พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - บทที่ 1800 ลอยไปราวกับควัน
ตลาดผี ตึกศาลาสัตยพรต
ด้านนอกหน้าต่างมีเรือสัญจรไปมา ตรงจุดไหนที่เรือแล่นผ่าน โคมไฟจากเรือก็จะสะท้อนผิวทะเลสาบจนเกิดคลื่นระยิบระยับ หลังจากเรือผ่านไปก็ตกอยู่ในความมืดอีกครั้ง เรือที่อยู่ไกลๆ ราวกับเป็นหิ่งห้อยหลายตัวในม่านราตรี
ทิวทัศน์ค่ำคืนที่อยู่ท่ามกลางความมืดตลอด หลายปีมานี้ยังไม่เคยเปลี่ยนไป
ของทุกอย่างที่ให้แสงว่างในห้องเลือนรางแล้ว เฉาหม่านจมอยู่ในความมืด ยืนอยู่ริมหน้าต่าง มองดูแสงจากโคมไฟที่อยู่ไกลๆ ก็เหมือนกับชีวิตของเขา ที่ทำได้เพียงหลบแสงสว่างอยู่ในความมืดตลอดไป
ในชั่วขณะนี้ ไม่น่าเชื่อว่าเขาจะมองจนเหม่อ สีหน้าเลื่อนลอย ดวงตาพร่ามัวไปตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้ สุดท้ายน้ำตาสองสายก็ไหลพราก ไหลร้อนผ่าวลงมาตามแก้ม ตกลงปนกับน้ำในทะเลสาบ มีเสียงพึมพำปนเสียงร้องไห้ “ท่านพ่อ…”
ชีเจวี๋ยที่ที่ยืนเงียบอยู่ข้างกายมาตลอดเงยหน้าขึ้นช้าๆ เขาฟังออกว่าในน้ำเสียงนั้นมีทั้งความรักและความแค้นปนกัน
“เถ้าแก่ โปรดระงับความเศร้า…” ชีเจวี๋ยกล่าวโน้มน้าว ในมือถือระฆังดาราสองอัน วางเบาๆ ตรงหน้าเขา “เถ้าแก่ นี่คือระฆังดาราที่หัวหน้าตระกูลให้คนส่งมาให้ขอรับ หัวหน้าตระกูลหวังจะติดต่อกับท่านได้โดยตรง”
“หัวหน้าตระกูล?” เฉาหม่านเงยหน้าหลับตา น้ำตาสองสายไหลอาบแก้มอีกครั้ง “เขามีคุณสมบัติอะไรมาเป็นหัวหน้าตระกูล? เพราะว่าพี่ใหญ่ไม่อยู่เหรอ เพราะลับดับเขาอยู่ถัดจากนั้นเหรอ? หรือว่าสิ่งนี้ก็มีการเรียงลำดับอาวุโสด้วย? เขาสร้างผลงานอะไรให้ตระกูลเซี่ยโห้ว? หรือเป็นเพราะเขาอยู่ในที่แจ้ง แต่พวกเราและคนอื่นอยู่ในที่แจ้งไม่ได้?”
“เถ้าแก่ ห้ามพูดอะไรแบบนี้อีกเด็ดขาด ถ้ารู้ไปถึงหูคนนอก เกรงว่าจะไม่เป็นผลดีต่อเถ้าแก่!” ชีเจวี๋ยค่อนข้างหวาดกลัว
เฉาหม่านก้มหน้า แล้วส่ายหน้าช้าๆ “ถ้าข้าไม่พูดอะไรพวกนี้แล้วจะมีผลดีกับข้าเหรอ? เสือสองตัวอยู่ภูเขาเดียวกันไม่ได้ มิหนำซ้ำก็ยังไม่รู้ว่าบนภูเขาของตระกูลเซี่ยโห้วมีเสืออยู่กี่ตัว ตราบใดที่พวกเรายังอยู่ เขาจะสงบใจได้เหรอ?”
ชีเจวี๋ยบอกว่า “เถ้าแก่ เป็นพี่น้องที่สนิทชิดเชื้อ สถานการณ์อาจไม่ได้แย่อย่างที่ท่านคิด”
“ในปีนั้นตอนที่นายท่านขึ้นสู่ตำแหน่ง เขาทำอย่างไรกับพี่น้องตัวเองล่ะ?” เฉาหม่านถาม
ชีเจวี๋ยตอบว่า “ตอนนี้ไม่เหมือนอดีตแล้ว ไปเทียบกับปีนั้นไม่ได้ด้วย ในปีนั้นพี่น้องของนายท่านล้วนอยู่ในที่แจ้ง ทุกคนล้วนมีความหวัง ย่อมแก่งแย่งแข่งขันกัน แต่เถ้าแก่และคนอื่นๆ ที่กุมอำนาจล้วนอยู่ในที่ลับ นี่อาจจะเป็นจุดที่ชาญฉลาดของนายท่าน ตั้งแต่วันที่เริ่มให้เถ้าแก่และคนอื่นๆ ซ่อนตัว ก็เท่ากับไร้วาสนาต่อตำแหน่งหัวหน้าตระกูลแล้ว”
“เขาเป็นหัวหน้าตระกูล ข้าก็ไม่พร่ำบ่นอะไรหรอก เพียงแต่ข้าไม่รู้ว่านายท่านคิดยังไง เซี่ยโห้วลิ่งไม่เคยยืนหยัดด้วยลำแข้งตัวเองจริงๆ เลย เป็นเพียงพวกหัวสูงฝีมือต่ำเท่านั้น เขารับตำแหน่งหัวหน้าตระกูลแล้วจะออกคำสั่งกับคนอื่นได้เหรอ? หากทุกคนไม่พอใจขึ้นมา วิกฤติก็จะมาเยือนตระกูลเซี่ยโห้วแล้ว จะต้องเผชิญหน้ากับสถานการณ์กระจัดกระจาย หรือว่านายท่านแอบช่วยเขาควบคุมอำนาจไว้เพียงพอแล้ว? แล้วทำไมเขาถึงเพิ่งมาติดต่อกับข้าโดยตรงตอนนี้?” เฉาหม่านถาม
“สิ่งที่เถ้าแก่สงสัย เหตุใดไม่ถามนายท่านให้รู้ชัดไปเลยขอรับ?” ชีเจวี๋ยถาม
เฉาหม่านบอกว่า “ข้าเคยถามแล้ว นายท่านให้ข้าตั้งใจทำงานของตัวเองให้ดี จนป่านนี้นายท่านยังไม่ยอมเผยความจริงเลย กำลังกังวลอะไรอยู่? เป็นอย่างที่เจ้าบอก ในปีนั้นตั้งแต่เข้ามาอยู่ในความมืด ข้าก็รู้แล้วว่าตัวเองไม่มีวาสนากับตำแหน่งหัวหน้าตระกูล แต่มาจนป่านนี้แล้ว ทำไมไม่ให้โอกาสข้าพบหน้าเขาสักครั้ง? ท่านพ่อป่วยขั้นวิกฤติ ในฐานะลูกชายไม่มีแม้แต่สิทธิ์จะไปเยี่ยมเลยเหรอ?”
ชีเจวี๋ยเงียบงัน ไม่รู้ว่าเขาคิดอย่างไร แต่รู้ว่าตอนนี้เขาอารมณ์ไม่มั่นคง จึงมองระฆังดาราในมือครู่หนึ่งแล้วบอกว่า “คนที่หัวหน้าตระกูลส่งมายังอยู่ จะตอบกลับเรื่องระฆังดารานี้อย่างไรขอรับ?”
เฉาหม่านเงียบไปประเดี๋ยวเดียว แล้วจู่ๆ ก็โบกมือกวาดซ้ำๆ ลงตราอิทธิฤทธิ์ของตัวเองบนระฆังดาราสองอัน ถือโอกาสเก็บอันหนึ่งเอาไว้ แล้วกำชับว่า “จิตใจคิดร้ายผู้อื่นมิควรมี ทว่าจิตใจระวังผู้อื่นก็มิควรขาด ตอนนี้ต่อให้เขามีความคิดอะไร แต่ก็ยังไม่ถึงเวลาเหมาะสมที่จะแตะต้องข้า ถ้าเขาอยากจะควบคุมฝั่งนี้ ก็ต้องสืบสถานการณ์ฝั่งนี้ให้ชัดเจนก่อน เกรงว่าจะเริ่มลงมือกับคนข้างกายข้าก่อน เป้าหมายที่เหมาะสมที่สุดก็คือเจ้า ต่อไปนี้เวลาเจ้าออกไปข้างนอกก็ต้องระวังตัว ข้างกายต้องมียอดฝีมือคุ้มกันเพียงพอ อย่าให้ใครได้ฉวยโอกาส! อยู่กับเจ้ามาหลายปีขนาดนี้ อยากจะให้เจ้าเข้าใจเรื่องหนึ่งเอาไว้ เจ้าอยู่กับข้ามาหลายปีขนาดนี้ ต่อให้ไปพึ่งพาเขา แต่ก็กลายเป็นลูกน้องคนสนิทของเขาไม่ได้”
“บ่าวเข้าใจแล้วขอรับ” ชีเจวี๋ยเอ่ยรับ
“หึหึ…” จู่ๆ เฉาหม่านก็ฝืนหัวเราะอีก ถ้าถามว่าเขายอมหรือไม่ เขาไม่ยอมแน่นอน เพียงแต่เขาไม่รู้ชัดเลยว่าตระกูลเซี่ยโห้วมีคนแบบเขาอยู่มากมายเท่าไรกันแน่ ต่อให้เขาจะอยากเชื่อมต่อแต่ก็ไม่มีทางลงมือได้ ต้องนับถือความฉลาดในการวางหมากปีนั้นของท่านพ่อ ถ้าไม่ได้การสนับสนุนจากอำนาจฝ่ายอื่นๆ ต่อให้มีความคิดอะไรก็เปลืองสมองเปล่าๆ ถ้าอาศัยอำนาจฝ่ายเดียวก็ทำอะไรไม่สำเร็จทั้งนั้น แต่เซี่ยโห้วลิ่งที่ได้รับการสนับสนุนจากท่านพ่อกลับสืบก้นบึ้งของตระกูลเซี่ยโห้วได้อย่างง่ายดาย!
จวนท่านปู่สวรรค์ เว่ยซูรีบเดินออกจากสวนต้องห้าม มาถึงเรือนของเซี่ยโห้วลิ่ง ตอนนี้เซี่ยโห้วท่ายังไม่ได้จากโลกนี้ไป เซี่ยโห้วลิ่งยังไม่บังอาจเข้ามาพักในสวนต้องห้าม
สาวใช้คนหนึ่งออกมาต้อนรับเขา แล้วพาไปนอกห้องหนังสือของเซี่ยโห้วลิ่ง ก่อนจะแจ้งว่า “นายท่าน พ่อบ้านเว่ยมาแล้วค่ะ”
“เข้ามาได้!” ในห้องมีเสียงเซี่ยโห้วลิ่งดังเข้ามา
สาวใช้คนนั้นยืนมือเชิญแล้วถอยออกไป เว่ยซูผลักประตูเข้าห้อง ผลปรากฏว่าพอเปิดประตูเข้ามาก็อดไม่ได้ที่จะขยับปีกจมูก เพราะได้กลิ่นคาวเลือดโชยมาแล้ว
ในห้องหนังสือไม่มีคน เว่ยซูเดินเข้ามาแล้วอึ้งไปชั่วขณะ เห็นที่มาของลิ่นคาวเลือดแล้ว ฟู่ถงพ่อบ้านของเซี่ยโห้วลิ่งนอนจมกองเลือด เบิกตากว้าง ตรงตำแหน่งหัวใจมีรูโหว่ กระบี่วิเศษที่เปื้อนเลือดด้ามหนึ่งโยนไว้บนโต๊ะหนังสือ ส่วนเซี่ยโห้วลิ่งก็นั่งมองเขาอยู่ด้านหลังโต๊ะ
ระหว่างทั้งสองเกิดความเงียบงันไปพักหนึ่ง เซี่ยโห้วลิ่งกล่าวว่า “ตั้งแต่พ่อเจ้าเริ่มติดตามรับใช้ท่านปู่ข้า จนกระทั่งเจ้าติดตามรับใช้ท่านพ่อข้า ตระกูลเว่ยกับตระกูลเซี่ยโห้วก็เป็นหนึ่งเดียวกันแล้ว หนึ่งคนร่วงทั้งหมดร่วง หนึ่งคนรุ่งทุกคนรุ่ง สายตาของท่านพ่อไม่มีอะไรน่าสงสัย ดังนั้นข้าจึงไม่เคยสงสัยในความจงรักภักดีของพ่อบ้านเว่ยเลย เจ้าวางใจได้ ข้าไม่ได้มีเจตนาอื่น ที่ข้าสังหารฟู่ถงก็เพราะอยากให้เจ้าเข้าใจ ว่าฐานะของเจ้าที่ตระกูลเซี่ยโห้วไม่มีใครแทนที่ได้ เจ้ายังเป็นพ่อบ้านของตระกูลเซี่ยโห้วเหมือนเดิม”
เว่ยซูโค้งตัว “ขอบคุณที่นายท่านเชื่อใจ”
เซี่ยโห้วลิ่งลุกขึ้นยืน “ท่านพ่อไม่กระปรี้กระเปร่าเหมือนแต่ก่อน ทุกครั้งที่คุยกันยาวๆ ล้วนส่งผลเสียต่อกายเนื้อของท่านพ่อ สิ่งนี้ขัดต่อความกตัญญูที่ลูกพึงมีต่อบิดา ดังนั้นข้าต้องการความช่วยเหลือจากเจ้า เรื่องที่ข้าอยากรู้ตอนนี้ เจ้าบอกข้าได้หรือเปล่า?”
เว่ยซูไม่ได้พูดต่อ เดินมาตรงหน้าศพฟู่ถงแล้วเริ่มตรวจสอบ ถึงขั้นคลำรอยนิ้วมือแล้ว ประทับรอยนิ้วมือทั้งสิบของฟู่ถงไว้บนกระดาษขาว จากนั้นก็หยิบกระดาบขาวอีกแผ่นออกมา บนกระดาษขาวแผ่นหลังก็มีรอยนิ้วมือเช่นกัน จากนั้นวางกระดาษเปล่าสองแผ่นเพื่อเปรียบเทียบรอยนิ้วมือโดยละเอียด
“ทำไม? ข้าไม่ควรค่าให้เจ้าเชื่อใจขนาดนั้นเชียวเหรอ?” เซี่ยโห้วลิ่งขมวดคิ้ว
หลังจากแน่ใจแล้วว่าคนที่ตายคือฟู่ถงจริงๆ เว่ยซูถึงได้ยืนขึ้น แล้วกุมหมัดคารวะ “นายท่านโปรดระงับโทสะ นี่เป็นประสงค์ของนายท่านใหญ่”
ตอนนี้เปลี่ยนคำเรียกแล้ว
“หมายความว่ายังไง?” เซี่ยโห้วลิ่งงงไปชั่วขณะ
เว่ยซูตอบว่า “ก่อนที่นายท่านใหญ่จะสิ้นอายุขัย เว่ยซูฟังคำสั่งเพียงนายท่านใหญ่ผู้เดียวขอรับ หลังจากนายท่านใหญ่สิ้นอายุขัยไปแล้ว เว่ยซูก็ฟังเพียงคำสั่งของนายท่าน นายท่านใหญ่สั่งไว้แล้วขอรับ ตราบใดที่นายท่านใหญ่ยังมีชีวิตอยู่ ก็มิอาจนั่งมองความลับของตระกูลเซี่ยโห้วตกอยู่ในมือคนนอก ไม่อาจะให้ความลับของตระกูลเซี่ยโห้วตกอยู่ในมือของคนที่นายท่านใหญ่ไม่เชื่อใจ เพราะสำหรับตระกูลเซี่ยโห้วแล้ว สิ่งนี้อันตรายเกินไปจริงๆ นายท่านใหญ่กำชับบ่าวมา ให้บ่าวรอคอย รอให้ฟู่ถงตายขอรับ!”
“…” เซี่ยโห้วลิ่งพูดไม่ออกนิดหน่อย ก่อนที่เขาจะลงมือกับฟู่ถง เขาก็ยังลังเลมาก ถึงอย่างไรก็เป็นลูกน้องคนสนิทของเขามาหลายปี ทว่าหลายครั้งที่ถามถึงสถานการณ์บางอย่างจากเว่ยซู เขากลับไม่ได้ข้อมูลอะไรเลย เว่ยซูหลบเลี่ยงมาตลอด ทำให้เขาหัวร้อนมาก แต่ก็ดันไม่กล้าทำอะไรเว่ยซูอีก ตอนนี้เขาแอบเดือดดาลในใจแล้ว บัญชีนี้ค่อยชำระภายหลัง เพื่อให้ได้รับความเชื่อใจจากเว่ยซู เขาถึงได้ทำใจโหดลงมือกับฟู่ถง
ใครจะไปคาดคิด วุ่นวายมานานขนาดนี้ ที่แท้ก็เป็นประสงค์ของท่านพ่อนี่เอง ตอนนี้เขาพอจะเข้าใจแล้ว ว่าท่านพ่อไม่ใช่แค่ปูทางให้เขา ขณะเดียวกันก็ปูทางให้เว่ยซูด้วย การทำให้เว่ยซูหายห่วงหน้าพะวงหลัง เท่ากับว่าปูทางให้เขาด้วยเช่นกัน นี่คือการบีบให้เขาหาความเชื่อใจจากเว่ยซู มอบความจงรักภักดีให้แก่เขา
ความโกรธที่เก็บกลั้นไว้ในใจเซี่ยโห้วลิ่งหายไปทันที “ในเมื่อพูดแบบนี้ ตอนนี้พูดได้แล้วหรือยัง?”
“นายท่านมีคำถามอะไรก็ถามมาได้เลย หากเว่ยซูทราบก็จะตอบทุกอย่างขอรับ” เว่ยซูโค้งตัว
“ตอนนี้ข้าอยากรู้ว่าข้ามีพี่น้องกี่คนกันแน่ที่ควบคุมอำนาจใต้ดินสายต่างๆ อยู่!” เซี่ยโห้วลิ่งกล่าวอย่างชัดถ้อยชัดคำ
ทั้งสองถามตอบกันอยู่ภายในห้องหนังสือที่เต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือดจากศพ อุดอู้อยู่ในนี้หนึ่งวันเต็มๆ เซี่ยโห้วลิ่งถึงได้หยุดถาม
ตอนนี้ในใจเซี่ยโห้วลิ่งตกตะลึงจนอธิบายเป็นคำพูดได้ยาก เขานึกไม่ถึงว่าอำนาจของตระกูลเซี่ยโห้วจะเหนือกว่าที่เขาจินตนาการไว้ ไม่น่าเชื่อว่าพี่น้องของตัวเองจะแฝงตัวทำงานใต้บังคับบัญชาหนิวโหย่วเต๋อ นี่มันช่าง…
“เซี่ยโห้วท่าใกล้สิ้นอายุขัยแล้ว นึกไม่ถึงเลยจริงๆ!”
แดนรัตติกาล เหมียวอี้และอวิ๋นจือชิวที่ได้ข่าวทอดถอนใจไม่หยุด จะไม่ให้รู้สึกปลงก็ไม่ได้ สุดท้ายผู้ยอดเยี่ยมแห่งยุคก็หลีกหนีอายุขัยไม่พ้น
อวิ๋นจือชิวที่นั่งจิบสุราอยู่ในศาลากล่าวอย่างทอดถอนใจว่า “ถ้าเซี่ยโห้วท่าตายไป ก็ไม่รู้ว่าจะสร้างความเปลี่ยนแปลงอะไรให้ใต้หล้าได้หรือเปล่า ถึงยังไงท่านนั้นที่ตำหนักนารีสวรรค์ก็ยังเป็นคนของตระกูลเซี่ยโห้ว ไม่รู้ว่าจะดึงพวกเราไปเกี่ยวข้องในนั้นด้วยหรือเปล่า”
“ให้สวีถังหรานจับตาดูหยวนกงให้มากกว่านี้” เหมียวอี้พึมพำ
“ตอนได้ยินข่าวก็เคยถามแล้ว หยวนกงนอกจากเงียบลงไปมาก ก็ไม่มีความผิดปกติอย่างอื่น” อวิ๋นจือชิวกล่าว
รอจนทางฝั่งนี้รู้สถานการณ์หมดแล้ว ข่าวที่เซี่ยโห้วท่าใกล้สิ้นอายุขัยก็แทบไม่ใช่ความลับอะไร ทุกคนต่างก็รอคอยวันนี้ ถ้าจะพูดให้ถูกกว่านั้นก็คือ กำลังดูว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงอะไรหรือไม่ ทำเอาคนไม่น้อยเริ่มกังวลแล้ว
และเซี่ยโห้วท่าเองก็ประคับประคองตัวเองไม่ได้แม้แต่ปีเดียว ตอนที่หลับตาลง ประมุขชิงก็อยู่ในเหตุการณ์ด้วยและกุมมือดูเขาหลับไป นอกจากสี่อ๋องสวรรค์ ขุนใหญ่ราชสำนักก็มารวมที่จวนท่านปู่สวรรค์แทบทั้งหมด
“ท่านปู่สวรรค์ยังมีอะไรจะพูดอีก?” ประมุขชิงที่นั่งอยู่ข้างเตียงเห็นเซี่ยโห้วท่าอ้าปากพะงาบ จึงกุมมือเขาพลางเอ่ยถาม
สุดท้ายเซี่ยโห้วท่าก็ไม่ได้พูดอะไรทั้งนั้น ในดวงตาที่ค่อยๆ ปิดลงมีน้ำตาเอ่อ น้ำตาสองหยดไหลออกจากหัวตา ร่างกายเสื่อมโทรมเหมือนม้าตีนปลายที่เคยอาศัยพลังอิทธิฤทธิ์ประคับประคองทั้งหมด ยามนี้เหมือนพลังกลุ่มสุดท้ายสลายไป ร่างกายที่มีเลือดเนื้อก็ปลิวกระจายไปราวกับควัน ลอยไปตามกระแสลมอ่อนๆ ในห้องราวกับควันไฟ
กลุ่มคนที่อยู่ในห้องกำลังมองควันลอยออกนอกประตูกลุ่มแล้วกลุ่มเล่า ลอยไปตามซอกหน้าต่าง ลอยไปที่ไม้คานโต่งกงบนเพดานโค้ง แล้วก็เหมือนจะสัมผัสบนร่างกายของทุกคน อ่อนโยนอะไรเช่นนี้ ช่างเป็นภาพที่อัศจรรย์มาก
สุดท้ายมือของประมุขชิงก็จับกับความว่างเปล่า เซี่ยโห้วท่าที่นอนอยู่บนเตียงเหลือเพียงเสื้อผ้าชุดหนึ่งวางนอนไว้
“ท่านพ่อ!” เซี่ยโห้วลิ่งคุกเข่าร่ำร้องอย่างเศร้าโศก บรรดาลูกหลานในห้องก็คุกเข่าร้องไห้เช่นกัน เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ก็เป็นหนึ่งในนั้น
ประมุขชิงลุกขึ้นยืน ถอนหายใจเอกหนึ่ง สีหน้าสื่ออารมณ์หลากหลายมาก เขากุมหมัดคารวะต่อเซี่ยโห้วท่า แล้วโค้งตัวค้างไว้นาน “ท่านปู่สวรรค์จงไปดี!”
บรรดาขุนนางใหญ่ที่มีสิทธิ์อยู่ในห้องนี้ก็กุมหมัดคารวะโค้งตัวด้วยท่าทางจริงจังเช่นกัน
ผ่านไปไม่นาน ทั้งด้านในและด้านนอกตระกูลเซี่ยโห้วก็มีเสียงร้องไห้ดังเป็นแถบ
………………………