พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - บทที่ 1796 ถอยหนึ่งก้าวเห็นฟ้ากว้างทะเลไกล
เมื่อกล่าวเช่นนี้ แม้ในหุบเขานี้จะเงียบสงบ ทว่าสำหรับเว่ยซูแล้ว นี่ไม่ต่างอะไรกับเสียงฟ้าผ่าอันน่าตกใจบนพื้นราบ ราวกับถูกฟ้าผ่าห้าสายบนศีรษะ สั่นสะท้านไปทั้งร่าง
เขาหวังว่าตัวเองจะฟังผิดไป กลืนน้ำลายแล้วถามอย่างยากลำบากว่า “นายท่าน ท่าน…ท่าน…พูดอะไร?”
เซี่ยโห้วท่าพยักหน้าเบาๆ สื่อความว่าฟังไม่ผิด
แป้ก จ๋อม! เว่ยซูจับคันเบ็ดไว้ไม่ไหว คันเบ็ดตกลงพื้น แล้วไหลลงน้ำ ลอยไปกับกระแสน้ำแล้ว เสียงลมหายใจเขาถี่กระชั้น สีหน้าย่ำแย่
ทั้งรุ่นลูกและรุ่นพ่อล้วนจงรักภักดีต่อตระกูลเซี่ยโห้ว เขารู้ชัดถึงความหมายที่เซี่ยโห้วท่ามีต่อตระกูลเซี่ยโห้วดีเกินไป ในบรรดาลูกหลานของตระกูลเซี่ยโห้ว อาจมีบางคนรู้สึกว่าตัวเองมีความสามารถจะควบคุมตระกูลเซี่ยโห้วได้ แต่สำหรับเว่ยซู คนเหล่านั้นยากที่จะตามหลังเซี่ยโห้วท่าได้ทัน ลมฝนที่เซี่ยโห้วท่าผ่านมาทั้งชีวิตล้วนเป็นทรัพย์สินที่มีค่ามากที่สุดของตระกูลเซี่ยโห้ว แม้จะเกิดสถานการณ์รุนแรงดุจลมพายุคลั่งโหมกระหน่ำฟ้าดิน ทว่าเซี่ยโห้วท่ายังควบคุมเรือใหญ่อย่างตระกูลเซี่ยโห้วให้หลบโขดหินทั้งยังขี่ลมฝ่าคลื่นได้มาโดยตลอด นายท่านรุ่นก่อนสิ้นชีพด้วยน้ำมือพระปีศาจหนานโป หลังจากเซี่ยโห้วท่ารับช่วงต่อถือหางเสือเรือควบคุมตระกูลเซี่ยโห้ว ก็ทำให้ความขัดแย้งภายในตระกูลสงบลงก่อน แล้วค่อยกดจ้าวแห่งยุคอย่างพระปีศาจหนานโปให้จมลง ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา แนวโน้มสถานการณ์ที่ขึ้นๆ ลงๆ ในใต้หล้าล้วนมีเซี่ยโห้วท่าผลักดันปลุกปั่นอยู่เบื้องหลังเสมอ ถึงได้ทำให้ตระกูลเซี่ยโห้วก้าวมาถึงทุกวันนี้โดยไม่มีใครกล้าเคลื่อนไหวตามอำเภอใจได้
เว่ยซูไม่กล้าจินตนาการถึงตระกูลเซี่ยโห้วที่ไร้เซี่ยโห้วท่า เพราะสถานการณ์อาจจะเหมือนคลื่นคลั่งสูงเสียดฟ้าได้ทุกเมื่อ ผู้รับตำแหน่งคนต่อไปจะสามารถนำเรือใหญ่ลำนี้พร้อมใจกันแล่นไปข้างหน้าได้หรือไม่? ผู้ดูแลคนต่อไปจะถอดแบบความสามารถในการควบคุมได้เหมือนเซี่ยโห้วท่าหรือเปล่า? เขาคิดว่าคำตอบคือไม่ พวกนั้นล้วนเกิดจากบิดาเดียวกัน และมีไม่น้อยที่เกิดจากมารดาเดียวกัน คนพวกนั้นที่กุมอำนาจอยู่ในมือจะยอมก้มหัวฟังพี่น้องตัวเองหรือเปล่า? แม้แต่เซี่ยโห้วท่าเองที่รับรับช่วงต่อตระกูลเซี่ยโห้วในปีนั้นก็ล้างเลือดพี่น้องตัวเองไปแล้วไม่น้อย
ต่อให้ไม่พูดเรื่องพวกนี้ เซี่ยโห้วท่าก็เหมือนเสาหินต้านคลื่นตระกูลเซี่ยโห้ว ตราบใดที่เซี่ยโห้วท่าไม่ล้ม ก็ไม่มีใครกล้าทำอะไรตระกูลเซี่ยโห้วง่ายๆ ไม่ว่าใครก็ต้องเกรงกลัวสามส่วน ถ้าเซี่ยโห้วท่าไม่อยู่แล้ว ก็จะมีฝูงหมาป่าดุร้ายล้อมเข้ามาทันที เกรงว่าไม่ว่าใครก็ล้วนอยากกัดเนื้อชิ้นนี้
ต่อให้กัดไม่สะเทือน แต่ก็จะต้องมีคนอยากวัดว่าตระกูลเซี่ยโห้วที่ไม่มีเซี่ยโห้วท่าจะเป็นอย่างไร ดังนั้นแล้ว หากวันใดเซี่ยโห้วท่าไม่อยู่ ตระกูลเซี่ยโห้วจะต้องเผชิญพายุคลั่งทันที!
หากมองในมุมมองส่วนตัว การจะอยู่ร่วมกับหัวหน้าตระกูลคนใหม่อย่างไรคือเรื่องที่เว่ยซูต้องเผชิญหน้า ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดก็ย่อมเป็นการเปลี่ยนผ่านที่ราบรื่น เพราะถ้าอยู่ร่วมกันแล้วไม่มีความสุข ก็เกรงว่าเขาจะต้องตายสถานเดียว ไม่มีทางที่อีกฝ่ายจะปล่อยให้เขาแก่ตาย เพราะเขารู้ความลับของตระกูลเซี่ยโห้วมากเกินไป
แน่นอน เขาหวังว่าตัวเองจะเหมือนบิดา ที่สามารถเปลี่ยนจากอยู่กับนายท่านคนเก่ามาอยู่กับเซี่ยโห้วท่าได้อย่างราบรื่น แต่ที่สำคัญคือเขาหวังไปก็ไม่มีประโยชน์ เพราะไม่ใช่ทุกคนที่จะเป็นเหมือนเซี่ยโห้วท่า
“นี่…จะเป็นไปได้ยังไงขอรับ? อายุขัยของนายท่านยังประคองได้อีกหลายหมื่นปี…” เว่ยซูลุกขึ้นยืน พูดจาไม่คล่องแล้ว ใบหน้าซีดเผือด เขาไม่ได้เตรียมใจกับผลลัพธ์ที่กะทันหันนี้เลย ตั้งแต่ได้รับการอบรมจากบิดาจนกระทั่งได้รับการสั่งสอนจากเซี่ยโห้วท่า เขายังไม่เคยเสียอาการขนาดนี้มาก่อน
เซี่ยโห้วท่าถือคันเบ็ดอยู่มือ พอมืออีกข้างที่วางบนเข่ากระดกนิ้ว คันเบ็ดที่ลอยอยู่ไกลๆ ก็ลอยกลับมา เซี่ยโห้วท่าที่มองผิวน้ำอย่างใจเย็นส่งคันเบ็ดให้ตรงหน้าเว่ยซู พร้อมกล่าวอย่างสุขุม “ลืมสิ่งที่ข้าสอนเจ้าแล้วหรือ? ไม่ว่าเผชิญเรื่องอะไรก็อย่ากลัว ขอเพียงคุมจิตใจให้เยือกเย็นได้ ก็มีโอกาสชนะไปแล้วสามส่วน”
“ขอรับ!” เว่ยซูคว้าคันเบ็ดที่เปียกลู่เอาไว้ แล้วก็นั่งลงช้าๆ อีก พยายามทำตัวให้สงบเยือกเย็น แต่สีหน้ายังเปลี่ยนกลับมาได้ยาก
เซี่ยโห้วท่าถอนหายใจเบาๆ “สงสัยข้าจะเดาไม่ผิด เจ้ายังไม่ได้เตรียมใจรับความเปลี่ยนแปลงและสนับสนุนหัวหน้าตระกูลคนถัดไปล่ะสิ! ในจุดนี้เจ้าสู้พ่อเจ้าไม่ได้ พ่อเจ้าสุขุมไม่สะทกสะท้านมาตลอด เจ้าเรียนรู้หลายสิ่งมาจากพ่อ แต่เจ้าเหมือนแม่เจ้ามากกว่า”
เว่ยซูก้มหน้าเล็กน้อย “อายุขัยของนายท่านน่าจะประคองได้อีกหลายหมื่นปี…” ความหมายแฝงในคำพูดก็คือ นึกไม่ถึงว่าจะกะทันหันอย่างนี้ ตัวเองไม่ได้เตรียมตัวไว้เลย
เซี่ยโห้วท่ากล่าวว่า “นี่ไม่ใช่สาเหตุที่เจ้าจะลนลานหวาดกลัว เจ้าจำไว้นะ ไม่ว่าในอนาคตจะเกิดอะไรขึ้น ต่อให้หัวหน้าตระกูลจะลนลานหวาดกลัว แต่เจ้าก็อย่าให้ลำดับความคิดวุ่นวาย ในช่วงเวลาสำคัญเจ้าจะต้องทำให้หัวหน้าตระกูลสงบเยือกเย็น! จำไว้นะ การดูแลตระกูลที่ใหญ่ขนาดนี้ ก่อนอื่นคือตัวเองต้องห้ามจิตใจว้าวุ่น! ข้าจะย้ำอีกครั้ง ตระกูลเซี่ยโห้วเดินมาจนถึงทุกวันนี้ไม่กลัวปัญหาภายนอก กลัวก็แต่ปัญหาภายใน หากภายในวุ่นวานเมื่อไร ก็ไม่ต้องรอให้คนอื่นลงมือ ตัวเองก็ทำให้ตัวเองล้มได้แล้ว”
“ขอรับ!” เว่ยซูเอ่ยรับเสียงเบาๆ แต่กลับรู้สึกหนักใจมากกว่าปกติ
เซี่ยโห้วท่าชูคันเบ็ดขึ้น ดึงปลาเล็กตัวหนึ่งขึ้นจากน้ำ ถอดปลาออกจากตะขอโยนใส่ถังไม้ จากนั้นใส่เหยื่อแล้วโยนไปที่ผิวน้ำอีก ตั้งแต่ต้นจนจบทำได้อย่างเป็นระบบระเบียบ ราวกับผู้ที่ใกล้จะหมดอายุขัยไม่ใช่เขา แต่เป็นคนอื่น “จุดประสงค์ที่สี่อ๋องสวรรค์ยอมแลกทุกอย่างเพื่อปรับปรุงสี่ทัพคืออะไร? ก็เพราะพวกเขาเห็นวิกฤติแล้ว ต้องปรับให้กำลังใต้บังคับบัญชาตัวเองแข็งแรงดุจแผ่นเหล็ก ต้องลับดาบให้คมก่อนถึงจะไปจัดการคนอื่นได้สะดวก และยิ่งต้านภัยอันตรายได้สะดวกยิ่งกว่า ประมุขชิงมองใต้หล้าจากที่สูง ปั่นหัวกลุ่มวีรบุรุษเล่นในฝ่ามืออย่างเงียบเชียบ ส่วนประมุขพุทธะก็สั่งสมกำลังสังเกตการณ์อย่างเงียบๆ รุกก็โจมตีได้ ถอยก็ป้องกันได้ ในมือกุมเจดีย์สยบปีศาจเป็นไพ่ลับ หกลัทธินอนจำศีล รอโอกาสเคลื่อนไหว ทั้งยังมีพวกกลุ่มโจรที่ทำตัวลับๆ ล่อๆ มองในทางกลับกัน หลายปีมานี้ตระกูลเซี่ยโห้วราบรื่นเกินไปแล้ว นี่อาจไม่ใช่เรื่องดี ข้าคิดทบทวน รู้สึกว่าปัญหามาจากตัวข้า กำเนิดจากทุกข์ยาก มอดม้วยด้วยสุขสันต์! ตระกูลเซี่ยโห้วควรจะผ่านอุปสรรคเสียบ้างแล้ว”
เว่ยซูมองเขาอย่างงุนงง ไม่รู้ว่าเขาพูดอะไรพวกนี้หมายความว่าอะไร
“ถอยหนึ่งก้าวเห็นฟ้ากว้างทะเลไกล!” เซี่ยโห้วท่าที่จ้องผิวน้ำพึมพำเบาๆ
เว่ยซูยังคงงงงันไม่เข้าใจ
“ที่ข้าให้เจ้าเตรียมไว้ในปีนั้น เจ้านำออกมาใช้งานได้แล้ว!” เซี่ยโห้วท่าเหล่ตากล่าวเสียงเรียบ
เกี่ยวอะไรกับตัวแทน? เว่ยซูอึ้งไปชั่วขณะ จากนั้นก็เข้าใจกระจ่าง สีหน้าย่ำแย่ถูกกวาดหายไปในชั่วพริบตาเดียว ทีแรกเขาถึงว่าตัวแทนคนนั้นมีไว้ใช้ป้องกันอันตรายให้เซี่ยโห้วท่า ที่แท้…ในที่สุดเขาก็เข้าใจแล้วว่าทำไมก่อนหน้านี้เซี่ยโห้วท่าตกเบ็ดเงียบๆ โดยไม่พูดอะไร ที่แท้ก็กำลังครุ่นคิดเรื่องนี้นี่เอง
“ขอรับ!” เว่ยซูที่โล่งอกแล้วพยักหน้าเอ่ยรับ “หลังจากกลับไปแล้วข้าจะไปจัดการทันที”
เซี่ยโห้วท่ายื่นเบ็ดตกปลาให้เขา แล้วลุกขึ้นอย่างเนิบช้า “ฝีมือทำอาหารของเจ้ารองไม่เลวเลย ไป ไปดูหน่อยว่าเขาเตรียมไปถึงไหนแล้ว!”
เว่ยซูที่ลุกขึ้นตามกลับฟังออกถึงความนัยที่แฝงอยู่ในคำพูด…
วังสวรรค์ ตำหนักดาราจักร ประมุขชิงหนังสง่าอยู่หลังโต๊ะยาว ในตำหนักมีซ่างกวนชิง ซือหม่าเวิ่นเทียน เกาก้วน โพ่จวิน อู๋ฉวี่ ลูกน้องคนสนิทล้วนอยู่กันครบ
จู่ๆ ตระกูลเซี่ยโห้วก็เกิดสถานการณ์ไม่ปกติ ภายนอกผ่อนคลายภายในตึงเครียด แอบระดมกำลังพลไม่น้อยมาดักซุ่มอยู่รอบตระกูลเซี่ยโห้ว ทั้งตระกูลเซี่ยโห้วก็ยิ่งถูกปิดไว้ในค่ายกล ใหญ่ ตัดขาดการติดต่อทั้งหมดจากภายนอก แม้แต่สายลับที่หน่วยตรวจการซ้ายแทรกไว้ในตระกูลเซี่ยโห้ก็ไม่มีทางติดต่อกับภายนอกได้ ไม่มีใครรู้ว่าตระกูลเซี่ยโห้เกิดเรื่องอะไรขึ้นแล้ว เห็นเพียงทุกคนที่เข้าออกล้วนมีสีหน้าแย่มาก ไม่เหมือน เสแสร้งแกล้งทำ ในแววตาเหมือนซ่อนความกังวลเอาไว้ อย่างที่ปิดบังได้ยาก
อยู่ดีๆ ตระกูลเซี่ยโห้วก็ทำอย่างนี้ ทำเอาคนจำนวนมากมาย รู้สึกตึงเครียดไปด้วย หัวหน้าตระกูลท่านนี้ผลักดันประมุขหลายยุคทั้งยังโค่นล้มประมุขมาหลายยุคด้วย ความเลื่องชื่อนี้ทำให้เขาได้รับสมญานามว่าหัวหน้าตระกูลแห่งใต้หล้า แค่ลมพัดหญ้าสะเทือนนิดเดียวก็ทำให้คนเกิดความระมัดระวังตัวได้ มิหนำซ้ำการเคลื่อนที่ดูเหมือนสงบแต่ที่จริงแล้วเป็นปฏิบัติการใหญ่ ปิดบังคนทั่วไปได้แต่กลับปิดบังคนระดับพวกเขาไม่ได้
แล้วตระกูลเซี่ยโห้วก็ปิดบังเข้มงวดจนน้ำไม่ไหลออกสักหยด สืบข่าวอะไรไม่ได้เลย
ประมุขชิงเรียกรวมลูกน้องคนสนิทมาประชุมที่ตำหนักดาราจักรอย่างเร่งด่วน ผลปรากฏว่าวิเคราะห์ไปวิเคราะห์มา แต่ก็วิเคราะห์หาสาเหตุไม่เจอเลย
ในขณะนี้เอง ด้านนอกมีแม่ทัพใหญ่เดินสาวเท้าเข้ามารายงาน “ฝ่าบาท ราชินีสวรรค์ขอเข้าเฝ้า!”
ทุกคนในตำหนักมองหน้ากันไปมองหน้ากันมา ขณะกำลังคุยปรึกษาเรื่องตระกูลเซี่ยโห้ว เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ก็มาแล้ว ในนี้มีความเกี่ยวโยงอะไรกัน?
ต้องทราบไว้ว่าถ้าไม่มีเรื่องที่เร่งด่วนอะไร โดยทั่วไปเซี่ยโห้วเฉิงอวี่ก็จะไม่มาที่นี่ โดยเฉพาะในเวลาที่ประมุขชิงกำลังเรียกรวมลูกน้องคนสนิทมาประชุม
ประมุขชิงเริ่มหรี่ตา ในดวงตาฉายแววเปลี่ยนแปลงไม่หยุดนิ่ง กล่าวเสียงเรียบว่า “ให้เข้ามา!”
แม่ทัพใหญ่รีบเดินออกไป ไม่นานเซี่ยโห้วเฉิงอวี่ก็รีบร้อนเดินเข้ามา พวกซ่างกวนชิงกุมหมัดคารวะพร้อมกันด้วยเสียงดัง “เหนียงเหนียง!” มีเพียงโพ่จวินที่ยืนดูอยู่เฉยๆ เขาไม่ตะโกนบอกให้ถอดตำแหน่งเซี่ยโห้วเฉิงอวี่ก็บุญแล้ว ขนาดกับเซี่ยโห้วท่ายังซ้อมได้ มีหรือที่จะทำความเคารพเซี่ยโห้วเฉิงอวี่
“หม่อมฉันคำนับฝ่าบาท!” เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ย่อเข่าคำนับ ดวงตาแดงก่ำสองข้าง เหมือนจะร้องไห้มาก่อน
“ไม่ต้องมากพิธี!” ประมุขชิงผายมือเล็กน้อย ย่อมสังเกตเห็นแล้วว่าใบหน้าเซี่ยโห้วเฉิงอวี่แปลกไป จึงถามว่า “ทำไมดูเหมือนเพิ่งร้องไห้ล่ะ เจ้าเป็นอะไรไป? หรือว่าหยวนจุนทำให้เจ้าโมโห?” หยวนจุนก็คือลูกชายของประมุขชิง ชื่อว่าชิงหยวนจุน
เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ว่ายหน้าอย่างเศร้าโศก “จุนเอ๋อร์รู้ความมากเพคะ หม่อมฉันมาขออนุญาตฝ่าบาทลากลับบ้าน ทางบ้านหม่อมฉันส่งข่าวมา บอกให้หม่อมฉันกลับไปสักรอบเพคะ”
พอได้ยินว่าเกี่ยวข้องกับตระกูลเซี่ยโห้ว ทุกคนที่อยู่ตรงนั้นก็เปลี่ยนสีหน้าทันที
ประมุขชิงที่นั่งอยู่หลังโต๊ะยาวโน้มตัวมาข้างหน้าเล็กน้อย “จะกลับบ้านเจ้าต้องเศร้าอาดูรขนาดนี้เชียวหรือ?”
เซี่ยโห้วเฉิงอวี่เหมือนอยากจะพูดแต่ก็เงียบไว้ แต่สุดท้ายก็ยังน้ำตาไหลพราก กล่าวเสียงสะอื้นว่า “ทางบ้านส่งข่าวมา บอกว่า…ว่าท่านปู่สวรรค์ใกล้สิ้นอายุขัยแล้วเพคะ บอกว่าท่านปู่สวรรค์อยากพบหม่อมฉัน บอกว่ามีเรื่องจะคุยกับหม่อมฉัน”
ประมุขชิงที่นั่งหลังโต๊ะยาวพลันยืนขึ้น เบิกตากว้างมองเขา
ทุกคนที่อยู่ตรงนี้มีหน้าตกตะลึงมาก จ้องปฏิกิริยาของเซี่ยโห้วเฉิงอวี่เงียบๆ แต่ละคนเหมือนไม่ค่อยเชื่อ
ในเวลานี้เอง ทุกคนถึงได้เข้าใจกระจ่างในฉับพลัน ในที่สุดก็คือเหตุผลที่ตระกูลเซี่ยโห้วมีปฏิกิริยาที่ผิดปกติแล้ว เซี่ยโห้วท่าใกล้สิ้นอายุขัยแล้ว!
ตอนนี้พอลองวิเคราะห์ดูก็ทำความเข้าใจได้ไม่ยาก ตระกูลเซี่ยโห้วภายนอกผ่อนคลายภายในตึงเครียด ก็เพราะเตรียมป้องกันไม่ให้เกิดเหตุไม่คาดคิด ที่ปิดข่าวจากภายนอกก็เพราะกำลังยื้อเวลาให้ตระกูลเซี่ยโห้วเตรียมตัว
“เฉิงอวี่ เจ้าบอกว่าอายุขัยของท่านปู่สวรรค์ใกล้เข้ามาแล้วใช่มั้ย?” ประมุขชิงฟังเข้าใจแล้วแท้ๆ แต่ยังไม่ยอมเชื่อเลยต้องถามอีกครั้ง
เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ยกแขนเสื้อเช็ดน้ำตา ตอบเสียงเศร้าว่า “ที่บ้านบอกแบบนี้เพคะ”
ตอนนี้นางก็ค่อนข้างหวาดกลัวเช่นกัน ตอนนี้ถึงตระหนักได้บ้างแล้วว่าการที่โลกนี้ไม่มีเซี่ยโห้วท่าอยู่อาจจะส่งผลกระทบใหญ่หลวงต่อนาง ดังนั้นนางจึงต้องรีบกลับไป ดูว่าจะสามารถได้ยินคำสั่งอะไรที่เป็นประโยชน์จากเซี่ยโห้วท่าหรือไม่
…………………………