พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - บทที่ 1792 ในบ้านมีผู้หญิงโหด
ด้วยการไต่ตรองหลายรอบ สุดท้ายเหมียวอี้ก็นำแผนที่ออกมาทำสำเนาแล้วมอบให้ศีลแปด “ข้าขอเตือนเจ้านะ ทางที่ดีอยู่ที่นี่อย่างซื่อสัตย์ ไม่อย่างนั้นข้าจะเอาลูกชายเจ้ามาให้เจ้าเลี้ยงเอง!”
“อย่าสิ!” ศีลแปดรีบโบกมือ เขาตกใจไม่เบา สีหน้าเปลี่ยนไปแล้ว เลี้ยงลูกเหรอ ล้อเล่นอะไรกัน วิธีการนี้โหดเกินไปแล้ว “พี่ใหญ่วางใจได้ นอกเสียจากจะมีคนเอามีดมาจ่อคอข้า ไม่อย่างนั้นอาตมานก็ไม่ออกไปแน่นอน!”
“รู้แล้วก็ดี ถ้ามีเรื่องอะไรก็ใช้ระฆังดาราติดต่อข้า” เหมียวอี้พูดทิ้งท้ายแล้วหันเลี้ยวจากไป
“พี่ใหญ่ ท่านไม่ได้เอาแผนที่ปลอมมาหลอกข้าใช่มั้ย?” ศีลแปดตะโกนถามตามหลัง
ประโยคเดียวก็ยั่วโมโหเหมียวอี้แล้ว เหมียวอี้หันตัวมาแล้วเตะหนึ่งที ตุ้บ เตะจนเขากลิ้งอยู่บนพื้นเสียเลย
แต่ศีลแปดกลับลุกขึ้นด้วยสีหน้ายิ้มแย้มปลาบปลื้ม เชื่อว่าตัวเองได้แผนที่ของจริงมาแล้ว จึงถลันตัวขึ้นไปบนฐานดอกบัวเก้าชั้นแล้วบอกว่า “พี่ใหญ่กลับดีๆ ข้าไม่ไปส่งนะ ข้าต้องรีบฝึกตนแข่งกับเวลา”
เหมียวอี้ใช้สายตาเย็นเยียบมองคว้านแวบหนึ่ง แสยะหัวเราะแล้วหันเลี้ยวจากไป ตอนที่เพิ่งจะเดินออกจากโพรงถ้ำ ด้านหลังก็มีเสียงดังโครม ประตูบานใหญ่ตรงทางเข้าปิดอีกครั้ง เขาหันกลับมามองแวบหนึ่ง ไม่รู้เหมือนกันว่าศีลแปดมีวิธีออกไปจากที่นี่หรือเปล่า
แต่ก็ไม่ต้องกังวล ถ้าอยู่ข้างในแล้วศีลแปดมีปัญหาอะไรจริงๆ ก็จะต้องติดต่อขอความช่วยเหลือจากเขาแน่นอน ไม่มีทางขังตัวเองตายอยู่ข้างใน
เมื่อคิดได้แล้ว เหมียวอี้ก็รีบออกไป
หารู้ไม่ว่าศีลแปดที่ตัวอยู่ในห้องสมบัติ พอเห็นประตูใหญ่ปิดแล้ว สิ่งแรกที่ทำก็คือถลันไปตรงประตูเพื่อศึกษาว่าจะเปิดประตูบานใหญ่นี้จากข้างในได้อย่างไร ส่วนเรื่องฝึกตนก็สามารถโยนไว้ข้างหลังก่อนได้ ถ้ามองไม่เห็นทางหนีทีไล่ ก็ไม่มีทางฝึกตนได้อย่างสงบใจอยู่ดี…
“กลับมาแล้วเหรอ!”
พอกลับมาถึงจวนหัวหน้าภาคแดนรัตติกาล เหมียวอี้ก็เห็นอวิ๋นจือชิว แล้วก็เห็นอวิ๋นจือชิวกำลังหัวเราะอย่างมีลับลมคมในด้วย เขารู้สึกอับอายในใจ รู้ว่าตอนแรกที่ปิดบังผู้หญิงคนนี้แล้วแอบไปสถานที่ผนึกเงียบๆ ได้ยั่วโมโหผู้หญิงคนนี้แล้ว มีความเป็นไปได้สูงว่านางจะมาคิดบัญชีกับเขา
ตอนนี้ภายนอกยังพยายามพูดกับตนอย่างสุภาพเกรงใจ ก็เพราะข้างกายยังมีแขก ก่วงเม่ยเอ๋อร์มาอีกแล้ว ถ้าไม่ใช่เพราะแบบนี้ นางจะต้องอาละวาดใส่ตนอย่างถึงที่สุดแน่นอน
“พี่ใหญ่หนิว” ก่วงเม่ยเอ๋อร์ที่ยืนอยู่ข้างอวิ๋นจือชิวกลอกดวงตางามมองเขา นางหัวเราะโดยไม่เปล่งเสียง ท่าทางดีใจมาก
เหมียวอี้มองประเมินนางตั้งแต่ศีรษะจดเท้าแวบหนึ่งโดยจิตใต้สำนึก ใบหน้านั่น หน้าอกนั่น เอวนั่น บั้นท้ายนั่น ในใจแอบทอดถอนใจ ก่วงเม่ยเอ๋อร์คนนี้เป็นหญิงงามที่สามารถก่อหายนะได้โดยธรรมชาติ รูปร่างหน้าตายั่วยวนเกินไปแล้วจริงๆ งดงามเย้ายวนยิ่งกว่ามารดานางเสียอีก เขาตั้งใจเผยรอยยิ้มให้นางเห็น “เม่ยเอ๋อร์มาแล้วเหรอ ขอโทษนะ มีงานรัดตัวออกจากไปข้างออก ไม่ได้มาต้อนรับตั้งแต่ไกลๆ หวังว่าจะอภัย!”
“พี่ใหญ่หนิวพูดจาห่างเหินเกินไปแล้ว” ก่วงเม่ยเอ๋อร์ป้องปากหัวเราะ
หลายปีมานี้นางมาต่อเนื่องกันหลายรอบ แต่ก็ไม่ได้เจอเหมียวอี้เลย ยังนึกว่าเหมียวอี้จงใจหลบเลี่ยงนางเสียอีก เดิมทีนางไม่อยากมาอีกแล้ว ถ้าไม่ใช่เพราะพ่อบ้านโกวเยว่ต้องการให้นางออกหน้าช่วยตระกูลก่วงรักษาความสัมพันธ์กับตำหนักนารีสวรรค์ นางก็ไม่อยากมาแล้วจริงๆ นางไม่ใช่คนไร้ยางอายเสียหน่อย
พอนางมาครั้งนี้ ก็ได้ยินว่าเหมียวอี้ไม่อยู่อีกแล้ว นางนึกว่าเหมียวอี้ตั้งใจหลบหน้านางแน่นอน แต่ใครจะคิดว่าจะบังเอิญเจอเหมียวอี้กลับมาจากข้างนอกแล้วจริงๆ นางถึงได้เชื่อว่าอีกฝ่ายไม่ได้จงใจหลบหน้านาง แต่มีธุระจริงๆ เมื่อมาคิดดูตอนนี้ ก็รู้สึกว่าอีกฝ่ายไม่เหมือนกับนางแล้ว นางเป็นคนว่างงาน แต่อีกฝ่ายเป็นหัวหน้าภาค จะต้องมีงานมากมายให้จัดการแน่นอน นางอาจเข้าใจผิดไปแล้วจริงๆ
เฟยหงที่อยู่ข้างๆ เดินเข้ามาด้วยตัวเอง มารับหมวกมุ้งสีดำที่เหมียวอี้ถอดออก
ไม่มีทางเลือก เพราะผมยังไม่ทันยาว ถ้ามีคนเห็นเยอะเกินไป เกรงว่าจะมีคนคิดมาก
ตรงนี้เพิ่งจะถอดหมวกมุ้งออก อวิ๋นจือชิวกับเฟยหงก็อึ้งทันที ก่วงเม่ยเอ๋อร์ก็มองศีรษะที่ผมเพิ่งขึ้นของเหมียวอี้อย่างตะลึงเช่นกัน นางถามอย่างแปลกใจว่า “พี่ใหญ่หนิว ผมท่านเป็นอะไรไป?”
เหมียวอี้ตอบกลั้วหัวเราะ “มีปัญหานิดหน่อยนะ ไปต่อสู้มายกหนึ่ง โชคดีที่ไม่โดนอีกฝ่ายตัดหัวทิ้ง เพียงแต่ผมดันรับกรรมแล้ว นับวางดวงแข็งรอดมาได้”
ก่วงเม่ยเอ๋อร์ทำท่าตบอกตกใจ “ใครกันที่ใจกล้าขนาดนั้น กล้าลงมือกับหัวหน้าภาคแดนรัตติดาล? ไม่เป็นอะไรก็ดีแล้วค่ะ” ตอนนี้นางยิ่งเชื่อแล้วว่าเหมียวอี้มีธุระข้างนอกจริงๆ ไม่จำเป็นต้องโกนผมมาตบตานาง สงสัยคนที่ทำงานเบื้องล่างจะใช้ชีวิตลำบากจริงๆ
หารู้ไม่ว่าท่าทางตบหน้าอกนั่นกลับทำให้เหมียวอี้ชำเลืองมองหลายครั้ง เป็นท่าที่ยั่วยวนใจจริงๆ ถูกดึงดูดอย่างควบคุมไม่อยู่แล้ว ทว่าตอนที่เขาบังเอิญเหลือบไปเห็นอวิ๋นจือชิวกำลังจ้องเขาด้วยใบหน้ากึ่งยิ้มกึ่งนิ่ง ในใจก็รู้สึกขนลุกทันที รู้ว่าฮูหยินมองออกถึงความคิดต่ำทรามในใจแล้ว จึงแสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ ตอบพร้อมรอยยิ้มว่า “เป็นเรื่องเล็กน้อยเท่านั้น”
“นายท่านเพิ่งกลับมา ไปอาบน้ำก่อนเถอะ” อวิ๋นจือชิวกล่าวพร้อมรอยยิ้ม แล้วก็หันมาบอกเฟยหงอีก “น้องสาว เจ้าอยู่เป็นเพื่อนแขกไปก่อนนะ” หลังจากเฟยหงเอ่ยรับ นางก็บอกก่วงเม่ยเอ๋อร์อีกส่า “น้องสาวพักผ่อนก่อนนะ อีกเดี๋ยวนายท่านจะตั้งโต๊ะเลี้ยงรับรอง”
ก่วงเม่ยเอ๋อร์พยักหน้ายิ้ม “ไม่เป็นไรค่ะ พวกท่านไปอาบน้ำเถอะ”
“นายท่าน!” อวิ๋นจือชิวยื่นมือเชิญเหมียวอี้อย่างสุภาพ
ยิ่งนางทำตัวสุภาพ เหมียวอี้ก็ยิ่งขนลุก รู้ว่าถ้ายื่นหัวก็เจอดาบ หดหัวก็เจอดาบเหมือนกัน นอกเสียจากว่าจะไม่กลับมาแล้ว เอกลับมาจะต้องโดนคิดบัญชีแน่นอน ก่อนจะมาก็รู้แล้วว่าผลที่ตามมาจะเป็นอย่างไร เขายิ้มแห้งพลางพยักหน้าให้ก่วงเม่ยเอ๋อร์ แล้วหันตัวเดินไปทางห้องอาบน้ำ
เชียนเอ๋อร์กับเสวี่ยเอ๋อร์สบตากันแวบหนึ่ง ทั้งสองรู้ชัดว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้น จึงไม่สนใจตามไป
ทางนี้เพิ่งจะหลบเลี่ยงคนนอกเข้ามาในลานบ้าน อวิ๋นจือชิวที่เดินอยู่ข้างกายเหมียวอี้ก็กล่าวอย่างคลุมเครือว่า “หนิวเอ๋อร์ เจ้านี่พอได้เลยนะ! ตอนนี้หลอกเมียได้เป็นชุด ฝีมือเพิ่มขึ้นแล้วนี่!”
“ฮูหยินล้อเล่นแล้ว อ้อใช่ ข้านึกออกแล้ว ก่อนหน้านี้ข้าอาบน้ำมาแล้ว ไม่จำเป็นต้องอาบอีกแล้ว ไปไล่ก่วงเม่ยเอ๋อร์นั่นก่อนดีกว่า” เหมียวอี้เอามือไขว้หลัง หันตัวเดินกลับไป อยากจะกลบเกลื่อนให้เคราะห์ครั้งนี้ผ่านไป
ชวิ้ง! กระบี่วิเศษสางอยู่ในมืออวิ๋นจือชิวแล้ว นางวางกระบี่ขวางตรงหน้าอกเหมียวอี้ พร้อมกล่าวด้วยสีหน้าดุร้าย “เรื่องเล็กน้อยในบ้าน จำเป็นต้องให้เจ้ากังวลด้วยเหรอ ข้าย่อมจัดการเอง อาบแล้วก็อาบอีกครั้งได้ กลัวว่าจะสะอาดเกินไปหรือไง? ข้าจะอาบเป็นเพื่อนเจ้า”
เหมียวอี้จ้องกระบี่วิเศษตรงหน้าอกตัวเอง แล้วถามกลั้วหัวเราะ “อาบแล้วก็ไม่เป็นจำเป็นต้องอาบอีกหรอกมั้ง?”
อวิ๋นจือชิวแสยะยิ้ม “ทำไมล่ะ? ร่างกายข้าไม่ดึงดูดเจ้าแล้วเหรอ หรือว่าของข้างนอกดีกว่า รู้สึกว่าก่วงเม่ยเอ๋อร์ยั่วยวนใจเจ้ามากกว่าใช่มั้ย?”
“ยิ่งพูดยิ่งไปกันใหญ่แล้ว!” เหมียวอี้แสร้งทำเป็นไม่พอใจ สีหน้าบึ้งตึงทันที
อวิ๋นจือชิวยื่นมือไปดึงคอเสื้อเขาเขาไว้ ดึงจนเขาโซเซ แล้วก็ดันหลังจ่อกระบี่ไว้บนคอให้เดินเข้าห้องอาบน้ำ
ในสวนดอกไม้ บรรดาผู้หญิงคนสำคัญทั้งในและนอกจวนหัวหน้าภาคมากันหมดแล้ว หลินผิงผิงกับเสวี่ยหลิงหลงก็มาชมดอกไม้ข้างกายก่วงเม่ยเอ๋อร์เช่นกัน
ขณะพวกผู้หญิงกำลังพูดคุยหัวเราะกันอยู่นั้น ในลานบ้านก็มีเสียงดังบึ้ม มีฝุ่นควันตลบอบอวล เหมือนเรือนถล่มแล้ว
พวกผู้หญิงตกอกตกใจ ก่วงเม่ยเอ๋อร์ถามอย่างงุนงง “เป็นอะไรไป?” แล้วมองไปที่เฟยหง ส่วนเฟยหงก็ทำสีหน้างุนงงเช่นกัน ไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น
ขณะพวกนางกำลังจะไปดูว่าเกิดอะไรขึ้น จู่ๆ เสวี่ยเอ๋อร์ก็โผล่มา ขวางหน้าพวกนางเอาไว้ แล้วโบกมือยิ้มอย่างเก้อเขิน “ไม่เป็นไรค่ะ ไม่เป็นไร นายท่านลองเล่นอะไรแปลกใหม่แล้วจัดการได้ไม่ดี เลยเกิดเหตุไม่คาดคิดนิดหน่อย ทุกท่านไม่ต้องกังวลค่ะ”
เชียนเอ๋อร์เองก็มาห้ามทหารยามที่ตกใจเช่นกัน เกลี้ยกล่อมให้ทหารยามกลับไป
ในห้องนอนหลักของลานบ้านด้านหลัง เหมียวอี้ที่ ‘อาบน้ำ’ เสร็จแล้วหน้าเขียวตาปูด เสื้อผ้าบนตัวขาดหลุดรุ่ย ยืนหน้าบูดบึ้งอยู่อย่างนั้น ปล่อยให้อวิ๋นจือชิวถอดเสื้อผ้าให้เขา
อวิ๋นจือชิวเองก็ไม่ได้ดีไปกว่ากันสักเท่าไร ผมเผ้ายุ่งเหยิง ปิ่นปักผมห้อยลงมาครึ่งหนึ่งจนแทบจะตก บนคอมีแผลเลือดไหล แต่นางกลับยิ้มอย่างเป็นกันเอง ไม่เก็บบาดแผลเล็กน้อยมาใส่ใจ
ไม่มีอะไรเหนือความคาดหมาย ตอนแรกเหมียวอี้หลอกนางไปเสี่ยงอันตรายคนเดียว พอกลับมาก็โดนอวิ๋นจือชิวอาละวาดจริงๆ ด้วย
เวลาลงไม้ลงมือกันขึ้นมา อวิ๋นจือชิวก็อาจจะไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเหมียวอี้ ผลปรากฏว่าสิ่งนี้ทำให้อวิ๋นจือชิวร้อนใจ นางจึงวางกระบี่ปาดคอตัวเองเสียเลย เรียกได้ว่ากระบี่เดียวเห็นเลือด ทำเอาเหมียวอี้ตกใจจนรีบแย่งกระบี่มา แล้วโดนซ้อมอย่างว่านอนสอนง่ายพร้อมรับประกันว่าจะไม่มีครั้งหน้าอีก ทั้งสองจึงหลายสภาพเป็นอย่างนี้แล้ว
สรุปได้ประโยคเดียวก็คือ เหมียวอี้ทำผิดแล้วก็ต้องยอมรับผิด ไม่อย่างนั้นอวิ๋นจือชิวก็จะไม่เลิกหาเรื่องเขา
ขณะถอดเสื้อผ้าขาดให้เหมียวอี้ แล้วสะบัดชุดใหม่ออกมาใส่ให้ อวิ๋นจือชิวก็กล่าวพร้อมรอยยิ้ม “พอแล้ว ชักสีหน้าให้ใครดูกัน เจ้าสู้ไม่ชนะข้าหรอก!”
“ข้าสู้เจ้าไม่ได้เหรอ?” เหมียวอี้หันกลับมาถลึงตา “เจ้ามีความอายสักหน่อยได้มั้ย?”
อวิ๋นจือชิวเลิกคิ้วพูดเหน็บแนมทันที “นี่! คนที่ตีเมียมันได้หน้าได้ตามากหรือไง? ก็ได้ เจ้าลองออกไปบอกกับทุกคนสิ บอกว่าเจ้าตบตีข้าไปยกหนึ่งแล้ว น้องจะไม่เถียงสักคำแน่นอน จะพยักหน้ายอมรับว่าเจ้าเก่ง จะไว้หน้าท่านเต็มที่แน่นอน!”
“…” เหมียวอี้หันหน้าหนี แล้วด่าว่า “ผู้หญิงปากร้าย! ไร้เหตุผล!”
อวิ๋นจือชิวไม่สนใจ “คุยเรื่องสำคัญเถอะ เจ้าบอกว่าศีลแปดกับอวี้หลัวช่ามีลูกด้วยกันเหรอ มันเรื่องอะไรกัน?”
ก่อนหน้านี้ตอนเหมียวอี้ติดต่อกับนางก็เอ่ยถึงเรื่องนี้แล้ว เพียงแต่เรื่องมันยาว ติดต่อทางระฆังดาราแล้วเล่าได้ไม่ชัดเจน
พอเอ่ยถึงเรื่องนี้ เหมียวอี้ก็ไม่มีอารมณ์โกรธแล้ว เขาถอนหายใจ แล้วเล่าที่มาที่ไปให้ฟังคร่าวๆ
หลังจากฟังจบ อวิ๋นจือชิวที่เอียงคอให้เหมียวอี้ใช้สมุนไพรเซียนซิงหัวรักษาบาดแผลก็กล่าวอย่างทอดถอนใจ “ศีลแปดนี่ก็จริงๆ เลย นึกไม่ถึงว่าจะก่อเรื่องแบบนี้ได้…แต่ในเมื่ออุปสรรคนี้ผ่านไปแล่ว ก็อาจจะไม่ใช่เรื่องแย่ก็ได้ ถ้าทางแดนสุขาวดีมีเรื่องอะไร อวี้หลัวช่าก็อาจจะช่วยเหลือได้”
เหมียวอี้ไม่ได้ปฏิเสธหรือยอมรับ ตอนแรกเขาก็มีความคิดนี้ เพียงแต่ไม่ได้เอ่ยกับอวิ๋นจือชิว
หลังจากทั้งสองแต่งตัวเสร็จ อวิ๋นจือชิวก็ก็นำผ้าผันคอมาปิดบังบาดแผลบนคอที่ยังไม่สมานตัว เหมียวอี้เองก็ร่ายอิทธิฤทธิ์ลบรอยเขียวช้ำบนใบหน้า ตอนที่สองสามีภรรยาออกไปรับแขกก่วงเม่ยเอ๋อร์อีกครั้ง ทั้งสองก็พูดคุยยิ้มแย้ม ทำเหมือนไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้น มีเพียงเชียนเอ๋อร์กับเสวี่ยเอ๋อร์ที่สบตากันเป็นระยะ เพราะต่างก็รู้อยู่แก่ใจ
ก่วงเม่ยเอ๋อร์เดินไปเดินมาในจวนหัวหน้าภาคแดนรัตติกาลพักหนึ่ง หลังจากนางกลับไปแล้ว เหมียวอี้ก็ตั้งอกตั้งใจเก็บตัวฝึกตน
ส่วนทางตำหนักสวรรค์ก็เหมือนจะไม่มีเวลามาสนใจจวนหัวหน้าภาคแดนรัตติกาล เป็นเพราะตั้งแต่ปรับปรุงทัพเหนือใต้ออกตกก็ยังไม่เคยได้พักเลย ทั้งยังเกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ของคนมากเกินไปด้วย กอปรกับวังสวรรค์สอดมือมาแทรกแซงเป็นระยะ ก็ทำให้ยิ่งหยุดได้ยาก ภายใต้การสนับสนุนจากประมุขชิง ภายในสี่ทัพมีคนต้องการจะปลีกตัวออกมาตั้งทัพใหญ่ อ๋องสวรรค์คนที่ห้ากำลังจะมีตัวตนขึ้นมาแล้ว เกิดแรงตอบโต้กลับที่แข็งแกร่งต่อสี่อ๋องสวรรค์
การโต้ตอบแบบนี้ย่อมไม่อาจใช้ปากแก้ไขปัญหาให้ผ่านพ้นไปได้ ไม่รู้ว่ามีคนมากมายเท่าไรพัวพันอยู่ในนี้ จอมพลที่กองทัพองครักษ์ยัดเข้ามาถูกล้างเลือด ทั้งยังมีจอมพลอีกสองคนที่อยากฉวยโอกาสขึ้นสู่ตำแหน่งถูกดับฝัน ถูกฆ่าล้างตระกูลแล้ว
ใช้เวลาประเดี๋ยวเดียวก็เปลี่ยนจอมพลหลายคน เข้าทางเทพประจำดาวฟ้าเถาะผังก้วนให้ขึ้นสู่ตำแหน่ง ได้เลื่อนเป็นจอมพลสายเถาะแล้ว!
เมื่อเกิดความวุ่นวายนี้ กว่าสถานการณ์จะเริ่มสงบลง ก็เป็นหนึ่งหมื่นปีให้หลังแล้ว…
………………