พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - บทที่ 1799 แม้เสือตาย แต่บารมีเสือยังอยู่
“ขอรับ!” ถังเฮ่อเหนียนก้มหน้าเอ่ยรับ แล้วเงยหน้าถามอีกว่า “กลัวก็แต่ว่าเรื่องนี้จะมีการหลอกลวง บางทีข่าวที่ประมุขชิงบอกจ้านหรูอี้อาจจะไม่ใช่ความจริง”
โค่วหลิงซวีกล่าวอย่างลังเลว่า “ดูจากสถานการณ์ที่เกิดขึ้นกับตระกูลเซี่ยโห้วตอนนี้ เหมือนจะมีเพียงคำอธิบายนี้ที่สอดคล้องกัน ทางอิ๋งจิ่วกวงก็กลัวว่าจะมีการหลอกลวงเหมือนกัน เจตนาของเขาก็คือ ให้พวกเราไปสืบดูสักหน่อย ไปพบหน้าเซี่ยโห้วท่าด้วยตัวเองสักครั้งก็จะรู้ความจริงเอง”
โค่วเจิงรีบบอกว่า “ไม่ได้! ถ้าประมุขชิงกับเซี่ยโห้วท่าร่วมมือกันสร้างสถานการณ์ ท่านพ่อจะไม่ตกอยู่ในอันตรายหรือขอรับ? ลูกยินดีไปสืบแทนท่านพ่อด้วยตัวเอง”
โค่วหลิงซวีโบกมือ “เจ้าไม่ก็ไม่มีประโยชน์ เจ้ายังมีคุณสมบัตินั้นไม่พอ เจ้าไปแล้วยังไม่ทันได้พบหน้าเซี่ยโห้วท่า เซี่ยโห้วลิ่งก็จะไล่เจ้าแล้ว เจ้าจะฝืนบุกเข้าไปเชียวหรือ? ต่อให้เจ้าจะเจอได้แต่ก็เจอได้เพียงไกลๆ ไม่มีทางได้สัมผัสถึงตัวเซี่ยโห้วท่าเลย มีเพียงอ๋องสวรรค์อย่างพวกเราเท่านั้นถึงจะไปสืบความจริงด้วยตัวเองได้”
โค่วเจิงรีบบอกว่า “แต่นี่มันอันตรายเกินไป”
โค่วหลิงซวีเดินมาตรงประตูแล้วทอดสายตามองไปไกล “เจ้าวางใจเถอะ พวกเราไม่รวมกลุ่มไปพร้อมกันหรอก จะผลัดกันไป ส่วนอีกสามคนจะเตรียมตัวสนับสนุน คาดว่าประมุขชิงกับเซี่ยโห้วท่าคงไม่กล้าทำอะไรสุ่มสี่สุ่มห้า!”
จวนท่านปู่สวรรค์ อิ๋งจิ่วกวงเป็นคนแรกที่มาถึง ก่อนมายังไม่ได้ข่าวอะไรเลยสักนิด จนกระทั่งมาถึงหน้าประตูใหญ่ของตระกูลเซี่ยโห้ว ตระกูลเซี่ยโห้วถึงได้รู้ข่าว
เซี่ยโห้วลิ่งออกมาต้อนรับด้วยตัวเอง “อ๋องสวรรค์อิ๋งให้เกียรติมาเยือนด้วยตัวเอง เหตุใดจึงไม่บอกกันก่อน ขออภัยที่ไม่ได้ต้อนรับให้ดี หวังว่าท่านอ๋องจะไม่เคือง”
อิ๋งจิ่วกวงส่ายหน้า “หลานชาย จู่ๆ อ๋องผู้นี้ก็ได้ข่าวไม่ดี จึงร้อนใจดั่งไฟเผาต้องมาพิสูจน์ รีบร้อนจนลืมเตรียมตัว บุ่มบ่ามมาเยี่ยม หวังว่าจะไม่ถือสา!”
เซี่ยโห้วลิ่งแอบดูถูกเหยียดยามในใจ คนฐานะอย่างเจ้า เวลาจะออกมาข้างนอกยังลืมเตรียมตัวอีกเหรอ? ลูกน้องที่เลี้ยงไว้เยอะขนาดนั้นมัวไปทำอะไรกินหมดล่ะ?
แน่นอน เขาย่อมรู้ชัดถึงเจตนาที่อีกฝ่ามาที่นี่ จึงรีบยื่นมือเชิญ “อ๋องสวรรค์ เชิญด้านใน!”
อิ๋งจิ่วกวงกลับคว้าข้อมือเขาไว้ แล้วเดินเข้าไปด้วยกัน พร้อมถามด้วยสีหน้าจริงจัง “ได้ยินว่าท่านปู่สวรรค์ใกล้สิ้นอายุขัยแล้วเหรอ เรื่องจริงหรือเปล่า?”
จนกระทั่งตอนนี้ ตระกูลเซี่ยโห้วก็ยังปิดข่าวสนิท เซี่ยโห้วลิ่งไม่รู้ว่าเขาได้ยินข่าวมาจากไหน แต่ก็พอจะตัดสินได้บ้างนิดหน่อย ก่อนหน้านี้ตอนปิดข่าวยังไม่เห็นมีใครมาหา แต่หลังจากประมุขชิงมาแล้วท่านนี้ก็รู้ข่าวพอดี เป็นไปได้สูงว่าทางวังสวรรค์ปล่อยข่าว
“เฮ้อ!” เซี่ยโห้วลิ่งพยักหน้า
“ทำไมเป็นอย่างนี้ไปได้?” อิ๋งจิ่วกวงทำท่าเจ็บปวดใจสุดขีด ดึงมือเซี่ยโห้วลิ่งเอาไว้ “เร็วๆๆ รีบพาอ๋องผู้นี้ไปพบท่านพ่อของเจ้า!”
เมื่อเห็นตาแก่หนังเหนียวเล่นบทหลั่งน้ำตา เซี่ยโห้วลิ่งก็ค่อนข้างพูดไม่ออก ทำราวกับว่าที่นี่คือบ้านของตัวเอง เขาแทบจะถูกอิ๋งจิ่วกวงลากเข้าสวนต้องห้ามแล้ว
“พี่ชาย น้องชายมาเยี่ยมท่านแล้ว”
พอเข้ามาในตำหนักนอน ก็เห็นเซี่ยโห้วท่านั่งสมาธิด้วยสีหน้าเซื่องซึม อิ๋งจิ่วกวงร้องเรียกเสียงเศร้าทันที ทำท่าราวกับแค้นใจที่ตัวเองมาช้าไป
“อ๋องสวรรค์อิ๋งมาแล้ว” เซี่ยโห้วท่าพยักหน้ายิ้มอ่อน ขณะกำลังจะทำความเคารพกลับ ใครจะคิดว่าอิ๋งจิ่วกวงจะชิงก้าวเข้ามาก่อน ใช้สองมือประคองเขาเอาไว้ ให้เขานั่งลงพักผ่อนด้วยความเคารพมาก แล้วถือโอกาสตรวจเส้นชีพจรให้ด้วย ร่ายอิทธิฤทธิ์ตรวจสอบอยู่อย่างนั้น “พอได้ยินข่าว น้องชายก็ยากจะเชื่อความจริง!”
ทำท่าใส่ใจร่างกายเซี่ยโห้วท่า ช่วยดูอาการป่วยให้
เซี่ยโห้วลิ่งแอบด่าในใจอยู่ข้างๆ หน้าด้านใช้ได้เลย!
“เอ่อ…นี่…หรือว่าจะเป็นความจริง?” หลังจากปล่อยมือจากชีพจรเซี่ยโห้วท่าแล้ว อิ๋งจิ่วกวงทำสีหน้าตกตะลึงเหลือเชื่อ
“มาตัวเปล่า ไปตัวเปล่า ธรรมชาติของมนุษย์” เซี่ยโห้วท่าตอบกลับพร้อมยิ้มอ่อน แล้วถอนหายใจอีก “มีเรื่องหนึ่งที่หวังจะให้อ๋องสวรรค์ช่วยสักหน่อย!”
อิ๋งจิ่วกวงแทบจะตบอกรับประกัน “พี่ชายบอกมาได้เลย ขอเพียงน้องชายทำได้ ก็จะไม่พูดพร่ำทำเพลงแน่นอน!”
เซี่ยโห้วท่าพยักหน้าไปทางเซี่ยโห้วลิ่ง “ร่างกายข้าเสื่อมโทรมลงทุกวัน ยากจะกำกับดูแลได้ เจ้ารองรับตำแหน่งตระกูลเซี่ยโห้วแล้ว ฝ่าบาทก็อนุญาตให้เขารับตำแหน่งท่านปู่สวรรค์เช่นกัน เพียงแต่ข้าเกรงว่าตัวเองคงจะไม่ได้เห็นวันนั้นแล้ว กังวลว่าเรื่องนี้จะเกิดเหตุเปลี่ยนแปลง เรื่องรับฐานันดร หวังว่าในการประชุมราชสำนัก อ๋องสวรรค์จะช่วยเป็นแรงสนับสนุนสักหน่อย!”
อิ๋งจิ่วกวงตบหลังมือเซี่ยโห้วท่า กล่าวรับประกันอย่างแน่ใจมาก “พี่ชายวางใจได้เลย เรื่องนี้ต่อให้เลือดสาดสามฉื่อแต่ก็ต้องผลักดันจนถึงที่สุด ไม่เลอะเลือนแน่นอน!”
“ขอบคุณมาก!”
“พี่ชายอย่าพูดจาเหมือนคนนอก”
อิ๋งจิ่วกวงย่อมไม่อาจอยู่ที่นี่นานอยู่แล้ว อันตรายเกินไป!
สุดท้ายก็กล่าวขอตัวลา แล้วขอให้เซี่ยโห้วท่ารักษาสุขภาพ ก่อนไปก็ยังมอบของขวัญสำหรับการมาเยี่ยมให้ด้วย
หลังจากเขากลับไปแล้ว โค่วหลิงซวีก็มาอีก สี่อ๋องสวรรค์เรียกได้ว่าผลัดกันมาเยี่ยม
ที่สำคัญคืออิ๋งจิ่วกวงแน่ใจแล้วว่าเซี่ยโห้วท่าใกล้สิ้นอายุไขแล้วจริงๆ โค่วหลิงซวีเองก็ไม่กล้าเชื่อเสียทั้งหมด ยังต้องมาสืบดูด้วยตัวเองถึงจะวางใจ
โค่วหลิงซวีเป็นเช่นนี้ ฮ่าวเต๋อฟางกับก่วงลิ่งกงก็เป็นแบบนี้เช่นนั้น ต่อให้คนสุดท้ายจะได้ยินคำพูดสามอ๋องแล้วแต่ก็ไม่กล้าเชื่อ กับเรื่องแบบนี้ไม่มีใครสรุปเรื่องเพราะฟังข่าวลือที่ได้ยินมา ต้องยืนยันให้แน่ใจ
ตอนหลัง แต่ละคนสนใจช่วยดูอาการป่วยให้เซี่ยโห้วท่ามาก เซี่ยโห้วลิ่งที่คอยดูอยู่ข้างๆ นับว่าได้รับรู้ถึงความไร้ยางอายของอ๋องสวรรค์แล้ว แต่ละคนภายนอกดูสง่าผ่าเผยสุดๆ ตอนนี้ถึงเข้าใจแล้ว ว่าไม่ว่าจะจับคนไหนโยนขึ้นเวทีก็ล้วนแสดงละครได้ทั้งนั้น
เซี่ยโห้วท่าเองก็ฝากฝังเรื่องฐานันดรของเซี่ยโห้วลิ่งให้พวกเขาเช่นกัน สี่อ๋องสวรรค์ไม่มีใครปฏิเสธ แต่ละคนแทบจะตบอกรับประกัน ขาดก็แต่สาบานเท่านั้น สำหรับสี่อ๋องสวรรค์ ถ้าไม่ถือโอกาสมอบไมตรีพวกนี้ให้ก็จะเสียเปล่า เซี่ยโห้วลิ่งจะได้รับฐานันดรท่านปู่สวรรค์หรือไม่ ที่จริงก็ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อสถานการณ์ภาพรวมสักเท่าไร ภายใต้สถานการณ์แบบนี้ ทุกคนยังต้องไว้หน้าเซี่ยโห้วท่า
เซี่ยโห้วลิ่งเพิ่งจะรับช่วงต่อตระกูลเซี่ยโห้ว งานในมือมีเยอะมากจริงๆ แต่เวลาอ๋องสวรรค์มาเยี่ยมก็ต้องออกมารับแขก ในที่สุดหลังจากพวกเขากลับไปแล้ว เซี่ยโห้วลิ่งถึงได้รีบตระเตรียมงานในครอบครัว
กระทั่งเขามาเยี่ยมบิดาอีกครั้ง ก็พบว่าบิดาออกมาจากห้องแล้ว ไปอยู่ใต้ต้นไม้โบราณที่ชอบที่สุด นอนเอนกายอยู่บนเก้าอี้นอน บนตัวห่มผ้านวมผืนหนึ่ง เซี่ยโห้วเฉิงอวี่กำลังนั่งคุยอยู่ข้างกาย ปอกอาหารป้อนเข้าปากเซี่ยโห้วท่าด้วยตัวเอง
เซี่ยโห้วท่าที่กึ่งหรี่ตาเหมือนจะดื่มด่ำกับรสชาตินี้มาก เว่ยซูยืนเก็บมืออยู่ข้างกายอย่างเงียบๆ
“เหนียงเหนียง!” เซี่ยโห้วลิ่งก้าวขึ้นมาทำความเคารพ
“ท่านอารอง!” เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ที่ตาแดงก่ำรีบลุกขึ้นบอกใบ้ให้อีกฝ่ายนั่งลงอีกครั้ง สำหรับเซี่ยโห้วลิ่งคนนี้ นางไม่กล้าวางมาดกับเขา เพราะท่านนี้คือหัวหน้าตระกูลคนใหม่ของตระกูลเซี่ยโห้ว ในภายหลังนางยังต้องอาศัยเป็นที่พึ่งพิง
“ท่านพ่อ!” จากนั้นเซี่ยโห้วลิ่งก็ทำความเคารพเซี่ยโห้วท่า
เซี่ยโห้วท่าไม่สนใจเขา สายตาจ้องเพียงเซี่ยโห้วเฉิงอวี่ที่กำลังก้มหน้าเงียบๆ ปากยังขมุบขมิบเคี้ยวของที่เซี่ยโห้วเฉิงอวี่เพิ่งป้อน หลังจากกลืนแล้ว จู่ๆ ก็ยกมือขึ้นช้าๆ บอกใบ้ให้เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ยื่นศีรษะเจ้ามา แล้วยื่นมือไปลูบหลังศีรษะนาง ถอนหายใจแล้วบอกว่า “นางหนูเอ๊ย หลายปีมานี้ลำบากเจ้าแล้ว”
พอได้ยินท่านปู่พูดประโยคนี้ ก็เรียกได้ว่ากระทบใจนางแล้วจริงๆ เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ควบคุมอารมณ์ไม่อยู่ทันที ซบอกเซี่ยโห้วท่าร้องไห้โฮ ระบายอารมณ์ที่ข่มกลั้นมาหลายปีออกมาแล้ว ร้องไห้อย่างเจ็บปวดรวดร้าวใจ กล่าวเสียงสะอื้นไม่หยุดว่า “ท่านปู่ เฉิงอวี่ทำใจปล่อยท่านไปไม่ได้ ก่อนหน้านี้ล้วนเป็นเฉิงอวี่ที่ไม่ดีเอง เฉิงอวี่ทำให้ท่านโกรธเคือง เฉิงอี่ไม่อยากให้ท่านตาย…”
“นางเด็กโง่ ปู่อยู่มาหลายปีขนาดนี้ ยังไม่เคยเห็นใครหนีความตายพ้นสักคน ขึ้นอยู่กับกว่าจะอายุสั้นหรืออายุยืนเท่านั้น เมื่อเคราะห์ภัยมาถึงไม่ว่าใครก็หนีไม่พ้น” เซี่ยโห้วท่าตบหลังนางเบาๆ ปลอบโยนว่า “นางหนู อย่าร้องไห้เลย อย่าร้องเลย! เงยหน้าขึ้นมา ท่านปู่มีบางอย่างจะบอกกับเจ้า”
เซี่ยโห้วเฉิงอวี่นั่งตัวตรงแล้วปาดน้ำตาสะอื้น
เซี่ยโห้วท่าบอกว่า “คำที่ปู่เคยบอกเจ้า วันนี้จะบอกเจ้าอีกรอบ จงจำเอาไว้นะ! ตราบใดที่ตระกูลเซี่ยโห้วยังไม่ล้ม เจ้าก็จะไม่เป็นอะไร ฟังเข้าใจใช่มั้ย?”
เซี่ยโห้วเฉิงอวี่สะอื้นพลางพยักหน้า “หลานเข้าใจแล้วค่ะ”
ดูจากสภาพจิตใจของนางตอนนี้ ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าฟังเข้าใจจริงหรือเปล่า เซี่ยโห้วท่าไม่ได้บ่นอะไรนางมากอีก ยกมือปัดพร้อมบอกว่า “ข้ากับท่านอารองของเจ้ายังมีเรื่องต้องคุยกันอีก ไปเถอะ!”
เซี่ยโห้วเฉิงอวี่เองก็ไม่กล้าเกะกะตอนพวกเขาคุยงานกัน ทำได้เพียงกล่าวอำลา
เมื่อไม่มีคนนอกแล้ว เซี่ยโห้วลิ่งก็ลังเลครู่หนึ่ง ก่อนจะบอกว่า “พวกนั้นที่มาเยี่ยมท่านพ่อ เกรงว่าจะคงจะกระสับกระส่าย”
เซี่ยโห้วท่าแสยะยิ้ม “ความคิดระมัดระวังตัวของพวกเขา ไม่ว่าใครก็มีทั้งนั้น ทำไมล่ะ เจ้ากลัวเหรอ?”
เซี่ยโห้วลิ่งลังเลอีกครั้ง สุดท้ายก็บอกตรงๆ ว่า “ไม่ใช่ว่าลูกกลัว เพียงแต่ตอนนี้ที่บ้านยังมีเรื่องมากมายที่ลูกยังไม่รู้ชัด เกรงว่าจะรับมือได้ไม่รอบด้าน”
เซี่ยโห้วท่าบอกว่า “ข้ายังไม่ตายเสียหน่อย ไม่มีใครกล้าแตะต้องเจ้าหรอก ต่อให้ข้าตายไปแล้ว แต่ในช่วงเวลาสั้นๆ นี้ พวกเขาก็ไม่กล้าทำอะไรสุ่มสี่สุ่มห้าอยู่ดี มีเวลาเหลือเฟือให้เจ้าเตรียมตัว”
“กลัวก็แต่พวกเขาจะรู้เรื่องนี้เช่นกัน คงไม่ให้เวลาข้าเตรียมตัวมากนัก” เซี่ยโห้วลิ่งกล่าว
เซี่ยโห้วท่าหลับตาลง “คิดมากไปแล้ว แม้เสือตาย แต่บารมีเสือยังอยู่!”
เมื่อเห็นเขามั่นใจขนาดนี้ เซี่ยโห้วลิ่งก็มีความมั่นใจแล้วเช่นกัน
หลังจากทั้งสองพูดคุยกันพักหนึ่ง เซี่ยโห้วลิ่งก็ขอตัวถอยออกไป พอเดินไปได้ไม่กี่ก้าว จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงบิดาเรียกอีก “เจ้ารอง!”
เซี่ยโห้วลิ่งหยุดเดินแล้วหันตัวมา เห็นเซี่ยโห้วท่าลืมตาปรือๆ จ้องเจ้า “รับปากข้าเรื่องหนึ่ง”
เซี่ยโห้วลิ่งรีบกลับมาฟังคำสั่ง “ลูกฟังอยู่ขอรับ”
เซี่ยโห้วท่ากล่าวช้าๆ ว่า “ไม่ว่าในภายหลังจะมีอะไรเปลี่ยนแปลง ไม่ว่าในภายหลังนางหนูเฉิงอวี่จะทำอะไร แต่ตระกูลเซี่ยโห้วต้องจำเอาไว้อย่างหนึ่ง จะต้องพยายามปกป้องชีวิตของนางไว้ ถ้าไม่ไหวจริงๆ ก็รับนางกลับบ้าน หาสภาพแวดล้อมดีๆ ให้นางอยู่อย่างสงบสุข ดูแลไม่ให้ขาดตกบกพร่อง ปกป้องให้นางสิ้นอายุขัยตามธรรมชาติ! เจ้าทำได้หรือไม่?”
เซี่ยโห้วลิ่งอึ้งไปชั่วขณะ จากนั้นก็ตอบด้วยสีหน้าจริงจัง “เรื่องนี้ลูกจะจดจำไว้ในใจ!”
เซี่ยโห้วท่ากล่าวเสียงเรียบอีกว่า “ยังมีอีกเรื่องหนึ่ง บรรดาอนุภรรยาของข้า หลังจากข้าตายแล้ว หากมีลูกก็ให้พวกนางตามลูกไป ถ้าไม่มีลูกก็ให้พวกนางไปกับข้าก็แล้วกัน เรื่องนี้เว่ยซูจัดการเรียบร้อยแล้ว ไม่ให้เจ้าแบกรับความผิดอะไร”
นี่ไม่ต่างอะไรกับการให้คนหลายร้อยลงหลุมศพไปพร้อมกับเขา เซี่ยโห้วลิ่งตกใจไม่เบา ชำเลืองมองเว่ยซูที่แววตาสุขุมเยือกเย็น แล้วข่มคำพูดที่อยากถามเอาไว้ ได้แต่พยักหน้าตอบว่า “ขอรับ!”
“อืม! ไปเถอะ” เซี่ยโห้วท่าหลับตาสองข้าง
เซี่ยโห้วลิ่งโค้งตัวแล้วถอยออกไป พอเดินไปไกลแล้วก็อดไม่ได้ที่จะหันกลับมามองอีก
เขาไม่รู้ว่าตัวเองรู้สึกไปเองหรือเปล่า ท่านพ่อดูมีชีวิตชีวามากกว่าตอนอยู่ในห้องนิดหน่อย ตอนคุยกันอยู่ในห้องเรียกได้ว่าป่วยไร้เรี่ยวแรง และตอนนี้ถึงแม้จะป่วยอยู่ แต่เขากลับรู้สึกได้ถึงพลังอำนาจที่เก็บซ่อนไว้บนตัวบิดา
…………………………