยุทธระดับสำแดงฤทธิ์ขั้นหนึ่ง…” ศีลแปดเดาะลิ้นไม่หยุด ถามอย่างหวาดกลัวนิดหน่อย “นี่มันถูกควบคุมอยู่จริงๆ ใช่มั้ย? คงไม่ฟื้นขึ้นมาปิดปากพวกเราสองคนหรอกนะ”
“ถ้าเจ้าไม่แตะต้องมัน มันก็ไม่ฟื้น แต่ถ้าเจ้าแตะต้องมัน มันก็จะฟื้น” เหมียวอี้กล่าว
ศีลแปดจึงบอกว่า “งั้นก็ไม่ต้องสนใจมันแล้ว พวกเรานำของมีค่าที่นี่ไปก่อนเถอะ” พูดจบก็มองไปรอบๆ ครู่หนึ่ง แล้วสุดท้ายก็เริ่มตะลึงงันทีละนิด พึมพำเบาๆ ว่า “พี่ใหญ่ ถ้าจะเอาของพวกนี้ไปก็เหมือนจะยุ่งยากนิดหน่อยนะ เหมือนมันเป็นชิ้นเดียวกันทั้งหมด ไม่มีของที่เอาไปเดี่ยวๆ ได้ ถ้าหั่นออกไป จะต้องใช้เวลาถึงเมื่อไรกัน?” จากนั้นก็สงสัยอีก “ไม่ถูกสิ ห้องสมบัติลับใหญ่ขนาดนี้จะไม่มีของอย่างอื่นเลยได้ยังไง” เขามองเหมียวอี้ “พี่ใหญ่ ท่านคงไม่ได้มาที่นี่ล่วงหน้าแล้วขนออกไปแล้วหรอกใช่มั้ย? ตอนนี้พาข้าเข้ามาแทะกระดูกเหรอ?”
เหมียวอี้เหล่ตามองแวบหนึ่ง “เจ้าน่ะความคิดชั่วร้ายเยอะเกินไป! ข้าจะบอกเจ้าให้นะ มูลค่าที่แท้จริงของห้องสมบัติลับไม่ได้อยู่ที่วัตถุที่เจ้ามองเห็นตรงหน้านี้หรอก แต่อยู่ในคุณค่าบางอย่างที่คนอื่นมองไม่ออก อย่างหลังมีมูลค่าสูงกว่าอย่างแรกไกลมาก”
“เอ๋…” ศีลแปดมองประเมินรอบๆ อีกครั้ง แล้วถามด้วยความสงสัย “มีเหรอ? ทำไมข้ามองไม่ออก?”
เหมียวอี้จึงถามว่า “เจ้ารู้มั้ยว่าทำไมอวี้หลัวช่าถึงยอมเสี่ยงอันตรายเพื่อตามหาสมบัติลับ? อวี้หลัวช่าถึงขั้นบอกข้าเลยนะ ว่าขอเพียงนางได้สมบัติลับนี้ นางก็จะยอมไม่เอาตำแหน่งพุทธะหน้าหยก คนระดับอวี้หลัวช่าจะขาดแคลนเงินทองเชียวเหรอ? ข้าจะบอกเจ้าอีกครั้ง สาเหตุที่สำนักหนานอู๋ถูกพระปีศาจหนานโปฆ่าล้างสำนัก ก็เพราะสมบัติลับนี่แหละ ในปีนั้นพระปีศาจหนานโปปกครองทั้งใต้หล้า เขาจะมีทรัพย์สินน้อยกว่าสิ่งที่เรียกว่าสมบัติลับนี่เชียวหรือ?”
“ขนาดปีศาจเฒ่านั่นยังอยากได้สมบัติลับเลยเหรอ?” ศีลแปดตกใจแล้วจริงๆ เริ่มเดินวนและมองสำรวจรอบๆ ทั้งข้างล่างข้างบน “ไหนล่ะ? พี่ใหญ่ ท่านอย่าล้อเล่นสิ คนซื่อสัตย์อย่างอาตมาทนท่านล้อเล่นไม่ไหวหรอก มูลค่าที่มองไม่เห็นที่ท่านบอกอยู่ที่ไหนล่ะ!”
เหมียวอี้จึงบอกว่า “เจ้าลืมคำพูดของอวี้หลัวช่าไปแล้วเหรอ? ตำนานบอกว่าสำนักหนานอู๋ซ่อนพุทธธรรมไร้ขอบเขตเอาไว้บทหนึ่ง หลังจากฝึกสำเร็จแล้วก็จะสามารถครอบคลุมสรรพสิ่ง และสามารถทำลายพระปีศาจหนานโปได้ด้วย นี่น่าจะเป็นสาเหตุที่พระปีศาจหนานโปฆ่าล้างสำนักหนานอู๋ และเป็นสาเหตุที่อวี้หลัวช่ายอมทิ้งตำแหน่งพุทธะเพื่อให้ได้ของสิ่งนี้ด้วย”
ศีลแปดมองไปรอบๆ อย่างประหลาดใจ “พี่ใหญ่หมายความว่า ที่นี่ซ่อนพุทธธรรมไร้ขอบเขตบทนั้นเอาไว้เหรอ?”
เหมียวอี้พยักหน้า “มีความเป็นไปได้สูงว่าจะเป็นที่นี่ แต่ข้าสำรวจทั้งห้องสมบัติแล้ว ยังไม่เจอว่าห้องสมบัติมีห้องลับอื่นอีก บางทีอาจจะเป็นเพราะข้าไม่ใช่ศิษย์สำนักพุทธ เลยแก้โจทย์ไม่ได้ว่าพุทธธรรมไร้ขอบเขตซ่อนอยู่ตรงไหน นี่ก็คือสาเหตุที่ข้าพาเจ้ามา หวังว่าเจ้าจะไขความลับห้องสมบัตินี้ได้ และได้ครอบครองพุทธธรรมไร้ขอบเขตที่แม้แต่พระปีศาจหนานโปก็บยังหวาดกลัว!”
นี่ไม่ใช่เรื่องเล็กแน่นอน ศีลแปดก็เองก็ไม่จริงจังไม่ได้แล้ว จู่ๆ ก็ถลันตัวขึ้นไปที่เพดานด้านบน ไล่ตรวจสอบทุกกระเบียดนิ้ว ไม่ปล่อยผ่านรายละเอียดเล็กน้อยแม้แต่จุดเดียว ส่วนเหมียวอี้ก็นั่งขัดสมาธิรออยู่บนแท่นดอกบัวเก้าชั้น
ศีลแปดใช้เวลาตรวจสอบไปเกือบห้าวัน สุดท้ายก็เหาะไปเหยียบตรงข้างกายเหมียวอี้ ถือกาน้ำกรอกปากสองสามอึก แล้วส่ายหน้าบอกว่า “พี่ใหญ่ ข้าหาทั่วแล้วแต่ก็ไม่มี”
เหมียวอี้ยืนขึ้นแล้วชี้ไปรอบๆ “ครั้งก่อนข้าตอนข้าอยู่ที่นี่ ข้าเคยสัมผัสเรื่องที่มี่เงื่อนงำได้ครึ่งหนึ่ง มันมาจากรูปสลักที่อยู่รอบด้าน เจ้าลองตรวจสอบตรงนี้อีกครั้งสิ ยกตัวอย่างเช่นพระพุทธรูปสามองค์นั้น ข้ารู้สึกว่าแปลกใจ องค์หนึ่งนั่งสมาธิอยู่บนฐานดอกบัวด้วยสีหน้าเมตตาธรรม อีกองค์หนึ่งนอนตะแคง ยังมีอีกองค์ที่ยืนเท้าเปล่าหันหลังให้ มีพระพุทธรูปที่ไหนกันที่ไม่หันหน้าตรง ได้แต่หันกลัง เจ้าไม่รู้สึกว่าแปลกมากเหรอ? ในจำนวนนี้กำลังบอกใบ้อะไรหรือเปล่า?”
ศีลแปดหันรอบมองพระพุทธรูปสามองค์ แล้วส่ายหน้าบอกว่า “น่าจะไม่มีอะไรแปลกมั้ง พุทธธรรมที่ข้าฝึกก็มีพูดถึงพระพุทธรูปเหมือนกัน พระพุทธรูปที่ยืนเปลือยเท้าหันหลังให้มีนามว่า ‘พุทธะองค์ก่อน’ ไม่รักไม่โกรธ เป็นตัวแทนว่าผ่านไปแล้ว มีแค่ความหมายแฝงนี้ ไม่ได้ซับซ้อนอย่างที่พี่ใหญ่คิด ส่วนที่นั่งขัดสมาธิด้วยสีหน้าเปี่ยมเมตตาบนฐานดอกบัวมีนามว่า ‘พุทธะองค์ปัจจุบัน’ แฝงความหมายว่าได้รับการกราบไหว้บูชาจากผู้คนในปัจจุบัน จึงนั่งสง่าหน้าตรงให้ทุกคน ส่วนองค์ที่นอนตะแคงมีนามว่า ‘พุทธะองค์ต่อไป’ ที่นอนหลับสงบแบบนั้นก็เข้าใจได้ง่ายมาก ทั้งยังหลับลึกด้วย ไม่ใช่ทั้งอดีต และไม่ใช่ปัจจุบัน รอเขาตื่นขึ้นมาวันไหนก็ย่อมเป็นองค์ต่อไปแล้ว ถึงได้ถูกเรียกว่า ‘พุทธะองค์ต่อไป’ พระพุทธรูปสามองค์นี้ก็แฝงความหมายว่า อดีต ปัจจุบัน อนาคต เรียกว่าธรรมกาย สัมโภคกายและนิรมานกายเช่นกัน หรือพูดได้อีกอย่างว่าพระพุทธรูปสามองค์นี้มีไว้เปรียบเทียบ ไม่ได้มีเงื่อนงำ…เงื่อนงำ…เงื่อนงำ…อะไรเหมือนที่พี่ใหญ่บอก” ศีลแปดมองรอบๆ พลางอธิบาย พอสายตาไปหยุดอยู่บนฐานดอกบัวใต้เท้า จู่ๆ ก็เกิดความฉงนนิดหน่อย พึมพำหลายประโยคซ้ำไปซ้ำมา
เหมียวอี้ไม่ใช่ศิษย์สำนักพุทธ ขณะกำลังฟังเหมือนจะเข้าใจกึ่งไม่เข้าใจ จู่ๆ เห็นศีลแปดมีสีหน้าแบบนี้ เขาก็มองตามฐานดอกบัวใต้เท้าเช่นกัน แต่มองไม่ออกว่ามีเบาะแสอะไร จึงอดไม่ได้ที่จะถาม “เจ้ามองเห็นเบาะแสอะไรหรือเปล่า?”
ศีลแปดพึมพำขณะเอามือลูบคาง “พอพูดแบบนี้ ตำแหน่งที่สร้างฐานดอกบัวนี่ก็มีเงื่อนงำจริงๆ”
มองอะไรบางอย่างออกแล้วจริงๆ ด้วย เหมียวอี้ถามด้วยความดีใจมาก “มีเงื่อนงำยังไงล่ะ?”
ศีลแปดทำสีหน้าฉงน มองพระพุทธรูปสามองค์ที่จัดวางเป็นวงแหวนรอบๆ อีกครั้ง แล้วขมวดคิ้วบอกว่า “ตามหลักแล้ว พุทธะองค์ก่อน พุทธะองค์ปัจจุบัน พุทธะองค์ต่อไปก็สามารถอธิบายขั้นตอนการบำเพ็ญได้เหมือนกัน ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน น่าจะเรียงลำดับกัน โดยทั่วทุกคนล้วนมีชีวิตอยู่กับปัจจุบัน ดังนั้นจะหล่อ ‘พุทธะองค์ปัจจุบัน’ ไว้ตรงตำแหน่งกลาง ต่อให้หล่อพระพุทธรูปสามองค์พร้อมกัน แต่ก็ต้องางไว้ตามลำดับ จากนั้นข้างล่างก็จะวางฐานดอกบัวให้สอดคล้องนาม แต่สถานการณ์ของที่นี่ค่อนข้างแปลก ไม่น่าเชื่อว่าพระพุทธรูปสามองค์จะจัดวางเป็นวงแหวน ให้ความรู้สึกเหมือนอดีต ปัจจุบัน อนาคตหมุนเวียนวัฏจักร และฐานดอกบัวก็วางไว้ตรงกลางโดยมีพระพุทธรูปสามองค์ล้อมพิทักษ์ แล้วก็คล้ายจะรวมอดีต ปัจจุบัน อนาคตเข้าไว้ด้วยกัน…เห็นแล้วให้ความรู้สึกอย่างนั้น แต่ก็เหมือนจะฟังดูเหลวไหล ใครจะไปรวมอดีต ปัจจุบัน อนาคตเอาไว้ด้วยกันล่ะ? หรือว่านี่จะเป็นพุทธธรรมไร้ขอบเขตอะไรกัน? หรือว่าอาตมาเข้าใจความหมายผิดไป? ดังนั้นข้ารู้สึกว่าการสร้างตำแหน่งฐานดอกบัวนี้มีเงื่อนงำ อย่าบอกนะว่าจะมีของอะไรซ่อนอยู่ด้านล่าง ไม่มีนี่! ข้าร่ายอิทธิฤทธิ์สำรวจลงลึกไปแล้ว มันสมจริงมาก ไม่ใช่ที่ซ่อนของเลย!”
เขาหันกลับไปมองเหมียวอี้ “พี่ใหญ่ ท่านบอกว่าครั้งก่อนท่านรู้สึกว่าที่นี่มีเงื่อนงำ มันคือเงื่อนงำอะไรกันแน่?”
เหมียวอี้ส่ายหน้า “ข้าเองก็ไม่รู้ว่ามันเรื่องอะไรกันแน่ เจ้าดูภาพสลักรอบๆ แล้วหรือยัง ครั้งก่อนข้าจ้องภาพสลักจนเหม่อลอย ราวกับทั้งตัวเข้าไปอยู่ในภาพวาด ทุกอย่างในภาพวาดเหมือนมีชีวิตอยู่ตรงหน้าข้า เหมือนในชีวิตข้าผ่านเรื่องราวแบบนี้มาจริงๆ ทำให้คนแยกแยะจริงเท็จไม่ออก ข้าก็เลยสงสัยว่าภาพสลักรอบๆ นี้มีปัญหาให้เจ้าตรวจสอบไปในทางนั้น”
“สลักเหรอ? ภาพฝาผนัง? ข้าเข้าไปตรวจสอบใกล้ๆ ซ้ำหลายรอบแล้ว แต่ก็ไม่มีปัญหาอะไรนะ!” ศีลแปดแปลกใจ สายตาก็เพ่งมองภาพฝาผนังตรงหน้าอย่างละเอียดเช่นกัน
……………………